ตอนที่ 50 สามเหตุการณ์ในชังโยว

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 50 สามเหตุการณ์ในชังโยว

ร่างกายของมั่วเชียนเสวี่ยแข็งทื่อ อ้อมกอดที่ใฝ่หามาตลอดกลับมาแล้ว ถึงกระนั้น นางจะไม่มีวันใจอ่อนอีกต่อไป

“ปล่อย! ให้เกียรติข้าด้วย!” น้ำเสียงเย็นชา ทีละคำ

หัวใจของหนิงเซ่าชิงสั่นไหว วงแขนกอดรัดแน่นขึ้น คนที่นิ่งงันอยู่ในอ้อมแขนทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจ

นึกแล้วเชียว…

“ปล่อยข้า! ไปเขียนหนังสือหย่ามา ข้าจะไป ข้าจะไม่ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลหนิงเสียหายแม้แต่ปลายนิ้ว” บางทีการจากไปอาจดีกว่าการที่ต้องทนโดนรังเกียจ

“ข้าไม่ปล่อย”

“ไม่ปล่อย?”

“ไม่ปล่อย ให้ตายอย่างไรข้าก็ไม่ปล่อย!”

วันนี้เราทั้งคู่ไม่ใครก็ใครจะต้องตายกันไปข้าง!

เขายอมรับว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันมากเกินไป แต่เขาคิดว่าตนไม่ผิด มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถสัมผัสริมฝีปากของมั่วเชียนเสวี่ยได้ ตอนนี้เขายังไม่ได้จูบ แต่ดูนางสิ กลับไปจูบกับ…

มั่วเชียนเสวี่ยยืนแน่นิ่ง ใบหน้าที่เย็นชาเวลานี้กลับหยุดนิ่งไม่ได้ดีดดิ้นอย่างเมื่อครู่แล้ว หัวใจของหนิงเซ่าชิงยิ่งปั่นป่วนมากขึ้น

“ข้าผิดเอง…” หนิงเซ่าชิงรู้แล้วว่าเขาคิดผิด เขาคิดผิดที่ไม่ระงับความโกรธด้วยการไม่ขว้างหินใส่หญิงสาวที่จูบกับนาง แต่กลับมาลงที่การเช็ดริมฝีปากของมั่วเชียนเสวี่ยแทน

เขาคิดผิดจริงๆ และตอนนี้เขาก็เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป แต่น่าเสียดายที่มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้ความคิดของเขา เมื่อได้ยินถ้อยคำที่เขาเอ่ยออกมาเบาๆ หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยพลันเบิกบานและโลกก็กลับมาสวยงามอีกครั้ง

อันที่จริงหลังจากพูดคำว่า ‘หนังสือหย่า’ ปากแสนแข็งกร้าว แต่ในใจกลับสั่นสะท้าน มั่วเชียนเสวี่ยหวาดกลัว กลัวว่าเขาจะรังเกียจนางจริงๆ กลัวว่าเขาจะเห็นด้วยกับคำพูดพล่อยๆ นั่น แค่คิดนางก็รู้สึกงุ่นง่านขึ้นมาแล้ว

เมื่อเห็นว่าหนิงเซ่าชิงตื่นตระหนกและสำนึกในความคิดผิดของเขา ความสูญเสียและความเศร้าในใจชั่วขณะก็หายไป เผยให้เห็นร่องรอยของความดีใจปรากฏขึ้นอย่างไร้สาเหตุ

แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น แต่ปากกลับไม่ให้อภัย “ท่านไม่รังเกียจข้าแล้วหรือ ทั้งบอกว่าข้าผิดจรรณยาบรรณและยังไร้ยางอาย…”

“นั่นเป็นเพราะอารมณ์โกรธ ข้าจึงพูดออกไปเช่นนั้น”

“แสดงว่าท่านรังเกียจ…”

“ไม่! ไม่เด็ดขาด!”

“ก็ท่าน…อุ๊บ”

รอยเลือดจางๆ ตามริมฝีปากของมั่วเชียนเสวี่ยเริ่มเข้มขึ้น เลือดสีแดงก่ำดูเหมือนจะกระตุ้นเส้นประสาทในร่างกายของหนิงเซ่าชิง เขาอดไม่ได้ก้มศีรษะลงและแนบปากปิดกั้นสิ่งที่นางกำลังจะพูด

ริมฝีปากของมั่วเชียนเสวี่ยร้อนผ่าวและเจ็บแสบ ดูเหมือนตอนนี้ปากของนางจะกระหายน้ำผิดปกติ จู่ๆ ก็ร่างบางรู้สึกร้อนรุ่มว สมองพลันขาวโพลน ริมฝีปากบางกำลังดูดกลืนกลับ เมื่อเห็นแรงอารมณ์ของมั่วเชียนเสวี่ย ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย หลังจากมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เลียแผลที่ริมฝีปากของคนตรงหน้าอย่างอ่อนโยนและทะนุถนอม

เขาต้องการบอกมั่วเชียนเสวี่ยว่าเขาไม่ได้รังเกียจ เขาแค่หึงหวง

ใช่ เขาหึง หึงแรงด้วย!

