ตอนที่ 2 ภาพเพ้อฝัน
ตัวอ่อนแรกที่รวมเป็นคนยักษ์ดารา พันกรตรวจสอบร่างกายหนิงอี้รอบหนึ่ง พบว่าไม่มีโรคเก่าจึงอธิบายเรื่องที่ต้องระวังในการฝึกบำเพ็ญอย่างอ่อนโยน ก่อนจะออกจากเขาน้ำค้างเล็ก
เผยฝานพาดเสื้อคลุมใหญ่ไว้ตรงแขน รอมาพักหนึ่งแล้ว
หนิงอี้รับเสื้อคลุมใหญ่ สองคนเดินเลียบถนนภูเขากลับไป รวมตัวอ่อนแรกดาราเริ่มตั้งแต่พลบค่ำ ใช้เวลาไม่นานนัก ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป
ในสำนัก เขาสู่ซานมีพื้นที่เกือบร้อยลี้ มีทั้งหมดสามสิบสี่ยอดเขา ถิ่นฐานที่แท้จริง เอ่ยนามออกมาได้ ก็มีสิบสี่ สิบห้ายอดเขา
ท่านพันกร คนตาบอดฉีซิ่ว ศิษย์พี่สามเวินเทาต่างครองหนึ่งภูเขา เขาที่ชื่อว่าน้ำค้างเล็กของหนิงอี้ เคยเป็นของคุณชายเจ้าหรุย ผู้อาวุโสและศิษย์สายเลือดคุณชายเจ้าหรุยต่างสืบทอดต่อกันมา มักจะพักอยู่เขาน้ำค้างเล็ก ตอนนี้สถานการณ์พิเศษ หนิงอี้ถือเป็นหน่ออ่อนเดียว…ยอดเขาอื่นๆ ที่หยิบยกออกมาให้อยู่อาศัยเพียงลำพังล้วนเป็นของผู้อาวุโส แขกพิเศษและศิษย์ฝ่ายในของเขาสู่ซาน ส่วนศิษย์ฝ่ายนอกพักอยู่ตีนเขา
เขาสู่ซานสร้างหอไม้เล็กขึ้นเป็นพิเศษให้หนิงอี้ ทว่าการตั้งนามเป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ…ดังนั้นเลยตั้งตามชื่อภูเขา ‘หอน้ำค้างเล็ก’
หอน้ำค้างเล็กคล้ายกับบ้านในเมืองสันติตอนนั้นมาก ใต้ชายคามีเชือกสีแดงห้อยอยู่ ห้อยตะเกียงไฟ ช่วงหิมะตกหนักปีก่อน หอน้ำค้างเล็กเพิ่งสร้างเสร็จ เด็กสาวเขย่งเท้าแขวนเชือกแดง ยุ่งอยู่ครึ่งวัน บอกว่าอยากให้เป็นสิริมงคล
ต้นครามหมื่นปีที่สวีจั้งรักมากกระถางนั้น เผยฝานเอามาวางไว้ในจุดที่เห็นชัดเจนที่สุด
การจัดการ การตกแต่งในหอ เด็กสาวเป็นคนจัดการทั้งหมดทีละนิด
เผยฝานยุ่งมากในหนึ่งปีมานี้
เทียบกับหนิงอี้ที่ต้อง ‘เติมเต็มชีวิต’ จะเป็นจะตายในทุกวันแล้ว นางใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการรดน้ำ เขียนหนังสือ…รวมถึงกอดต้นครามหมื่นปีกระถางนั้นเหม่อมองหนิงอี้นั่งขัดสมาธิฝึกบำเพ็ญ
ทว่าสิ่งที่ทำให้หนิงอี้กลุ้มใจคือ…
เพราะเด็กสาวติดตามตน ทุกเรื่องที่ตนทำ เด็กนี่จะทำเหมือนกัน
คัมภีร์ของคุณชายเจ้าหรุย หนิงอี้ต้องคัดมือทีละคำ เผยฝานแค่อ่านผ่านตาทีเดียวก็จำได้ ตอนที่หนิงอี้คัดรอบที่สองกระทั่งรอบที่สาม นางก็ยังท่องย้อนกลับได้ครบทุกคำ
ป่าไม้บนยอดเขาของศิษย์พี่รอง ตอนที่หนิงอี้เพิ่งคลำเจอเคล็ดลับ เผยฝานก็ถือกระบี่ไม้ขึ้น ฟันหนึ่งกระบี่ต้นปรงหนึ่งต้น…หากฉีซิ่วให้สองคนฝึกวิชากระบี่ ‘ละเอียดอ่อน’ ก่อนที่หนิงอี้จะทำกระบี่ไม้พวกนั้นหัก เด็กสาวคงตัดยอดเขาโล้นไปแล้ว
ศาสตร์ชัยภูมิฮวงจุ้ยของศิษย์พี่สาม พอเริ่มก็บรรยายยาวสามเดือน เด็กสาวฟังอย่างออกรส เป็นอะไรที่น่าสนใจที่สุด
