ไซเรน(Σειρήν) ปีศาจจำพวกหนึ่งมีลักษณะเป็นมนุษย์ผสมกับนก ไซเรนที่มีกล่าวขานในกรีกโบราณมีทั้งชายและหญิง ก่อนต่อมาจะเหลือเพียงเรื่องเล่าของไซเรนหญิง ทำให้เมื่อพูดถึง ‘ไซเรน’ ส่วนใหญ่จะนึกถึงแต่เพียงเพศหญิง
“กระหม่อมขอตามเสด็จองค์ชายในภารกิจครั้งนี้… ”
หลังจากที่หลับมาเต็มอิ่ม อินกองก็ตื่นขึ้นและพบว่ามีแขกมารอพบเขาอยู่ด้านนอก
เขาคุ้นเคยกับหนึ่งนาง และหลังจากใช้เวลานึกสักพัก เขาก็นึกถึงตัวตนของแขกอีกหนึ่งตนออก
‘คาดารอฟ?’
ลูกของหนึ่งในนางกำนัลที่อินกองคิดว่าเป็นเผ่าไซเรน
‘ไซเรนชาย’
เผ่าไซเรนมีรูปร่างที่งดงาม มีถิ่นอาศัยอยู่ในทะเลตามเกาะ สามารถผสานพลังเวทเข้ากับเสียงเพื่อใช้ในการครอบงำสติหรือล่อลวงเหยื่อได้
ไซเรนหนุ่มคาดารอฟมีผมสีฟ้าคราม ดวงตากลมโตราวอัญมณี รูปร่างเด็กอันน่าเอ็นดู สามารถสร้างความหลงไหลให้กับสตรีจำนวนมากได้โดยง่าย ทว่าอินกองไม่ยอมตกอยู่ใต้มนต์สะกดของไซเรน ไม่ว่าจะชายหรือหญิง
“เราได้เลือกสมาชิกร่วมเดินทางในภารกิจครั้งนี้ไว้แล้ว ไว้เราจะขอยืมกำลังในโอกาสหน้า”
อินกองบอกปัดด้วยคำที่ไม่รุนแรงมาก เขาใช้มือจับไหล่ของคาดารอฟ นำทางไซเรนหนุ่มออกจากห้องรับแขก คาดารอฟกระพริบตาอย่างงุนงงที่โดนไล่แต่ก็ทำได้เพียงผงกหัวราวกับเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ส่วนแขกอีกนาง ดาฟเน่ ยังคงพักในห้องรับแขก
“เอ๋?”
“เดินทางปลอดภัยนะ”
อินกองจับมือกับคาดารอฟที่ยังคงงุนงงก่อนจะปิดประตู ปล่อยการส่งคาดารอฟให้เป็นหน้าที่ของฟลอร่า
ดาฟเน่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด นางกัดริมฝีปากก่อนจะถามออกมาอย่างลังเล
“องค์ชายจะทรงกรุณาให้หม่อมฉันตามเสด็จไปด้วยได้หรือไม่?”
“แน่นอน เราขอฝากตัวในภารกิจครั้งนี้ด้วย”
อินกองตอบออกมาอย่างเป็นมิตร ก่อนจะนั่งลงข้างดาฟเน่พลางนึกถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดที่นำนางมาที่นี่
หลังจากที่กลับมาจากการประชุมสภาเมื่อคืนวาน อินกองได้สั่งฟลอร่าและเหล่าบ่าวรับใช้ของเขาห้ามมิให้แขกผู้ใดเข้าตัวคฤหาสน์ ยกเว้นเฟลิซี เดเลีย และดาฟเน่เท่านั้น ซึ่งนั่นก็เพื่อลดการพบปะตามที่เฟลิซีได้แนะนำเขาไว้
แต่คาดารอฟก็เข้ามายังห้องรับแขกได้เพราะอาศัยมาพร้อมกับดาฟเน่
อินกองไม่ได้ส่งคาดารอฟกลับเพียงเพราะว่าเป็นไซเรน‘ชาย’ แต่เพราะคาดารอฟเป็นหนึ่งในการพบปะที่ควรหลีกเลี่ยงตามที่เฟลิซีแนะนำเขาไว้
คาดารอฟเป็นผู้ติดตามอย่างลับของอนาสทาเชีย เขาจงรักภักดีจนเรียกได้ว่าเป็นสาวกเลยทีเดียว ทว่าที่คาดารอฟไม่เปิดเผยตัวว่าเป็นสาวกอย่างชัดเจนนั่นก็เพราะหน้าที่หลักของเขาคือการสอดแนมรวบรวมข้อมูล
ในครั้งที่เล่นแซเฟียร์ คาดารอฟพยายามเข้าใกล้เขาด้วยรอยยิ้มมากมายหลายครั้ง และก็ทรยศเขาในช่วงเวลาคับขันทุกครั้งไป
‘ไอ้***คาดารอฟจะมาติดตามกู?’