เลือดบนริมฝีปากของนาง ตอกย้ำว่าเขานั้นหยาบคายแค่ไหนและการกระทำของเขาทำให้ร่างบางรู้สึกเจ็บปวดเพียงใด

หนิงเซ่าชิงยังคงแทะเล็มตามแรงปรารถนา ครั้นมั่วเชียนเสวี่ยได้สติคนร่างบางก็นิ่งค้างไป อย่าทำตัวหน้าไม่อายขนาดนี้ได้หรือไม่ วินาทีก่อนหน้านี้ใครบางคนยังต้องการหย่ากับผู้อื่นอยู่เลย แต่ในวินาทีถัดมาคนผู้นั้นกลับยืนกอดจูบกับผู้อื่น

น่าอายจริงๆ สวรรค์ยกโทษให้ข้าด้วย ข้ากระหายน้ำไม่ไหวแล้ว

คิดได้ดังนั้น นางจึงผลักเขาออก มั่วเชียนเสวี่ยหน้าแดงเล็กน้อยกับท่าทีเคลียคลอของเขา “จริงๆ แล้ว ข้าไม่ได้จูบนาง เพียงแต่นางกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย ข้าที่พอได้เรียนรู้วิธีการปฐมพยาบาลมาบ้างจึงใช้มันเพื่อช่วยเหลือนางเท่านั้น มันเป็นเพียงการแลกลมปราณเพื่อให้อีกฝ่ายกลับมาหายใจอีกครั้ง ”

แม้ว่าหนิงเซ่าชิงจะไม่สนใจถาม แต่นางก็ควรอธิบายเรื่องทุกอย่างให้ชัดเจน

ช่วยให้หายใจอย่างนั้นหรือ เขาไม่เข้าใจเลย เหตุใดนางจึงไม่ใช้คำพูดที่มันฟังดูจะเข้าใจง่ายกว่านี้หน่อย

หนิงเซ่าชิงจำสถานการณ์ในตอนนั้นได้ดี เขาเป็นคนรอบรู้ อันที่จริงก็พอเดาเหตุการณ์ได้คร่าวๆ เพียงแต่เขาทำใจยอมรับไม่ได้เท่านั้น

“จะไม่มีครั้งต่อไป…”

“หืม?”

“อย่าทำให้ข้าโกรธอีก” หนิงเซ่าชิงรีบเปลี่ยนคำพูดของเขาทันควัน

มั่วเชียนเสวี่ยพอใจกับท่าทีของเขาในตอนนี้มาก แต่ใบหน้าเล็กยังคงแสร้งทำเป็นไม่พอใจ “ไม่อยากให้ข้าทำให้ท่านโกรธ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้”

“เจ้าว่ามา…” เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ร่างสูงจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงอบอุ่นอีกครั้ง หากนางต้องการดวงดาวบนท้องฟ้า เขาก็จะหาทางไขว่คว้ามันมาให้จงได้

เมื่อมองไปที่ริมฝีปากแสนนุ่มนวลที่สุดของหนิงเซ่าชิง ดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยก็ฉายแววเจ้าเล่ห์

นางยกมือขึ้นและจิกริมฝีปากของเขาอย่างรวดเร็ว

“นี่… เจ้า!”

เขาคิดว่านางกำลังจะจูบเขา แต่ความเป็นจริง นางกลับฝากฝังความเจ็บแสบไว้ที่ริมฝีปากของเขาแทน

หนิงเซ่าชิงหน้าแดง ครั้นมือร้อนแตะลงที่ริมฝีปากของเขาราวกับมีดอกโบตั๋นสีแดงสดใสเบ่งบานที่ในฝ่ามือนั่น ทันในนั้น นาง นางก็กระโดดขึ้นกัดริมฝีปากของเขา!

มั่วเชียนเสวี่ยเดินออกจากห้องโถงด้วยรอยยิ้ม ดวงตาที่ยิ้มแย้มหรี่ลง เขาแตะริมฝีปากของตนเองแล้วชี้ไปที่จุดสีแดงเข้ม ที่ไม่รู้ว่าเลือดแดงนี้เป็นของนางหรือของเขากันแน่

เขาเช็ดถูปากนาง นางกัดริมฝีปากของเขา

เสมอกัน!