คัมภีร์ฮวงจุ้ยทั้งเล่มที่เดิมทีต้องบรรยายครึ่งเดือน แต่เผยฝานเรียนเร็วกว่าหนิงอี้มาก สองวันต่อมาก็กอดใบครามนั่งเหม่อไม่มีอะไรทำ เวินเทาโมโหกับท่าทีเกียจคร้านของเด็กนี่ บรรยายยันต์หกทิศ การทำนาย ศาสตร์มนุษย์ รวมยันต์ วิชาแปลก ยันต์แปดทิศด้วยความเร็วสูงสุดในหนึ่งเดือน
หนิงอี้คัดตามไม่ทัน ได้แต่ให้เด็กสาวท่องออกมาทีละคำถึงค่ำ เขาก็คัดใหม่อีกรอบ
เดือนที่สี่ เวินเทาได้รู้ถึงความเก่งกาจของเผยฝาน ‘คัมภีร์เต๋าร่างมนุษย์’ ตัวเป็นๆ ศิษย์พี่สามไม่พูดแล้ว แต่วางยอดค่ายกลฮวงจุ้ยที่เขาแสวงหามังกร หาข้ออ้างปิดด่านบำเพ็ญ จนค่ำวันนั้น เด็กสาวพาหนิงอี้ไปหาจนเจอ มองค่ายกลของศิษย์พี่สามอยู่พักหนึ่ง จากนั้นหาตาค่ายกลและทำลายลงท่ามกลางสายตาเบิกโตของอีกฝ่าย
เวินเทาอยากจะโขกศีรษะแทนบรรพจารย์แห่งเขาแสวงหามังกร
กระทั่งเขาอยากจะคารวะเผยฝานเป็นอาจารย์
หนึ่งปีผ่านไป
สามท่านบนเขาสู่ซานรู้สึกลับๆ ว่าหนิงอี้ที่สวีจั้งพาขึ้นเขา ผู้สืบทอดคำทำนายของคุณชายเจ้าหรุย เหมือนจะไม่ได้เผยความโดดเด่น…แต่เด็กสาวที่ตามติดมาด้วยเหมือนจะเป็นสมบัติล้ำค่าหายากมากกว่า
ท่านเผยหมินในตอนนั้นเป็นปราชญ์กระบี่ที่มีอำนาจสั่นสะเทือนใต้ฟ้าต้าสุย เป็นผู้บำเพ็ญที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด…อาจจะเป็นเพราะสายเลือดที่โดดเด่นจริงๆ เผยฝานไม่ได้ฝึกบำเพ็ญเท่าไร แต่นางรวมแสงดาราเร็วกว่าหนิงอี้มาก อย่างน้อยตอนนี้หนิงอี้ก็อ่านพลังบำเพ็ญนางไม่ออก
หนิงอี้คาดเดาสาเหตุได้คร่าวๆ
สวีจั้งมอบสัญลักษณ์พุทราแดงใหญ่ให้นาง นั่นคือ ‘กระบี่ซ่อน’ ที่ท่านเผยหมินฝากเอาไว้ ตอนที่ ‘กระบี่ซ่อน’ นั้นเพิ่งออกมา ขลุ่ยกระดูกของตนยังเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบรุนแรง นี่อาจจะเป็นสมบัติยิ่งใหญ่แท้จริง ตอนนี้ซ่อนในกายเด็กสาว
คนรุ่นก่อนปักร่มเงา คนรุ่นหลังได้รับความร่มเย็น
เมื่อเห็นเผยฝานกระโดดโลดเต้นฉุดลากตนอยู่ข้างหน้าแล้ว หนิงอี้ก็ถอนหายใจ
หนิงอี้ก็จนปัญญาเช่นกัน…บางครั้งเขาก็อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ ถ้าจากนี้ตนแบกรับฐานะ ‘อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซาน’ มีเด็กสาวคอยติดตามอยู่ข้างกาย คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังใต้หล้าต้องไม่ใช่ตนแน่ แต่เป็นชนรุ่นหลังตระกูลเผยที่มีพรสวรรค์สูงยิ่งคนนี้
“หิวจะตายอยู่แล้วๆ…”
เสียงของเผยฝานขัดความคิดของหนิงอี้
หนิงอี้ยิ้มมุมปากเล็กน้อย ใจนึกแบบนี้ก็เหมือนจะดีเหมือนกัน
ถึงตอนนั้นเด็กสาวออกมือก็จบเรื่อง นี่จะยิ่งเสริมอำนาจบารมีให้ตนไม่ใช่หรือ
…….