อินกองไม่คิดว่าคาดารอฟจะเลือกมาติดตามฉัตรแทนที่จะเข้าร่วมกับอนาสทาเชีย
หากเอาความจริงมากล่าวถึง ผลงานของฉัตรถือว่าน้อยมาก เขาโดดเด่นขึ้นมาก็เพราะเหตุการณ์จากที่ประชุมสภา หากแต่นั่นไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
ดาฟเน่มาหาฉัตรเพราะนางร่วมสมรภูมิกับเขา ณ ที่ราบอินคา
อินกองเติบโตและสร้างผลงานอย่างรวดเร็ว และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงมีแต่จะเพิ่มขึ้น
แต่การเด่นเกินหน้าเกินตาแบบนี้ก็นำพาซึ่งภยันตราย
บรรดาลูกของนางกำนัลต่างเขาร่วมกับฝ่ายที่พวกเขาคิดว่าจะได้สืบบัลลังก์จอมมารในอนาคต นั่นก็เพื่ออนาคตของพวกเขาเองด้วย การเลือกข้างม้ามืดอย่างฉัตรจึงเป็นอะไรที่มีความเสี่ยงสูง
‘****ติดตามอนาสทาเชียจนวินาทีสุดท้าย ขนาดตอนที่เห็นๆว่าแซเฟียร์ชนะชัวร์ก็ยังไม่ย้ายฝ่าย เป็นไปไม่ได้ที่ไอ้**นั่นจะมาสวามิภักดิ์กับเรา น่าจะเป็นอีกอย่างมากกว่า’
แม้ความเป็นไปได้ที่คาดารอฟต้องการเข้าร่วมกับฉัตรอย่างแท้จริงจะพอมี แต่ก็น้อยมาก ทว่าหากนี้เป็นคำสั่งจากอนาสทาเชีย ทั้งหมดก็ดูสมเหตุสมผลทันที
‘ถ้าจะเพื่อขัดขวางเรา นี่ก็ดูง่ายเกินไป… บางทีนางอาจจะแค่ต้องการจับตามอง?’
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอนาสทาเชียสนใจเขาเสียแล้ว
อินกองนึกถึงอนาสทาเชียที่เขาเห็นในที่ประชุม เรือนร่างอันงดงามและเย้ายวน แต่นางก็แข็งแกร่งไม่แพ้ความงามของนาง สมกับที่ได้ฉายาว่าแซเฟียร์หญิง
‘ทั้งหมดนี่ก็เพราะ***มิตรแท้ๆ’
อินกองสบถด่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในใจ ก่อนจะกลับมาสนใจดาฟเน่อีกครั้ง
เขาสั่งให้นางเตรียมการหลายอย่าง เพื่อเตรียมเดินทางออกจากวังให้เร็วที่สุด
“แล้วตอนนี้ แกจะไปไหนต่อ?”
หลังจากร่ำลาดาฟเน่ อินกองก็หันกลับมาตอบคำถามเจ้าออร์คต่อ
“ผมว่าจะไปเยี่ยมอิซเบลที่กระทรวงเกียรติยศ”
&
“ยินดีที่ได้พบองค์ชายเก้าอีกครั้ง”
“สวัสดีอิซเบล เมื่อวานสนุกไปเลยละสิ?”
