[เกราะเท้าเกล็ดมังกร]
[ระดับ A]
[ทนไฟ ขั้น3/ ดูดกลืนไฟ ขั้น3]
[พละกำลังเพิ่มขึ้น 5/ ความคล่องแคล่วเพิ่มขึ้น 10%/ ความเสียหายที่สร้างด้วยเท้าเพิ่มขึ้น 5%]
[เกราะเท้าที่สร้างขึ้นจากเกล็ดและหนังของมังกรเพลิง มีความทนทานต่อไฟเป็นอย่างมาก และยังสามารถดูดกลืนไฟได้อีกด้วย ความเสียหายที่สร้างด้วยเท้าเพิ่มมากขึ้นตามระดับไฟที่ดูดซับ]
[ทักษะพิเศษ: พลังแห่งไฟ] [ความเสียหายที่สร้างด้วยเท้าเพิ่มขึ้น 5% ในทุกครั้งที่พลังแห่งไฟสะสมพลังขึ้นหนึ่งขั้น (สะสมพลังได้มากสุดห้าขั้น – หากไม่มีการดูดกลืนไฟเพิ่ม ระดับพลังแห่งไฟจะคงอยู่ได้ห้านาทีก่อนจะกลับเป็นศูนย์)]
อินกองตรวจดูค่าสถานะของรองเท้าที่เขาสั่งทำระหว่างเดินทางไปยังปราสาทธันเดอร์ดูม
หลังจากอ่านคำอธิบายอันยาวเหยียด อินกองก็สวมรองเท้าสั่งทำพิเศษด้วยรอยยิ้ม
“เจ๋งเป้ง”
แม้ค่าพละกำลังจะถือว่าน้อยสำหรับอุปกรณ์ระดับ A แต่ความคล่องแคล่วที่เพิ่มขึ้นถึง 10% ถือว่ายอดเยี่ยม ยิ่งเลเวลของอินกองเพิ่มขึ้น ค่าสถานะของเขาก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้ความคล่องแคล่วที่เพิ่มจากเกราะเท้านี้ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
เพียงค่าสถานะ ก็ทำให้อินกองพอใจแล้ว มิหนำซ้ำเกราะเท้านี้ยังมีทักษะพิเศษติดตัวมาด้วย
‘หนังมังกรเพลิง’
มังกรเพลิงในบทกวีแห่งผู้กล้าขึ้นชื่อเรื่องสีอันแดงแป๊ด จนผู้เล่นอายเกินกว่าจะสวมใส่ นั่นทำให้อินกองถือว่าโชคดีที่เกราะเท้าของเขาสีไม่แดงมาก ออกค่อนข้างไปทางโทนดำ เหลือสีแดงเพียงเล็กน้อย?
‘ส่วนเรื่องดูดกลืนไฟก็ใช้ไฟร์แอร์โรว์ได้’
อาจจะยุ่งยากนิดหน่อยที่จะให้ไฟร์แอร์โรว์สร้างความเสียหายเกินระดับทนไฟขั้น3 แต่การฝึกฝนจะแก้ปัญหาและทำให้ไฟร์แอร์โรว์มีระดับที่เพิ่มขึ้น
อินกองลูบคลำเกราะเท้าพลางจินตนาการถึงลูกเตะเท้าไฟ ไม่ต่างจากคนบ้าเห่อรองเท้าใหม่ ก่อนกรีนวินด์จะกระซิบแทรกขึ้นมา
‘ข้ามีดีกว่ารองเท้านั่นเยอะนะนายท่าน’
เพื่อกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น อินกองได้อธิบายเฟลิซีเกี่ยวกับรองเท้าไปเป็นที่เรียบร้อย นั่นทำให้โล่ไวท์อีเกิ้ลเรืองแสงสีเขียวออกมาเป็นระยะ
มีคน… มีเทพารักษ์แอบอิจฉารองเท้าสตั๊ดนะเอ้ออออ
อินกองยังคงลูบคลำเกราะเท้าต่อไปพลางพูดออกมา
“กรีนวินด์ไม่ใช่ไวท์อีเกิ้ลซะหน่อย”
‘จะถือว่าข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับไวท์อีเกิ้ลแล้วก็ว่าได้ และไวท์อีเกิ้ลยอดเยี่ยมมาก ฉะนั้นก็หมายความว่าข้ายอดเยี่ยมมาก’
มันดูเป็นตรรกะที่แปลกพิสดารมาก กรีนวินด์นั่งกอดอกบนไวท์อีเกิ้ลด้วยร่างอันโปร่งแสง พลางมองมาที่อินกองอย่างไม่ชอบใจ
นั่นทำให้อินกองถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ตอนแรกเราก็คิดว่าอย่างเท่ ดูขลังเหมือนพวกเทพในตำนาน… ”
‘นายท่าน?’