ผักอยู่ในหม้อนึ่ง ไฟในเตาแผ่ออกมา แสงดาราที่เผยฝานใส่ไว้ในเตาเพียงเล็กน้อยทำให้ฟืนยังคงลุกไหม้อยู่ตลอด
นำแสงดารามาจุดไฟทำอาหาร…การกระทำที่โอ้อวดเช่นนี้ทำให้หนิงอี้รู้สึกว่าเผยฝานฟุ่มเฟือยไม่เข้าท่าหน่อยๆ
“เจ้าไม่พอใจหรือ”
เผยฝานเลิกคิ้วขึ้น “เป่าขลุ่ยกระดูก? หั่นผัก?”
หนิงอี้ปิดปากเงียบอย่างว่าง่าย
เด็กสาวยกกับข้าวมา ปลากะพงนึ่ง ขาหมูย่างถ่าน เนื้อแกะผัดต้นหอม มันฝรั่งผัดพริกเผา…อาหารเจ็ดแปดอย่างวางบนโต๊ะ เผยฝานยกหม้อไฟเล็กมา ยกหม้อไฟเนื้อวัวหนักเจ็ดแปดชั่งขึ้นมาแล้วโรยต้นหอม
ตั้งแต่ออกจากอารามโพธิ์เทือกเขาประจิม ผ่านทุกข์สุขก็เข้ามา
อาหารมากขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าฟุ่มเฟือยเลย
ตั้งแต่หนิงอี้ฝึกวิชายักษ์ดารา กระเพาะก็ใหญ่ขึ้นอย่างน่าประหลาด…ปริมาณการกินทุกมื้อเพิ่มขึ้นหลายเท่า เผยฝานทำพวกนี้ กินเสร็จยังต้องรวมมื้อดึกอีกมื้อ
เขายกชามเหล็กเล็กขึ้น เอาหม้อไฟเนื้อวัวที่เดือดปุดๆ วางไว้ใต้เข็มขัด ตะเกียบคีบเนื้อวัวขึ้น กดเส้นลงไป น้ำแกงควันร้อนพุ่งขึ้น
เด็กสาวถาม “อร่อยหรือไม่”
หนิงอี้เป่าลมร้อน ลองชิมเส้นที่จุ่มไปในน้ำแกงแดงทั้งหมดคำหนึ่ง รสชาของพริกสองต้นแตกซ่านตรงปลายลิ้น
เขาพยักหน้าสุดชีวิต
เผยฝานหัวเราะคิกคัก
หนิงอี้กินอาหารหมดโต๊ะ กินข้าวไปเจ็ดแปดชาม สุดท้ายกินหม้อไฟเนื้อวัวและยังมีบะหมี่น้ำแกงหม้อไฟหมด เรอออกมาอย่างพึงพอใจ หงายหลังบนเก้าอี้อย่างหมดสภาพ
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสวีจั้งถึงกินในร้านบะหมี่ในเมืองสันติเยอะขนาดนี้
เขามองเผยฝานที่อยู่ตรงข้าม เอามือยันใบหน้ารูปไข่ ยิ้มเหมือนดวงดาราขยับแสง
หนิงอี้ถอนหายใจในใจ ใจนึกโลกนี้มีเพียงอาหารเลิศรสที่ไม่ผิดต่อเด็กนี่
กินต่อไปเช่นนี้ จากนี้ตนจะไม่กินวัวไปทั้งตัวเลยหรือ
รอเดี๋ยว…หนิงอี้มุมปากกระตุก ในความคิดมีคำพูดไร้สาระของศิษย์พี่สองคนลอยขึ้นมาอีกครั้ง รวมเข้าด้วยกันก่อนชนกัน เป็นการพูดคุยที่สนิทสนมกันมาก
คนตาบอดฉีซิ่ว รอยยิ้มเหมือนสายลมใบไม้ผลิ เหมือนจะเป็นตอนที่หนิงอี้เรียนวิชากระบี่บนเขากระบี่เหล็ก เขาหยอกล้อหนิงอี้ขำๆ ว่าเป็นหมู
ศิษย์พี่สามเวินเทาลูบศีรษะ เอ่ยคำถามข้อหนึ่งตามแนวคิดหนิงอี้…ศิษย์พี่หญิงบนเขาโถงมรรคฝึกยักษ์ดารา จะต้องกินวัวทั้งตัวทุกวันหรือไม่
ดังนั้นในความคิดหนิงอี้จึงเกิดภาพขึ้นมาตามคำพูดของ ‘ศิษย์พี่สาม’ ท่านพันกรที่รักษาภาพลักษณ์มาตลอด ถกแขนเสื้อขึ้น กอดขาวัวกำลังแทะ…
