ตอนที่ 40 จิตใจอันโสมมของมนุษย์
หลิวเซียนกูสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
คำพูดของเด็กสาวตรงหน้าราวกับมือที่มองไม่เห็นฉีกกระชากความลับที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของนางจนขาดวิ่น โลหิตสีแดงสดคล้ายกับจะไหลออกมาจากร่างจริงๆ ร่างมีอายุยืนโงนเงน แทบประคองตัวไว้ไม่อยู่
ในเวลานี้เองหลิวเซียนกูมั่นใจชัดเจนแล้วว่าเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้านางนี้ รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับนางทั้งหมดแล้ว! เพียงแต่…เด็กสาวอายุน้อยอย่างนางไปรู้เรื่องพวกนั้นมาได้อย่างไรกัน!
หลิวเซียนกูถูกทำให้ตื่นตระหนกเข้าแล้วจริงๆ
ได้ยินเพียงน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยสบายๆ ของเด็กสาวดังลอยเข้ามาในหูเบาๆ “เรื่องที่ว่าสามีของท่านตายไปแล้วนั้นไม่ผิด เพียงแต่คนที่เสียชีวิตในเวลาต่อมาไม่ใช่บุตรชายแต่เป็นบุตรสาวของท่านต่างหาก ในเวลานั้นท่านมีโอกาสได้เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในจวนหลังใหญ่แล้ว เล็งเห็นว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะได้เปลี่ยนฐานะจากชาวบ้านยากจนสู่การเป็นเศรษฐีผู้ร่ำรวย แผนการสับเปลี่ยนตัวตนระหว่างบุตรชายและบุตรสาวจึงถูกคิดขึ้นมา!”
เจียงจื่อจ้องไปที่หลิวเซียนกูอย่างตั้งใจ เมื่อเห็นความตื่นตระหนกในแววตาของอีกฝ่าย บวกกับท่าทีนั่งไม่ติดที่นั่น นางก็แอบเก็บสายตากลับไปอย่างเงียบๆ
พูดถึงตรงนี้ นางรู้สึกสะอิดสะเอียนนิดหน่อย
จิตใจของมนุษย์เราจะเลวร้ายสกปรกและโสมมได้ถึงขั้นไหนกัน แม้ในชีวิตก่อนหน้านี้นางจะได้ลิ้มรสมันมาอย่างลึกซึ้งแล้ว แต่นางก็ยังอดไม่ไหวรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งหัวใจ
ผู้หญิงคนนี้ เพื่อให้บุตรชายของนางมีชีวิตที่ดี ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องอาหารและเสื้อผ้าอีกต่อไป ถึงกับให้เขาทำเรื่องสวมรอยฐานะของบุตรสาว เพื่อให้เขาสามารถหลอกลวงทำร้ายคุณหนูบ้านเศรษฐีผู้นั้นได้สะดวก!
พฤติกรรมของคนอย่างหลิวเซียนกู อย่าว่าแต่จิตใจชั่วร้ายเห็นแก่ตัวเลย สมควรถูกนิยามว่าต่ำช้าสมควรตายเสียมากกว่า
หลิวเซียนกูทำเรื่องหลอกลวงผู้คนเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว หลังจากความตื่นตระหนกในตอนแรกผ่านพ้นไป น้ำเสียงของหญิงมีอายุก็กลับมาสงบนิ่ง กล่าวกับเด็กสาวตรงหน้าไปด้วยความนุ่มนวลว่า “นิทานที่คุณหนูเล่ามาช่างน่าสนใจมากจริงๆ ไม่ทราบว่าเรื่องนี้ยังมีตอนต่อไปหรือไม่”
เจียงซื่อมองหลิวเซียนกูด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางพูดต่อ “เซียนกูอย่าเพิ่งรีบร้อนไปสิ ข้าจะเล่าต่อเดี๋ยวนี้ หลังจากที่บุตรสาวตายไป ท่านก็บอกกับคนข้างนอกว่าคนที่ตายคือบุตรชายของท่าน จากนั้นให้บุตรชายของตัวเองแต่งตัวเป็นผู้หญิงแล้วหอบผ้าหอบผ่อนหนีออกจากบ้านเกิด นับแต่นั้นมาคนที่เคยรู้จักกับพวกท่านแม่ลูกจึงรู้แค่ว่าพวกท่านเป็นคู่แม่หม้ายกับบุตรสาวที่อาศัยอยู่ด้วยกันเพียงลำพังเท่านั้น ที่คุณหนูของบ้านเศรษฐีเหยียนป่วยเป็นโรคแปลกประหลาด ก็เป็นฝีมือของท่านที่วางยานางไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วเช่นกัน จะได้สะดวกต่อการเข้าไปอยู่ในจวนผู้อื่นอย่างเปิดเผย และเศรษฐีเหยียนก็จะได้ไม่ต้องหวาดระแวงสงสัยในตัวของพวกท่านแม่ลูกด้วย ตลอดระยะเวลาเจ็ดวันเต็มที่บุตรชายท่านอยู่ในห้องนอนของนาง ถึงได้ลงมือรังแกนางได้สะดวก ทว่าโชคก็เข้าข้างพวกท่านเหลือเกิน คุณหนูผู้นั้นไม่เพียงแต่เกิดความรักลึกซึ้งต่อตัวบุตรชายท่าน ยังถึงขั้นตั้งครรภ์…”
ฟังถึงตรงนี้ หลิวเซียนกูก็อดไม่ได้ยกมุมปากขึ้นมา
แม้แต่นางเองก็คิดไม่ถึงว่าพวกนางจะโชคดีขนาดนี้!