“ไม่มีอะไร… กรีนวินด์เจ๋งที่สุด”
อินกองใช้มือข้างเดียวกับที่ลูบคลำเกราะเท้ามาลูบคลำไวท์อีเกิ้ล
‘อุ ข้ารู้สึกแย่อีกแล้ว… ต่อเลยนายท่าน’
กรีนวินด์หลับตาพริ้มโดยมีอินกองลูบหัวนาง
ทาสแมวทั้งหลายจงบูชากรีนวินด์ซะ วะฮะฮะฮ่า (@´ー`)ノ゙(⌒ω⌒)
เฟลิซีที่เห็นอินกองพูดคนเดียวมองไปยังไวท์อีเกิ้ลอย่างไม่มั่นใจ
“หรือว่าเธอคุยกับกรีนวินด์อยู่?”
“ใช่ครับ นางงอนนิดหน่อย”
‘ข้าไม่ได้งอน ข้าเพียงแค่พูดความจริง’
ไวท์อีเกิ้ลเรืองแสงสีเขียวขึ้นอีกครั้งจากการโต้ตอบของกรีนวินด์ อินกองยังคงลูบหัวนางต่อไปทำให้นางรู้สึกดีขึ้น และแสงจากไวท์อีเกิ้ลก็เลือนลง
เฟลิซีถามต่อ
“พอจะมีวิธีให้พวกเราเห็นนางได้อย่างเธอไหม?”
“น่าจะพอเป็นไปได้ครับ”
กรีนวินด์ฟื้นพลังมามากหลังจากนางเข้าไปสิงสถิตในไวท์อีเกิ้ล มันมากพอที่จะให้นางปรากฏตัวด้วยกายเนื้อ
“กัมมะสนใจไหม?”
คำถามของอินกองสร้างความลังเลให้กับกัมมะที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งของตัวรถ
“ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกว่าจะเป็นการดีกว่าหากข้าพระพุทธเจ้าไม่พบนาง”
แน่นอนว่ากัมมะอยากพบกรีนวินด์ ผู้เป็นถึงเทพารักษ์แห่งที่ราบอินคา ทว่าจะด้วยอะไรก็ตามแต่ นางสังหรณ์ว่านั่นอาจจะทำให้ศรัทธาของนางในตัวกรีนวินด์หมดไป
“ข้าพอจะเข้าใจความรู้สึก”
คารัคพูดขึ้นพลางตบไหล่ปลอบกัมมะ
ฉากที่เห็นทำให้เฟลิซีหัวเราะออกมา ก่อนนางจะเปลี่ยนหัวข้อ
“แล้วนั่นก็คือเกราะอันใหม่ที่ว่าสินะ?”
“ผมชอบมันมากทีเดียว ใส่แล้วไม่รู้สึกเทอะทะเกะกะแม้แต่น้อย”
สิ่งที่กล่าวถึงมิใช่เกราะขา แต่เป็นเกราะหนังตัวใหม่ที่อินกองแลกมาจากคลังสมบัติ
เป็นเกราะหนังระดับ B ตัวเกราะไม่ได้เบามาก แต่ด้วยอาคมที่ปลุกเสกทำให้อินกองไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของมัน ซ้ำยังมีอาคมที่เพิ่มความอึดของผู้สวมใส่อีก 10%
‘แล้วก็ยังมีคุณสมบัติต้านทานธาตุอีก’
เกราะตัวนี้มีคุณสมบัติต้านทานธาตุมาตรฐานทั้งสามชนิด ไฟ น้ำแข็ง สายฟ้า แม้คุณสมบัติต้านทานนี้จะไม่สูงเท่าเกราะเท้าเกล็ดมังกร แต่มันก็สามารถลดความเสียหายให้เขาได้พอสมควร
เฟลิซีมองชำเลืองตัวเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เธอนี้ดูล่ำซำขึ้นมากนะ?”
เกราะหนังปลุกเสกที่แลกมาจากคลังสมบัติของวังหลวง
เกราะเท้าเกล็ดมังกรสั่งทำพิเศษจากหนังมังกรเพลิง
โล่วิเศษไวท์อีเกิ้ลพร้อมเทพารักษ์กรีนวินด์สิงสถิต
พสุธากัมปนาท ที่แสดงผลงานออกมาแล้วหลายครั้ง
อัสสุภูติราตรีที่ต่อต้านเวทมนตร์…
“ครับ เหมือนผมจะขาด ก็แค่หมวกเท่านั้น?”
