บทที่ 35 คนบางคนต้องโดนข่มเสียบ้าง

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

ตอนที่ 35 คนบางคนต้องโดนข่มเสียบ้าง

เดิมทีคิดว่าตนเองมีระบบติดตัวสามารถอยู่เหนือผู้อื่นที่นี่ได้ และก้าวสู่จุดสูงสุดของชีวิต ทว่าเทียบกับหมี่โม่หรู่ที่จุดไฟด้วยมือเปล่าได้ นางเทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย

ชายคนนี้อันตรายกว่าที่ตนคิดไว้เยอะ ที่แห่งนี้เองก็อันตรายกว่าที่ตนเองคิดไว้เยอะด้วยเช่นกัน ฉินปู้เข่อแทบจะเห็นภาพที่ตนเองถูกไฟเผาจนเป็นเถ้าถ่านแล้ว

“ในเรื่องของหนังสือหย่า พระชายาเข้าใจสิ่งที่ข้าต้องการสื่อหรือยัง”

“เข้า…เข้าใจแล้วเพคะ”

“ดีมาก หลังจากนี้ข้าจะเริ่มหารือเรื่องต่อไป” หมี่โม่หรู่เลิกคิ้ว รอยยิ้มยังคงฉายชัดอยู่บนใบหน้า

“หืม?”

แทนที่จะบอกว่าหารือ พูดมาตรง ๆ ดีกว่าว่ากำลังตั้งกฎ

“ในเมื่อเจ้าเป็นชายาอ๋องหลี่ชิน จึงมีกฎระเบียบบางอย่างที่เจ้ายังต้องรักษา ประการแรกข้ารู้ว่าเจ้ามีพละกำลังมาก แต่อย่าเปิดเผยโดยพลการ อย่างไรเสียข้าก็ไม่อยากให้ผู้อื่นนินทาว่าร้ายพระชายาของข้า ประการที่สอง เรื่องที่ข้ามีรับสั่ง พระชายาโปรดทำตามด้วย เพื่อมิให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็น ประการที่สาม เมื่อออกไปข้างนอกพระชายาโปรดระลึกไว้เสมอว่ามีสามีขี้โรคอ่อนแอที่ต้องหมั่นดูแลอยู่ข้างกายเจ้า”

เฮอะ ๆๆ ฉินปู้เข่อเค้นเสียงหัวเราะแห้ง คนเช่นนี้น่ะหรืออ่อนแอขี้โรค

สายตาเย็นยะเยือกของชายคนนั้นตวัดมา ฉินปู้เข่อหยุดหัวเราะทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “รับทราบ เข้าใจ ทำได้เพคะ”

“ดีมาก พระชายามีความต้องการอันใดก็บอกได้ ข้าจะตกลงโดยพิจารณาเป็นข้อ ๆ”

ฉินปู้เข่อกระพริบตา “หม่อมฉันมีจริง ๆ เพคะ หม่อมฉันอยากให้ซวงหวนเชื่อฟังเพียงหม่อมฉันคนเดียว หากท่านอ๋องต้องการจับตาดูหม่อมฉันโปรดส่งคนอื่นมาเพคะ”

หลายวันมานี้นางอยู่กับซวงหวนอย่างมีความสุข คืนนั้นที่กลับมาทั้งตำหนักมีแค่ซวงหวนคนเดียวที่ทนรอนางหน้าประตู ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นมากจริงๆ

นางเข้าใจดีว่าที่ซวงหวนร่วมแผนการจับตาดูนางและทดสอบนางก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่นางเลือกไม่ได้

“ได้” หมี่โม่หรู่กลับไปนั่งบนเก้าอี้เข็นตามเดิม และเอ่ยเสียงดัง “ซวงหวน”

ซวงหวนเดินเข้ามาตามเสียงเรียก ก้มศีรษะถวายบังคม “ท่านอ๋อง พระชายา”

“แต่นี้ต่อไปชายาคือเจ้านายของเจ้า เข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจเพคะ” ซวงหวนคุกเข่าลงกับพื้นและคำนับศีรษะอย่างจริงจัง “ขอบพระทัยพระชายาที่ให้อภัยเพคะ”

ฉินปู้เข่อแค่นเสียงออกมาก่อนจะมองหมี่โม่หรู่ด้วยท่าทางน่าสงสาร “ท่านอ๋อง คลายได้หรือยังเพคะ หม่อมฉันปวดฉี่”

หมี่โม่หรู่แทบจะสำลักน้ำลายตนเอง เขามองนางด้วยสายตาพิศวง นี่นางเป็นบุตรีสกุลใหญ่จริง ๆ หรือ? คำสุภาพไม่โผงผางอย่าง ‘ปลดทุกข์’ นางไม่รู้จักรึ?