ใช่ ด้วยระยะเวลาเพียงเจ็ดคืนสั้นๆ ก็ทำให้คุณหนูเหยียนผู้นั้นตั้งครรภ์ขึ้นมาได้จริงๆ
ในตอนนั้นนางรู้สึกว่าพระท่านจะต้องแอบช่วยเหลือพวกนางอย่างแน่นอน และเรื่องราวต่อมาก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็น เมื่อทุกอย่างผ่านไปได้อย่างราบรื่นสมกับที่พวกนางปรารถนา
ท่าทีโอหังภาคภูมิใจเสียเหลือของของหลิวเซียนกูขัดตาเจียงซื่อเหลือจะกล่าว มันทำให้นางโกรธมาก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตราบใดที่สบโอกาสอีกในอนาคต ผู้หญิงคนนี้จะต้องทำเรื่องชั่วช้าออกมาอีกครั้งอย่างแน่นอน
คิดถึงตรงนี้ เจียงซื่อก็กลอกตาใส่ตัวเองแล้วหัวเราะเยาะเบาๆ
ไม่ต้องรอให้ถึงในอนาคตหรอก ไม่ใช่ว่านางมุ่งเป้ามาที่พี่รองของนางแล้วหรือ
อีกฝ่ายกำลังจะสร้างหายนะให้กับเขา!
“ไม่อาจไม่กล่าวว่าเซียนกูท่านโชคดีจริงๆ ด้วยวิธีการนี้เศรษฐีเหยียนยังจะกล้ารังเกียจลูกเขยยากจนที่ทั้งแม่ทั้งลูกหอบข้าวของมาอยู่ในจวนเขาเรียบร้อยแล้วอีกหรือ ยิ่งไปกว่านั้นบุตรชายท่านยังเป็นชายในฝันของบุตรสาวเขาอีก คงมีแต่ต้องรีบจัดงานแต่งขึ้นมา จะได้กลบข่าวฉาวเรื่องท้องก่อนแต่งไม่ให้อื้อฉาวแพร่สะพัดออกไป บางทีในตอนแรกเศรษฐีเหยียนพ่อตาราคาถูกผู้นี้อาจถึงขั้นรู้สึกผิดต่อลูกเขยผู้ยากจนที่เต็มใจแต่งงานกับบุตรสาวเขาด้วยซ้ำ”
เมื่อหลิวเซียนกูฟังถึงตรงนี้ นางก็หลุดหัวเราะออกมาจริงๆ กล่าวว่า “เรื่องที่คุณหนูเล่ามาช่างสนุกและน่าสนใจจริงๆ เพียงแต่มันจะไม่แปลกประหลาดเกินไปหน่อยหรือ”
นางต้องยอมรับว่า สิ่งที่เด็กสาวตัวเล็กตรงหน้าพูดออกมานั้นถูกต้องตรงกับความเป็นจริงทุกประการ!
ในตอนแรกเศรษฐีเหยียนเกรงใจและระมัดระวังตัวเวลาอยู่ต่อหน้าบุตรชายนางจริงๆ เขากลัวนักว่าความอื้อฉาวที่บุตรสาวของเขาสร้างขึ้นมาจะถูกเปิดโปงออกมา จนกระทั่ง…
เจียงซื่อไม่สนใจปฏิกิริยาของหลิวเซียนกู ปลายนิ้วไล้ลงไปบนขอบถ้วยชาที่เรียบลื่นราวกับหยก “แต่เศรษฐีเหยียนไม่ใช่คนโง่ ภายหลังเขาคงปะติดปะต่อ คิดอะไรต่อมิอะไรได้กระจ่างแล้วกระมัง”
“คิดกระจ่างแล้วอย่างไร ไม่กระจ่างแล้วอย่างไรเล่า” หลิวเซียนกูหมดความอดทนแล้วเช่นกัน นางถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เจียงซื่อเปรยตาขึ้นพิจารณานางเล็กน้อย สายตาที่ใช้มองดูอีกฝ่ายติดเหยียดหยันไม่คล้ายมองดีเท่าไหร่ “จนถึงตอนนี้แล้วเซียนกูท่านยังไม่ยอมรับอีกหรือ นี่ไม่ค่อยดีเลย…”
“เหอะ หลักฐานเล่า คุณหนูพูดมาถึงขนาดนี้แล้วมีหลักฐานอะไรหรือไม่” เซียนกูหลิวหัวเราะเสียงดัง ในน้ำเสียงแฝงความขู่เข็ญอยู่หลายส่วน
ตึก!