อินกองตอบออกมาอย่างกันเอง แต่ในใจเขาคิดอีกอย่าง
‘ยังไม่พอหรอก’
มีเพียงอินกองกับกรีนวินด์เท่านั้น ที่รับรูว่าพสุธากัมปนาทและไวท์อีเกิ้ลเป็นมรดกตกทอดจากมังกรบรรพกาล
อินกองมีความทะเยอทะยานที่จะรวบรวมของวิเศษของมังกรบรรพกาลให้ครบทั้งหกชิ้น และเครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวก็ยังไม่อาจทำให้เขาพอใจได้
‘เราต้องหามาให้ได้มากที่สุด รวมถึงพวกกำไลกับตุ้มหูด้วย’
นี่คือสถานการณ์จริง ไม่ใช่ในเกมที่จะมีจำกัดช่องใส่เครื่องประดับ
‘ไม่งั้นเสียชื่อเจ้าชายหมด’
เชื้อพระวงศ์ควรจะมีเครื่องประดับให้สมยศ
นอกจากนี้เขายังวางแผนเพิ่มกำลังรบให้กับคารัคและกัมมะด้วยอุปกรณ์ทั้งหลายด้วย
ดวงตาของอินกองลุกโชนด้วยความมุ่งมั่น
ด้านเฟลิซีก็จ้องมองยังเกราะเท้าของอินกอง เพราะนางรู้ถึงวัตถุดิบที่ใช้สร้างมันขึ้นมา
นางเป็น ‘เอลฟ์รัตติกาล’ ทำให้นางจิตใจมั่นคงไม่รู้สึกอิจฉา นางกลับยินดีที่เขาได้รับการสนับสนุนจากสุรด้วยซ้ำ นั่นเพราะฉัตรสูญเสียแม่และไม่ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าคนธรรพ์แต่อย่างใด
เรื่องนี้เป็นความลับที่แม้แต่ดาฟเน่กับเดเลียก็ไม่รับรู้
เฟลิซียกพัดขึ้นมาปิดหน้าของนางก่อนจะพูดเข้าประเด็นหลัก
“งั้นก่อนเราจะถึงที่หมาย ฉันจะบอกรายละเอียดพื้นฐานคร่าวๆ”
แน่นอนว่าทุกสายตาก็หันไปมองนาง
“ฉัตร เธอน่าจะรู้อยู่แล้วว่าวิธีการบุกเข้ายึดมีอยู่สองวิธีหลักๆ ใช้จำนวนบุกจู่โจมเข้าไป หรือใช้หัวกะทิจำนวนไม่มากเข้ายึด”
วิธีแรกเป็นอะไรที่ฟังดูง่ายแต่ป่าเถื่อน เพราะนั่นเรียกได้ว่าเป็นการส่งทหารไปตายท่ามกล่างห่าธนูและกับดักจำนวนมาก
เฟลิซีที่ห่วงใยทหารของนางรังเกียจและไม่คิดจะใช้วิธีนี้
“ซึ่งแน่นอนว่าเราจะใช้วิธีที่สอง ซึ่งหัวกะทิที่ว่าก็คือแค่ทั้งหมดที่อยู่ในรถเลื่อนนี่”
เฟลิซีชี้ไปยังเดเลียที่อยู่ด้านข้าง
“เดเลียคอยนำทางให้ นางเป็นนักล่าสมบัติฉะนั้นนางจะคอยตรวจหาและปลดกับดักให้พวกเรา”
หากนี้เป็นเกม RPG ก็คือหน้าที่ของอาชีพสายโจรนั่นเอง
หลังจากเดเลีย เฟลิซีก็ชี้ไปยังสมาชิกที่เหลือ
“ดาฟเน่จะทำหน้าที่คอยรักษาฟื้นฟู ฉันจะคอยสนับสนุนจากด้านหลัง ส่วนฉัตรกับคารัคเป็นแนวหน้าคอยป้องกันพวกเรา”
“รับทราบ”
“หม่อมฉันจะทำเต็มความสามารถ”
“แล้วก็… ”
เฟลิซีหันไปทางกัมมะ ที่รอคอยหน้าที่อย่างจดจ่อ
เฟลิซีนึกถึงความสามารถโดยรวมของกัมมะก่อนจะมอบหน้าที่ให้กับนาง
“เธอคอยคุ้มกันดาฟเน่ คอยระวังภัยอยู่ข้างๆนาง”
“เชื่อมั่นในตัวเราได้เลย”
หลังจากแบ่งหน้าที่ให้สมาชิกเรียบร้อย เฟลิซีก็หันกลับมาทางอินกองอีกครั้ง
“พวกเรามีข้อมูลไม่มากเกี่ยวกับปราสาทธันเดอร์ดูม แม่ทัพกาซบาลเสียชีวิตที่อุโมงค์เชื่อมระหว่างตัวปราสาทกับเหมือง ทำให้งานขุดเจาะทั้งหมดถูกระงับ”
หรือในอีกความหมายก็คือ ไม่มีความคืบหน้าใดใดทั้งสิ้น
“งานนี้ไม่มีเวลาจำกัด เพราะงั้นพวกเราวางแผนได้โดยที่ไม่ต้องรีบร้อน”
เฟลิซีชำเลืองไปยังเดเลีย เป็นสัญญาณให้นางนำถุงออกมาจากใต้เบาะ ภายในมีหน้ากากกันแก๊สที่ทำจากหนังสีดำ
“ไอ้นี่คือ? มันเอาไว้ใช้ทำอะไร?”