อินกองทักทายนางด้วยรอยยิ้ม และนางก็ส่งยิ้มกลับมา
“มันเยี่ยมมาก เอิกเกริกน่าดูเชียว ว่าแต่ด้านองค์ชายเป็นอย่างไรบ้าง?”
นางถามกลับด้วยความเป็นห่วง นั่นเพราะจอมมารได้ทำบางสิ่งที่เหนือความคาดหมาย อินกองได้แต่ตอบนางพร้อมถอนหายใจ
“ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจละกันนะ”
คำตอบอย่างแยบคายสร้างความประหลาดใจให้กับอิซเบล แต่นั่นก็ทำให้นางหมดห่วง หากลองมองย้อนไป ทั้งหมดก็นับเป็นเรื่องดี จอมมารมิตรไม่ได้ให้ความสนใจกับอะไรมาเป็นเวลานานแล้ว
อิซเบลรู้เกี่ยวกับมิตรได้อย่างไร? เรื่องเกี่ยวกับบอสใหญ่จะทยอยเปิดเผยทีละนิด
อิซเบล ปีศาจที่อาวุโ…
((╬╯◣﹏◢))=○#(꒦ິ )3꒦ີ)
อิซเบลถามกลับมาอย่างร่าเริง
“แล้วระหว่างเรื่องความสำเร็จหรือรายละเอียดภารกิจ ท่านต้องการจะรับรู้เรื่องใดก่อน?”
“เรื่องความสำเร็จ”
“รับทราบ”
[เจ้าชายลำดับที่เก้า ฉัตร อิกษณา]
[เกียรติยศ ขั้น: 5 → 10]
[แต้มผลงานสะสม: 15,000 → 35,000]
[แต้มผลงานคงเหลือ: 33,000]
[ความดีความชอบจากปฏิบัติการปราบคาเซีย]
ค้นพบวัดศิลาอันเป็นสถานที่สิงสถิตของเทพารักษ์กรีนวินด์
ขับไล่เหล่าคาเซีย
ขับไล่เหล่าเดรคโอเกอร์
ป้องกันเหตุวิกฤตวัดศิลา
ค้นพบต้นตอเหตุวิกฤตวัดศิลา[อันเดด/ไม่ทราบชื่อ].
เหรียญเกียรติยศระดับสูงสุดจากปฏิบัติการ
[ระดับเกียรติยศเปลี่ยนเป็นขั้น 10]
[สิทธิ์ใช้งานสิ่งปลูกสร้างในเขตราชวังเพิ่มขึ้น]
[เงินประจำเดือนเพิ่มขึ้นจาก 500 โกลด์ เป็น 900 โกลด์]
‘ว้าว ดูเหมือนนี่จะดูดีกว่ากบฏสายฟ้าชาดซะอีก?’
อินกองคาดหวังเอาไว้ในระดับหนึ่ง นั่นเพราะปฏิบัติการปราบกบฏสายฟ้าชาดไม่ใช่ภารกิจส่วนตัวของเขา ยิ่งไปกว่านั้นในภารกิจยังมีการประสานจากพลเอกแวนเดลอีกด้วย นั่นทำให้ควานดีความชอบต้องถูกแบ่งออกไปตามสัดส่วน
สำหรับปฏิบัติการปราบคาเซีย เป็นภารกิจที่อินกองรับมอบหมายมาโดยตรง และเขาก็ไม่ต้องทำหน้าที่คอยสนับสนุนอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังพบเบาะแสทั้งหมด จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะได้ความดีความชอบที่มากต่างไปจากเดิม
‘ในอีกความหมาย เหตุแปลกๆนี่มีความสำคัญกับทางวังหลวงมากกว่าที่คิด’
ทั้งหมดเกิดจากแสงสีม่วงปริศนา ที่มีต้นตอมาจากนอกเขตปกครองด้านทิศเหนือ
อิซเบลตบมือของนางก่อนจะกล่าวชื่นชมออกมา
“เป็นอีกครั้งที่องค์ชายทำให้ข้าประหลาดใจ ปฏิบัติการปราบคาเซียเป็นภารกิจที่มีมาประจำปี ทำให้ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้”
แน่นอนว่าอินกองก็ไม่คาดคิดเช่นกัน
ทว่าบางที อาจจะมีผู้ที่คาดเดาเหตุการณ์นี้เอาไว้
บางทีจอมมารอาจจะรู้? แล้วผลลัพท์ที่เกิดขึ้นมีความหมายต่อจอมมารสักเพียงไร?