เจียงซื่อกระแทกถ้วยชาลงกับโต๊ะเสียงดังลั่น
เด็กสาวเอนหลังพิงพนักพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบลงมาราวกับกระจกสะท้อนก็มิปาน สายตาที่นางใช้มองดูคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งคล้ายกับจะบอกเป็นนัยว่านางไม่ต่างอะไรจากตัวตลกที่กำลังเต้นเร่าๆ ไปด้วยความร้อนตัว
หลิวเซียนกูหุบยิ้มทันใด
“ใบไม้ร่วงหล่นคืนสู่ราก คนตายกลับคืนสู่ผืนดิน หลังจากที่บุตรสาวท่านตายไปแล้ว นางก็ถูกฝังอยู่ในสุสานบรรพบุรุษในฐานะของบุตรชายท่าน ขอเพียงมีการขุดโลงออกมาทำการชันสูตรพลิกศพใหม่อีกครั้ง ก็จะรู้ได้ทันทีว่าผู้ที่ตายไปเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย”
“เหอะๆ คำพูดของคุณหนูออกจะน่าขันเกินไปหน่อยแล้ว สำนวนที่ว่ากลับคืนสู่ผืนดินอย่างสงบ มิใช่ว่าเพื่อให้ดวงวิญญาณของผู้ตายได้กลับไปนอนหลับอยู่ใต้ดินอย่างสงบสุขหรอกหรือ หากอาศัยแค่คำพูดจากปากคนนอกไม่กี่คำ ท่านคิดว่าพวกเขาจะยอมให้คนอื่นขุดหลุมฝังศพบ้านตัวเองขึ้นมาหรืออย่างไรกัน”
ตรงจุดนี้หลิวเซียนกูมั่นใจมาก เนื่องจากอาชีพนี้ของนางต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวอยู่เป็นประจำ เวลานี้ยามอยู่ต่อหน้าเด็กสาวจึงไม่กังวลอะไรอีก ยิ่งไม่คิดอ้อมค้อมยืดเยื้อให้มากความ “สำหรับเศรษฐีเหยียนผู้นั้น ต่อให้เขาคิดตกคิดได้แล้วจะอย่างไร เรื่องราวน่าอับอายเช่นนี้ซ่อนไว้ยังแทบไม่ทันเลย ท่านยังคิดจะให้เขาโพนทะนาไปทั่ว คุณหนูท่านอายุยังน้อยคงยังไม่รู้ความมากนัก ไม่ว่าใครก็ตามที่ประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่มีใครอยากพูดมันออกไปทั้งนั้น”
พอพูดจบ นางก็มองไปที่เจียงซื่อด้วยรอยยิ้มแฝงความนัย ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้เห็นปฏิกิริยาตอบโต้ที่ทำอะไรไม่ถูกของอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตามเจียงซื่อกลับยิ้มขึ้นด้วยท่าทีไม่แยแส เพียงกล่าวออกไปเบาๆ ว่า “ในที่สุด…เซียนกูท่านก็ยอมรับมันแล้วสินะ”
ดวงตาของหลิวเซียนกูไหววูบ นางหลุบตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อยและไม่ตอบสนองอะไรอีก
“งานของเซียนกูคือต้องรับมือกับภูตผีและเทพเซียนอยู่บ่อยๆ หรือท่านยังไม่ชัดเจนอีกว่าการที่สตรีนางหนึ่งซึ่งยังไม่ออกเรือนนั้นไม่สามารถฝังลงสุสานของบรรพบุรุษได้ เพราะจะทำให้ฮวงจุ้ยของสุสานถูกทำลายและส่งผลต่อความมั่งคั่งมั่นคงของตระกูล หากวันนี้ ข้าไปเชิญนักพรตท่านหนึ่งที่มีประสบการณ์ออกท่องโลกกว้างมานานหลายปีแล้วมา แล้วให้เขาพูดว่าที่ตระกูลเฉียนไม่เจริญรุ่งเรืองมาหลายปีแล้ว ทำมาค้าขายอะไรก็ไม่ขึ้นสักที เป็นเพราะในตระกูลของพวกเขามีการผกผันของหยินสายหนึ่งอยู่เหนือสุสานบรรพบุรุษของพวกเขา มิหนำซ้ำความผันผวนนี้ยังมาจากคนรุ่นหลังอีกด้วย ท่านว่า…พวกเขาจะยอมให้เปิดโลงศพหรือไม่”
หลิวเซียนกูลืมตาตื่นขึ้นมาทันใด ถลึงตาจ้องใส่เจียงซื่อด้วยความดุร้ายและเกรี้ยวโกรธ
นางย่อมทนไม่ได้หากจะมีใครขุดกระดูกของบุตรสาวนางออกมาเปิดประจานให้คนข้างนอกดู!