คารัคกระพริบตาอย่างสับสน เฟลิซีหัวเราะในท่าทีของเจ้าออร์ค ก่อนจะหยิบหน้ากากมาสาธิตวิธีการใช้งาน
“นี่คืออุปกรณ์ที่ใช้สวมป้องกันก๊าซพิษในเหมือง มันมีคุณสมบัติในการแก้พิษ ทำให้หายห่วงเรื่องก๊าซพิษได้ในระดับหนึ่ง”
เฟลิซีหยิบหน้ากากส่งให้คารัค แม้ใบหน้าของมันจะมีขนาดใหญ่กว่านางมาก แต่หน้ากากก็สามารถปกปิดจมูกและปากของเจ้าออร์คได้
เดเลียยิ้มให้กับท่าทางของคารัคก่อนจะหันไปทางอินกอง
“ข้าพระพุทธเจ้าสืบหามาได้ว่า ท่านพลโทกาซบาลเสียชีวิตเนื่องมาจากติดอยู่ในอุโมงค์ที่เต็มไปด้วยก๊าซพิษ ทว่าข้าพระพุทธเจ้ามั่นใจว่านอกจากรายละเอียดเหล่านี้แล้ว ภายในต้องมีภยันตรายชนิดอื่นอยู่อีกเป็นแน่ ข้าพระพุทธเจ้าได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์อสูรที่มีความเป็นไปได้ว่าจะอาศัยอยู่ในช่องอุโมงค์ปราสาทมาด้วยเพคะ”
รายงานของนางมีรูปภาพและรายละเอียดประกอบคำอธิบายอย่างชัดเจน
แม้อินกองจะรู้ถึงศัตรูที่รอพวกเขาอยู่แล้วก็ตาม รายงานของเดเลียก็ช่วยยืนยันรายละเอียดทั้งหลายได้อย่างดี
‘เหมือนในเกมเลย’
อินกองอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับจุดอ่อนและวิธีต่อสู้กับสัตว์อสูรทั้งหลาย เขาเตรียมข้ออ้างว่าอ่านเจอจากในบันทึก แต่ก็ไม่ได้ใช้เพราะไม่มีใครสงสัยในข้อมูลของเขา
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก…
รถเลื่อนของพวกเขาก็มาถึงที่หมาย
&
เหมืองที่เชื่อมโยงกับปราสาทธันเดอร์ดูมถูกปิดตายเพราะก๊าซพิษที่รั่วไหลขึ้นมาจากใต้ดิน
แม่ทัพกาซบาลพบจุดจบลงที่นี่ นั่นทำให้ไม่มีผู้ใดอยากจะเข้าใกล้มากนัก
‘มันเกิดขึ้นได้ยังไงนะ?’
หรือว่าก๊าซพิษจะร้ายแรงกว่าที่เขาคาดคิด?