……

ณ อำเภอชังโยว

รถม้าโคลงเคลงตลอดทาง ผู้จัดการอวี๋ที่มีเลือดท่วมหัวและปากกลับจวนไปเช่นนั้น แถมยังฟ้องเรื่องที่ประสบมาอีกด้วย เหตุนี้ กุนซืออวี๋จึงเร่งรุดเดินทางในความมืดไปถึงจวนของท่านนายอำเภอ

หลังจากฟังรายงานของกุนซืออวี๋แล้ว

นายอำเภอชังโยวพลางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามขึ้น “อวี๋กุนซือ คิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”

“ตามที่ข้าคิด ผู้ว่าการมณฑลเทียนเซียงคงหวังที่จะครอบครองท่าเรือเพียงผู้เดียว”

“เมืองเทียนเซียงเป็นเขตปกครองระดับมณฑล แต่ชังโยวเป็นเพียงเขตปกครองระดับอำเภอ ถ้าเทียบกันแล้วทั้งเรื่องเขตแดนตลอดจนตำแหน่งราชการนับว่าอยู่รองจากเขาหนึ่งระดับ หากพวกเขาต้องการทำเช่นนั้นจริง เพียงแค่เอ่ยปากก็พอ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการลอบกัด”

“คงจะอยากรักษาชื่อเสียงที่ดีไว้ หึ ทำเรื่องต่ำช้าแล้วยังจะอยากได้ชื่อเสียงดีอยู่อีก”

“ไร้สาระสิ้นดี แม้ว่าตำแหน่งทางการของเขาจะสูง แต่ก็ไม่มีการสนับสนุนจากชาติตระกูลอยู่เบื้องหลัง แต่ตัวข้ากลับมีตระกูลเว่ยหนุนหลัง”

“จากที่ได้ยินรายงานมา ซินอวี้ผู้นั้นมีตระกูลเซี่ยคอยสนับสนุนเขาอยู่ เป็นเพราะตระกูลเซี่ยอนุเคราะห์เขาในตอนนั้น เขาจึงมีโอกาสได้รับการเลื่อนตำแหน่ง มิฉะนั้นบัณฑิตธรรมดาๆ และยังไร้ครอบครัวคอยหนุนอยู่ข้างหลังเช่นเขา คงไม่มีทางที่จะได้ขึ้นเป็นผู้ว่าการมณฑลเช่นนี้หรอก”

ตระกูลเซี่ยเป็นหนึ่งในสามตระกูลยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์เทียนฉีและหากพูดถึงอิทธิพลของตระกูลนี้ก็นับว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

ในบรรดาสามตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์เทียนฉีนั้น ตระกูลหนิงถือได้ว่าเป็นผู้ที่ถือครองความมั่งคั่ง บรรดาบุตรหลานของตระกูลซูเป็นแม่ทัพหลายคนและมีอำนาจทางทหาร และสุดท้ายคือตระกูลเซี่ย ผู้มีคนในตระกูลได้ดำรงตำแหน่งฮองเฮาถึงสามรัชสมัย พวกเขาจึงถือเป็นเครือญาติของราชวงศ์ หากใครคิดจะล่วงเกินหนึ่งในสามตระกูลใหญ่นี้ก็คงเป็นพวกไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ

“แล้วจะว่าอย่างไรได้ จะยอมแพ้เช่นนี้เลยหรือ”

“ข้าน้อยคิดว่า…”

……

ณ เมืองเทียนเซียง จวนเจี่ยน

เมื่อฟังรายงานจากเหล่าผู้ติดตามแล้ว ครั้นเห็นใบหน้าแสนเศร้าของบุตรสาว นายท่านเจี่ยนคำรามออกมาด้วยความโกรธ “จงบอกข้ามาว่าสตรีผู้นั้นเป็นใครกัน ถึงกล้าทำให้บุตรสาวของข้าเสื่อมเสียเกียรติ! เงียบปากกันทำไม พวกเจ้าตายไปแล้วหรืออย่างไร”

ในขณะที่ตะโกน แก้วในมือก็ถูกเขวี้ยงลงที่พื้นเสียงดังเพล้ง หมัวมัวและสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ตามมาด้วยบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ต่างคุกเข่าลงตึกตักตามๆ กัน

แม้ว่าเจี่ยนชิงโยวจะนั่งอยู่บนเก้าอี้ แต่เพราะตกน้ำในครั้งนั้นจึงทำให้นางเป็นหวัด ตั้งแต่กลับมาถึง ก็เอาแต่นั่งค้อมตัวขดอยู่ในอ้อมแขนของหมัวมัว

ยามนี้นายท่านกำลังโกรธจัด จู่ๆ หมัวมัวที่เลี้ยงนางมาอย่างใกล้ชิดสนิทสนมคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา เจี่ยนชิงโยวที่เห็นจึงขมวดคิ้ว “ท่านพ่ออย่าถือโทษโกรธหญิงผู้นั้นเลย นางช่วยชีวิตลูกไว้ แม้ว่าวิธีการนี้จะค่อนข้างสุดโต่งไปบ้าง แต่สำนักแพทย์ก็ได้พูดถึงวิธีการนั้นแล้วว่านั่นเป็นวิธีการแลกเปลี่ยนลมปราณให้แก่ลูก หากไม่ใช่เพราะลมหายใจนั่นที่มาได้ทันกาล เกรงว่าลูกอาจจะสูญเสียลมหายใจไปเลยก็เป็นได้เจ้าค่ะ” ในลมหายใจที่แผ่วเบามีความเด็ดเดี่ยวซ่อนอยู่