“พรวด”

ราวกับมีบางสิ่งกระแทกใส่นาง ฉินปู้เข่อสะบัดมือเล็กน้อย นางขยับได้แล้ว หากแต่รู้สึกชาไปหมด ขาก็ชาเหลือเกิน

“ท่านอ๋อง ท่าน…” ฉินปู้เข่อเอ่ยด้วยท่าทางนอบน้อม เค้นยิ้มกว้างและขยุบขยิบปากไปทางประตูห้อง

ความหมายของนางชัดเจนมาก ในเมื่อรับสั่งกฎระเบียบเรียบร้อยแล้ว วางอำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่แล้ว ก็รีบไสหัวไปเสียที

หมี่โม่หรู่ไม่รู้สึกรู้สาใด ๆ

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันต้องไปปลดทุกข์เพคะ” นางถลึงตาใส่ชายหนุ่ม เหตุใดเขาจึงยังไม่รีบไปอีก

การอยู่ร่วมห้องเดียวกันกับเขาทำให้ฉินปู้เข่อต้องพะว้าพะวงอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าประโยคไหนของตนไม่ถูกใจ หมอนี่จะเอาชีวิตของนางได้

“ข้าจะไปรอเจ้าที่ลาน” หมี่โม่หรู่กระแอมเบา ๆ และออกคำสั่ง “ซวงหวน แต่งหน้าแต่งตัวพระชายาให้ดี ประเดี๋ยวเราจะออกไปข้างนอก”

“ไปทำอะไรเพคะ” ฉินปู้เข่อระวังตัวกว่าปกติ นางเหลือบมองซวงหวนด้วยสีหน้างุนงง และถามด้วยสายตา ‘ท่านอ๋องของเจ้าจะทดสอบข้าอีกแล้วรึ’

“อ๋องคังชินจะพาข้าและชายาไปเลี้ยงอาหารที่หมิงเทาเยี่ยน”

ประตูห้องปิดลง ฉินปู้เข่อถามเสียงเบา “หมิงเทาเยี่ยนคือสิ่งใดรึ ฟังแล้วเหมือนอะไรแพง ๆ”

“เป็นภัตตาคารที่มีชื่อที่สุดในเมืองหลวงเพคะ คนที่ไปทานข้าวที่นั้นไม่รวยก็สูงศักดิ์ ได้ข่าวว่าสำรับอาหารหลายอย่างถึงขั้นเทียบเคียงอาหารเลิศรสในวังได้เลยเพคะ” สายตาซวงหวนเปี่ยมแววสุขใจ และจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า จัดการมวยผมให้นางอย่างคล่องแคล่วว่องไว

ว้าว ฉินปู้เข่อทุบหัวเข่าที่ชา เสี่ยวหลงเปาสองเข่งแลกหมิงเทาเยี่ยนมาหนึ่งมื้อ คุ้มเหมือนกันนะ

นอนหลับไปตั้งสามวันไม่ได้กินอะไรเลย พอได้กินปุ๊บก็เป็นอาหารรสเลิศ ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ก็ไม่เลวจริง ๆ

ฉินปู้เข่อนวดแขนที่ยังชาอยู่นิดหน่อยก่อนจะลากขาเดินออกจากห้อง แต่ภายในใจก็นึกก่นด่าไม่หยุด สกัดจุดนี่มันคือสิ่งใดกัน คลายแล้วแท้ ๆ ทว่ายังรู้สึกเหมือนโดนกดเอ็นชาไว้ ทั้งชาทั้งเมื่อย ทรมานเหลือเกิน

หมี่โม่หรู่ที่รอในลานได้ยินเสียงประตูจึงหันกลับไปมอง และชะงักไปเล็กน้อย

เขาต้องยอมรับว่าหญิงสาวตรงหน้างดงามหาที่ใดเปรียบ กระโปรงยาวลากพื้น ฝีเท้าเบาหวิว นัยน์ตาใสสกาวราวกับไม่มีสิ่งใดปิดบัง และเผยความแก่นแก้วออกมาบ้างเป็นครั้งคราว จนรู้สึกเหมือนเมื่อใดที่ตากลมโตของนางกลอกไปมา ในหัวเล็ก ๆ ของนางก็จะผุดความคิดแปลกประหลาดออกมา

“ท่านอ๋อง คราวหน้าท่านไม่สกัดจุดหม่อมฉันแล้วได้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันมือเท้าชาไปหมด”

น้ำเสียงงอน ๆ เรียกสติของหมี่โม่หรู่กลับมา เขาชำเลืองฉินปู้เข่อและกล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ “ข้าคิดว่าคนบางคนจำต้องโดนข่มด้วยพลังเสียหน่อย มิฉะนั้นนางจะนึกว่าตำหนักอ๋องหลี่ชินเป็นสถานที่ที่เข้าออกได้ตามใจชอบ”