อินกองยังขาดแคลนข้อมูลเกินกว่าที่จะค้นพบคำตอบ เขาหันกลับมาสนใจเรื่องตรงหน้า
“องค์ชาย ท่านจะให้ข้าส่งรางวัลไปยังคฤหาสน์เช่นคราวที่แล้วหรือไม่?”
“เอาเป็นแบบนั้น”
ระดับเกียรติยศเพิ่มขึ้นห้าขั้น แน่นอนว่าย่อมเป็นรางวัลจำนวนมาก อินกองยังไม่ต้องการเปิดเผยความสามารถเรื่องช่องเก็บของ เขาเลือกให้รางวัลถูกส่งไปยังคฤหาสน์
“รับทราบ มีสิ่งใดที่ท่านต้องการใช้แต้มผลงานแลกหรือไม่?”
“ไม่ใช่ที่นี่ เราว่าจะไปยังโรงเหล็กและคลังแสง”
“ใช่แล้ว ระดับเกียรติยศของท่านในตอนนี้สูงพอที่จะใช้สถานที่ทั้งสองได้ ข้าขอให้ท่านพบกับสิ่งที่ท่านต้องการ”
“ขอบคุณ เราขอถามเรื่องเกี่ยวกับภารกิจต่อ”
“รับทราบ รายละเอียดโดยคร่าวเป็นไปตามที่ข้าบอกท่านไปเมื่อวาน”
[ปฏิบัติการสำรวจปราสาทธันเดอร์ดูมของอาณาจักรดวอฟ]
[มีผู้ค้นพบเส้นทางสู่ปราสาทธันเดอร์ดูมระหว่างการจัดสรรพื้นที่เพื่อทำเหมือง จงเข้ายึดเส้นทางและทำการสำรวจตัวปราสาท]
[จงเดินทางภายในเจ็ดวันหลังจากรับภารกิจ]
รายละเอียดลอยขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยภาพจำลองแผนที่ สถานที่ที่อินกองคุ้นตา
‘ปราสาทธันเดอร์ดูมจริงๆสินะ’
แน่นอนว่าอินกองเคยไปยังปราสาทนี้แล้วในบทกวีแห่งผู้กล้า ทว่าสิ่งที่แตกต่างก็คือเวลาที่ค้นพบสถานที่แห่งนี้
‘ทุกอย่างไม่น่าจะเหมือนเดิม’
เรื่องราวเกี่ยวกับเหล่ามังกรบรรพกาลเป็นสิ่งหนึ่งที่ต่างไปจากในเกมอย่างเห็นได้ชัด
“แม่ทัพกาซบาลเสียชีวิตในระหว่างทำภารกิจ จากรายงานพบว่าสาเหตุหลักมาจากก๊าซพิษ ท่านควรจะเตรียมตัวให้ดี”
อินกองพยักหน้ารับ ในบทกวีแห่งผู้กล้า เขาต้องพกยาแก้พิษสารพัดชนิดในทุกครั้งที่เขาเดินทางไปยังธันเดอร์ดูม
‘เอาจริงๆ ที่เหมืองถูกปิดไปตั้งแต่แรกก็เพราะก๊าซพิษนี่ละ’
รายละเอียดทั้งหมดดูสมเหตุสมผลดี แต่ทว่าอินกองกลับรู้สึกว่ามันแปลก?