คนตาบอดฉีซิ่วดูจะไม่กังวลใจคำถามนี้ เขาพูดในความคิดหนิงอี้อย่างเห็นใจ บอกว่าดีที่นางไม่กินหมู ไม่อย่างนั้นเจ้าคงเป็นอันตรายแล้ว
“หนิงอี้”
“หนิงอี้”
เสียงของเผยฝานปลุกหนิงอี้ตื่นมา
เด็กสาวขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “นอนไม่พอหรือไม่ ช่วงนี้เจ้าเหม่อบ่อยมาก”
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก ส่ายหน้า
เขายิ้มพลางตบๆ ศีรษะเผยฝาน บอกว่าไม่เป็นไร
เด็กสาวชอบอ่านนิทาน หนิงอี้เลยถือโคมไฟอยู่เป็นเพื่อนนาง จนกระทั่งนางหลับไป
เขาผลักประตูหอน้ำค้างเล็ก ออกจากภูเขา ลงเขาไปเงียบๆ คนเดียว
หนิงอี้เองก็รู้ถึงปัญหานี้
ช่วงนี้เขาเหม่อบ่อยๆ ไม่ได้มีแค่ศิษย์พี่สองคนที่ออกมาพูดไร้สาระ…แต่ยังมีภาพฝันวุ่นวาย
เมื่อก่อนก็เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ หลังทะลวงขอบเขตแรกจนมาถึงขอบเขตที่สี่ ก็เพิ่งจะเริ่มขึ้น
หนิงอี้พลันนึกถึงภาพที่ตนเห็นในสุสานใต้ดินเมืองไร้มลทิน
เศษกระเบื้องกระจายเต็มฟ้า
สตรีที่เดินลงมาจากบัลลังก์ราชาและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
และยังมีสิ่งที่เห็นตอนทะลวงขอบเขตแรก…ม่านฟ้าถูกฉีก น้ำทะเลพลิกกลับ โลกจะถล่มทลาย
ทะเลวิญญาณของตนเกิดปัญหาหรือ
หนิงอี้ชูขลุ่ยกระดูกที่ห้อยตรงหน้าอกตนขึ้น ขลุ่ยกระดูกนั้น ในคืนนั้นที่ขอบเขตแรกเพลิงดาราลุกโชติช่วง ก็กลายเป็นเครื่องประดับธรรมดา ยากจะมองออกว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่มีระดับสูงยิ่ง
เขาทำตามคำชี้แนะของสวีจั้ง ไม่ได้บอกคนอื่นเรื่องขลุ่ยกระดูก นอกจากเด็กสาวแล้ว ต่อให้เป็นศิษย์พี่หญิงพันกรที่สนิทที่สุดก็ยังไม่รู้
หนิงอี้เพ่งมองขลุ่ยกระดูก เศษกระบี่สีขาวสะท้อนใบหน้าเรียบนิ่งของเขา
ภาพปั่นป่วนในความคิดขยับวูบผ่านมาด้านข้าง
สายลมเย็นพัดมา
หนิงอี้ได้สติกลับมา พบว่าตนยืนบนทางเข้าลำธารกลางภูเขาที่ฟ้าดินโน้มเอียง เส้นขอบฟ้าเปิดกลับด้าน หมอกหนา มองไม่ออกว่าในนั้นมีอะไร
ทางเข้าลำธารกลางภูเขาไม่มีสิ่งใดขวาง
มีเพียงยันต์สีแดงสายยาวห้อยกลับด้าน
“ต้องห้าม”
เป็นยันต์คำสั่งของเจ้ายอดเขาสู่ซานลู่เซิ่ง แดนต้องห้ามเขาสู่ซาน ห้ามเข้า
หนิงอี้หรี่ตาลง เดินมาถึงหลังภูเขาโดยไม่รู้ตัว…
คืนดึกเงียบสงัด ไร้เสียงใดๆ ทางเข้าลำธารกลางภูเขานั้นไม่เห็นอะไรเลย ไม่ได้ยินอะไรเลย
เขากำขลุ่ยกระดูก ลองยื่นมือข้างหนึ่ง หยุดอยู่ห่างจากยันต์คำสั่งประมาณฉื่อกว่า อยากจะลอง…ว่าจะข้ามผ่านเส้นบ่ออัสนีนี้ไปได้หรือไม่
ลังเลอยู่นานมาก สุดท้ายก็ลดมือลง หนิงอี้ถอนหายใจเบา
……………………..