ยิ่งไปกว่านั้น หากตระกูลเฉียนรู้ว่านางฝังศพลูกสาวไว้ในสุสานของบรรพบุรุษล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่ศพของสามีของนางคงถูกขุดขึ้นมาด้วยแล้วขับไล่ออกจากสุสานเป็นแน่แท้
“เซียนกูพูดถูก เศรษฐีเหยียนค้นพบความจริงแล้วจะอย่างไรเล่า เขาย่อมทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดฟันทนแล้วกลืนก้อนโลหิตนั้นลงคอไป แต่…มีสิ่งหนึ่งที่เซียนกูอย่าได้ลืม วาจาคนนั้นน่ากลัวนัก ในเมืองเล็กๆ ที่ขาดสีสันไร้ชีวิตชีวาแห่งนี้ คงมีเพียงเรื่องซุบซิบนินทาเท่านั้นกระมังที่พอจะทำให้พวกเขาผ่านวันหนึ่งๆ ที่น่าเบื่อไปได้ ข้าไม่ถึงขั้นต้องถ่อไปเชิญนักพรตอะไรนั่นมาหรอก แค่ ‘เชิญ’ คนว่างงานปากสว่างสองสามคนมานั่งร่วมดื่มชาด้วยกัน จากนั้นก็ ‘เผลอ’ หลุดพูดประโยคไม่กี่ประโยคออกไป ไม่ต้องใช้หลักฐานด้วยซ้ำ ถึงตอนนั้นสายตาที่จับจ้องไปยังครอบครัวของเศรษฐีเหยียนอย่างสนอกสนใจ ก็เพียงพอให้พวกเขารวมถึงลูกชายท่านไม่กล้าก้าวเท้าออกจากประตูจวนแล้ว”
“นี่ นี่เจ้า…” ร่างกายของหลิวเซียนกูสั่นเทิ้ม ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด
นี่คือหญิงสาวอายุเพียงสิบกว่าปีแน่หรือ!
“อยากบอกให้คุณหนูรู้ไว้ คุณหนูเหยียนยามนี้มีบุตรชายสองคนและบุตรสาวอีกหนึ่งคน สองสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวยิ่งนัก เจ้าทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับทำลายความสามัคคีในครอบครัวของพวกเขา บีบบังคับให้พวกเขาเดินสู่ทางตันเลย เจ้าไม่กลัวถูกฟ้าดินลงโทษหรือ”
“เหอะ!” เจียงซื่อแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ถ้าฟ้าดินจะลงโทษจริง มันก็ไม่มีทางตกมาถึงตัวข้าหรอก!”
ช่างน่าขำ นักพรตที่กระทำแต่เรื่องชั่วช้าอย่างเจ้า สร้างเรื่องทำลายทำร้ายชีวิตของผู้คนมานับไม่ถ้วน กล้าดีอย่างไรมาพูดเรื่องสวรรค์ลงทัณฑ์กับข้า!
คิดจะปิดซ่อนเนื้อเน่าภายใต้อาภรณ์หรูหราอย่างนั้นหรือ
“อันที่จริงข้ากับเซียนกูต่างก็น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ไม่มีความจำเป็นต้องปะทะกันเลยสักนิด น่าเสียดาย ผู้ใดใช้ให้ท่านอยากสร้ายหายนะให้พี่รองของข้าเล่า ใครกล้าแตะต้องพี่รองของข้า ข้าก็จะทำให้มันผู้นั้นได้ลิ้มรสชาติของการอยู่ไม่สู้ตายว่าเป็นอย่างไร!” เด็กสาวยิ้มหวาน ก่อนจะหันไปพูดต่อด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “ก็คงได้แต่หวังว่าเงินที่ท่านอาสะใภ้รองข้าให้ท่านไว้จะเพียงพอต่อการขายทั้งชีวิตของท่าน”
หลิวเซียนกูตะลึงพรึงเพริด แต่เพียงชั่วครู่ดวงตาของนางก็กระจ่างชัด เข้าใจได้ในที่สุด!
ใช่แล้ว คิดหาเงินสบายๆ ย่อมทำได้ไม่ยาก แต่หากถึงขั้นต้องขายชีวิตล่ะก็ แบบนี้มันได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ นั่นแหละ!