พลโทกาซบาล… ถึงอินกองจะไม่รู้จักตัวละครตัวนี้ในบทกวีแห่งผู้กล้า แต่เป็นถึงพลโทจะไม่รู้เรื่องก๊าซพิษเลยเชียวรึ? หรือว่าพลโทจะประมาททั้งที่เตรียมตัวอย่างดี? ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลได้ก็ตาม ถือว่าเป็นจุดจบอันน่าอนาถสำหรับยศพลโท
‘ได้แต่หวังว่าเดเลียจะได้ข้อมูลอะไรบางอย่างเพิ่ม’
อินกองผงกหัวจบการพูดคุยกับอิซเบล
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ เช่นนั้นเราขอตัว”
“แล้วข้าจะรอคอยการมาเยือนครั้งหน้าของท่าน”
&
อินกองเดินทางไปยังโรงเหล็กซึ่งตั้งอยู่ด้านตะวันออกของเขตราชวัง เขายังคงมีรถเลื่อนที่ได้รับมาจากเฟลิซีอยู่ นั่นทำให้เขาสามารถเดินทางได้โดยไม่มีอุปสรรค
คลังแสงได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกใช้เก็บเหล่าอาวุธพื้นฐานที่ผลิตเป็นจำนวนมากเพื่อการศึก อีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนที่เก็บยุทโธปกรณ์ที่ทำเป็นพิเศษสำหรับแม่ทัพ ขุนนาง และราชวงศ์
แน่นอนว่าอินกองพุ่งเป้าไปที่ส่วนหลัง
เช่นเดียวกับที่อิซเบลประจำกระทรวงเกียรติยศ ผู้ที่ประจำคลังแสงก็คือ อิกอร์ ไม่ต่างจากในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า
“ขอต้อนรับองค์ชายเก้าสู่คลังแสง เนื่องจากท่านมีระดับเกียรติยศขั้น 10 ท่านสามารถใช้คลังแสงได้ถึงห้องสมบัติห้องแรก โดยปกติแล้วท่านต้องใช้แต้มผลงานในการแลกเปลี่ยนสิ่งของเหล่านี้ แต่ท่านสามารถใช้โกลด์แลกซื้อได้ในส่วนที่ขาด”
อินกองยิ้มออกมาระหว่างเดินตามอิมพ์ที่กำลังนำทางเขาไปยังห้องสมบัติ
มันเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่มาก ใหญ่ราวยี่สิบเท่าหากเทียบกับคลังแสงที่เขาพบในวิหารทั่งวัชรกร
ยิ่งไปกว่านั้น แท่นแสดงทั้งหมดยังเต็มไปด้วยยุทโธปกรณ์หลากหลาย ต่างไปจากวิหารทั่งวัชรกรที่มีบางส่วนขาดหายไป
แม้อินกองจะเคยเห็นแล้วจากในเกม แต่เขาก็อดอัศจรรย์ใจไม่ได้ ยิ่งคารัคและกัมมะที่มาเป็นครั้งแรก ทั้งสองตาโตอย่างตกตะลึง
โดยเฉพาะกัมมะ นางสั่นระรัวราวกับจะหัวใจวาย
“ทั้ง ทั้งหมดนี่คือ?”
กัมมะพูดติดขัดพลางรับเกราะที่อินกองเลือกส่งให้นาง เกราะโซ่ที่ปลุกเสกด้วยอาคมสายฟ้า หมวกและถุงมือเงินบริสุทธิ์ เป็นอุปกรณ์ที่นางไม่คิดฝันแม้แต่จะพบเห็น
อินกองทำเพียงพูดตอบนางสั้นสั้น
“ถูกต้อง”
กัมมะแสดงความลังเลออกมา แต่สิ่งของเหล่านี้เปรียบได้เพียงเท่าธุลีสำหรับวังหลวงเท่านั้น
‘ค่อยสมเป็นวังจอมมาร’
ศูนย์กลางแห่งโลกมาร อินกองรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เมื่อยกที่ราบอินคามาเปรียบแล้ว ทั้งสองที่ไม่สามารถนำมาเทียบกันได้เลย
คารัคพูดออกมาอย่างภาคภูมิ
“อย่าได้ลังเล เพื่อจะปกป้ององค์ชายแล้ว พวกเราต้องแข็งแกร่งขึ้น”
เป็นคำพูดที่มีเหตุผลจนเหลือเชื่อว่าจะมาจากออร์ค คารัคส่วมหมวกเกราะสีดำ ดูเข้ากับเกราะอกที่มันสวมอยู่ บนหลังของมันก็แบกโล่เวทมนตร์ เนื่องจากมันได้ของบางอย่างมาก่อนแล้ว นั่นทำให้มันไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมมากนัก
แค่ก แค่ก… ‘ค่าปิดปาก’
อินกองเลือกเกราะหนังเพื่อใช้ป้องกันการโจมตีจากธาตุ เคล็ดไอศวรรย์ต้องการความคล่องแคล่วทำให้เกราะหนักไม่เหมาะกับเขา สังเกตได้จากที่ทั้งคริสต์และเคทลินต่างก็ใช้เกราะหนัง
ค่าใช้จ่ายในครั้งนี้เป็นทั้งหมด 15,000 แต้มผลงาน ครึ่งหนึ่งเป็นสำหรับเกราะหนังของอินกองและโล่ของคารัค
‘เราไม่ควรจะงกแต้มผลงานกับพวกอุปกรณ์ต่างๆ’
แต้มเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากกลับมาจากภารกิจครั้งนี้ เขาอาจจะสามารถเข้าสู่ห้องสมบัติระดับสูงขึ้นก็เป็นได้ ซึ่งเต็มเหล่านี้ถือว่าน้อยมากสำหรับของเหล่านั้น
‘เอาละ ค่อยดูสมเป็นเจ้าชายหน่อย นี่สิถึงจะเรียกว่าผู้กล้า’
อินกองพร้อมจะออกจากห้องสมบัติอย่างพึงพอใจก่อนที่…
‘แล้วข้าละนายท่าน?’
‘นายท่านปฏิบัติสองมาตรฐานกับข้าตลอด’
‘ข้าก็เขียวเหมือนกันนะ แต่นายท่านกลับเห็นเจ้าออร์คดีกว่าข้า!’
เสียงบ่นของกรีนวินด์ดังขึ้นในหูของอินกองอย่างต่อเนื่อง เขาหัวเราะออกมาก่อนจะถามอย่างกวนกวน
“แล้วอยากได้อะไรละ?”
‘เอ่อ… ’
แน่นอนว่าไม่มีคำตอบ นั่นเพราะกรีนวินด์ไม่สามารถปรากฏตัวด้วยร่างเนื้อได้ตลอดเวลา จึงไม่มีความจำเป็นที่นางจะใช้ชุดเกราะหรืออาวุธ
กรีนวินด์โอดครวญออกมาเพราะนางไม่มีอะไรที่นางใช้ได้ ก่อนอินกองจะหัวเราะอีกครั้ง
“งั้นผมจะชื่นชมกรีนวินด์เมื่อเรากลับถึงคฤหาสน์แล้วกัน”
‘ข้าไม่ได้ทำอะไรที่คู่ควรกับคำชม’
“งั้นก็ไม่มีคำชม”
‘อ เอ่อ บางทีการได้คำชมโดยไม่มีเหตุผลก็ไม่เลวเสียทีเดียว’
อินกองพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ อิกอร์ที่ไม่รู้ถึงตัวตนของกรีนวินด์ได้แต่มองมาที่อินกองอย่างลังเล
หลังจากออกมาจากคลังแสง อินกองก็มุ่งหน้าไปยังโรงเหล็ก กัมมะคาดคิดว่ามันจะเป็นสถานที่อันเต็มไปด้วยเหล่าช่างมากมายเต็มไปด้วยเหงื่อ และเตาไฟ ทว่าสถานที่จริงกลับเรียบง่าย ดูไม่ต่างจากกระทรวงเกียรติยศ
สถานที่สั่งของไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เดียวกับที่ที่ของเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นจริง
เกเตอร์ ช่างเหล็กเผ่าลิซาร์ดแมนเป็นผู้รับรายการจากอินกองชิ้นต่อชิ้น พลางถามยืนยันรายละเอียดทั้งหลาย
“นี่ท่านกำลังพูดถึงเกราะเท้าใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว เกราะเท้า”
ของที่อินกองสั่งทำเรียกได้ยากว่าเป็นเกราะเท้า หากจะพูดอย่างไม่เป็นทางการ มันดูเหมือนรองเท้ากีฬา(สตั๊ด)เสียมากกว่า
เคล็ดไอศวรรย์ไม่ได้จำกัดแต่เพียงการใช้มือเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเท้าด้วย
นั่นทำให้เกราะเท้าทั่วไปที่หนัก ไม่เหมาะกับอินกอง
เกราะเท้าของอินกองต้องเบาที่สุดเท่าที่ทำได้ รูปร่างของมันต้องไม่รบกวนต่อการเคลื่อนที่และความเร็ว ยิ่งกว่านั้นมันต้องได้รับการปลุกเสกอาคมเพื่อเสริมความแข็งแรง
หลังจากซักรายละเอียดจากอินกอง เกเตอร์ก็เข้าใจในที่สุด
“เข้าใจละ ถ้ามันมีรูปร่างง่ายๆแบบนี้ ก็ไม่น่าจะใช้เวลานานนัก”
“ไม่นานนักนี่เท่าไร?”
“สองวันก็น่าจะเกินพอ”
กัมมะตกตะลึงอีกครั้ง นี่ไม่ใช่เกราะเท้าธรรมดา แต่เป็นเกราะที่ปลุกเสกอาคม ทว่ามันกลับใช้เวลาสร้างเพียงสองวัน? นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับที่ราบอินคา
แต่นี่ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับอินกอง เขานึกถึงแต้มผลงานที่เขาเหลือก่อนจะเจรจาเพิ่ม
“มีวัตถุดิบอะไรแนะนำบ้าง?”
“หืม? ข้าสามารถทำมันด้วยหนังและเกล็ดมังกรได้”
“ฮ่ะ?”
คำตอบของเกเตอร์ทำให้อินกองประหลาดใจอย่างมาก หนังมังกร เกล็ดมังกร… วัตถุดิบพิเศษขนาดนั้น มันเกินกว่าที่แต้มผลงานของอินกองในตอนนี้จะเพียงพอ
‘****พูดเล่นใช่มั้ยเนี่ย?’
ทว่าแววตาของช่างเหล็กบ่งบอกว่ามันพูดจริง มันมองไปยังคารัคและกัมมะที่ยืนอยู่ด้านหลังอินกองก่อนจะกระซิบบอก
“มีวัตถุดิบบางอย่างถูกส่งมาในชื่อขององค์ชาย ทั้งหมดเกินพอสำหรับรายการที่สั่ง”
“ในชื่อของเรา?”
“ใช่ ถูกต้องแล้ว”
เป็นเรื่องที่ไม่แปลกใหม่ เหล่าทายาทย่อมมีผู้คอยสนับสนุน อย่างเช่นแซเฟียร์ก็จะมีขุนนางจากฝั่งแม่ส่งของกำนัลมาให้เป็นระยะ
ที่แปลกคือมีของถูกส่งมาให้ฉัตร?
‘หรือจะมาจากพวกคนธรรพ์?’
ถึงจะมีอิทธิพลน้อย แต่ก็เป็นถึงเผ่าของหนึ่งในราชินี อินกองเริ่มคาดหวังขึ้นมาอีกครั้ง
“ช่วยบอกได้ไหมว่าใครส่งมา?”
เกเตอร์สูดหายใจเข้าเต็มที่ ก่อนจะตอบด้วยเสี่ยงที่แผ่วเบากว่าเดิม
“อิชย์”
คารัคและกัมมะนัยน์ตาเบิกกว้าง แม้ทั้งคู่จะมาจากเขตชายแดนแต่ก็รู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี
ปราชญ์ดาบอิชย์
ตำนานที่มีตัวตนจากยุคที่แล้ว
ผู้ที่ไม่สังกัดฝ่ายใดของเหล่าราชินี
ผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นปู่ของเหล่าทายาทจอมมารทั้งหมด
ผู้อาวุโสแห่งเผ่าสุร
เพื่อนเก่าของพี่สาว(?)ลาเมีย
จบบทที่ 9 – พิเศษ เริ่มบทที่ 10 – ตีฝ่า