อินกองเป็นผู้นำในปฏิบัติการครั้งนี้ก็จริง แต่เขาไม่ต้องทำอะไรมาก เฟลิซีเข้าไปพูดคุยกับสมาชิกคณะสำรวจที่ยี่สิบเจ็ดที่ยังประจำการอยู่บริเวณโดยรอบ ส่วนเดเลียก็สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับแม่ทัพกาซบาลเพิ่มเติม
อินกองเลือกที่จะปล่อยงานให้กับผู้เชี่ยวชาญ แล้วเข้าไปพักผ่อนในที่พักที่ถูกจัดเตรียมไว้
ในเช้าวันถัดมา
เฟลิซีอธิบายแผนการให้กับทหารท้องที่และคณะสำรวจที่เหลืออยู่ นางอธิบายว่ากองหนุนจากเอลฟ์รัตติกาลจะตามมาสมทบในภายหลัง ก่อนนางจะเดินกลับมาหาอินกองที่รออยู่หน้าทางเข้าเหมือง
“ไปกันเถอะ”
ชุดของนางต่างไปจากชุดที่ใส่ยามปกติ นางสวมเสื้อหนังเช่นเดียวกับอินกองและหน้ากากกันแก๊ส ชุดของนางมีกระเป๋าอยู่มากมาย ให้ความรู้สึกว่าเป็นชุดสำหรับนักสำรวจอย่างแท้จริง
คณะของอินกองเดินทางเข้าสู้เหมืองโดยมีเดเลียถือคบเพลิงนำหน้า เส้นทางเป็นเพียงทางตรงดิ่ง ทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้ทหารท้องที่นำทางแต่อย่างใด
มีก๊าซพิษรั่วไหลขึ้นมาเข้มข้น จนแน่นถึงระดับเอวของพวกเขา บ่งบอกถึงปริมาณรอยรั่วจากการทดลองสำรวจหลายครั้ง
ต้องขอบคุณหน้ากากที่เฟลิซีเตรียมมา ทำให้พวกเขาสามารถหายใจได้โดยสะดวก
แต่ก็สมกับเป็นมืออาชีพ เฟลิซียังคงตื่นตัวรอบคอบ นางให้เดเลียนำเข้าไปก่อนแต่ผู้เดียว เพื่อตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของหน้ากากกันแก๊ส
เดี๋ยวนะ ไหนบอกรักชีวิตทหาร? นี่เล่นให้คนสนิทเข้าไปเป็นเหยื่อลองเชิงซะ…
หลังจากเดินลงทางที่ไม่ชันมากไปได้ราว 50 เมตร ก็พบโพรงขนาดใหญ่ เป็นทางเข้าอุโมงค์ที่เชื่อมต่อไปยังปราสาทธันเดอร์ดูม
เดเลียหันมาให้สัญญาณกับเฟลิซีและอินกอง ก่อนจะเดินเข้าโพรงที่พบ ทางเข้าดูเหมือนจะเป็นอุโมงค์ขนาดเล็กก่อนจะขยายขนาดขึ้นภายใน
“ฉันว่าน่าจะเป็นตรงนั้น”
ท่านกลางหมอกพิษอันเข้มข้น เฟลิซีชี้ไปยังปลายอุโมงค์ที่เห็นอยู่สุดทาง
อินกองมองไปยังแผนที่ย่อของเขาก่อนจะพยักหน้ายืนยัน อีกฟากหนึ่งเป็นปราสาทธันเดอร์ดูมไม่ผิดเพี้ยน
จุดหมายอยู่ตรงหน้า นั่นทำให้พวกเขาเร่งฝีเท้าขึ้น และเมื่อพวกเขามาได้ครึ่งทาง
คารัคก็หยุดเดินอย่างกระทันหัน เดเลียที่เดินนำกุมอกของนางแน่นอย่างเจ็บปวด กัมมะและดาฟเน่ต่างก็พยายามชะโงกตัวเพื่อสูดหายใจ
ในสถานการณ์ที่เลวร้าย เฟลิซีก็แสดงความเป็นมืออาชีพออกมาด้วยการกางมือออกพร่อมร่ายคาถา
“สายลม!”
สายลมพัดกระจายปัดเป่าก๊าซพิษออกจากบริเวณรอบตัวนาง แต่ก็เปล่าประโยชน์ ก๊าซพิษแพร่กลับมารวดเร็วเกินกว่านางจะร่ายเวทมนตร์ซ้ำได้อีกครั้ง นางทรุดตัวลงร้องครวญคราง
เก่งนี่แต่ก็ยัง… อ่อน..หัด..!
ก๊าซพิษมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป ไม่สิ ต้องเรียกว่ามีบางอย่างถูกเติมเข้ามาในก๊าซพิษเสียมากกว่า
เดเลียทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหวก่อนจะหมดสติ กัมมะเอาตัวเข้ากำบังดาฟเน่ที่หมดแรง แม้แต่เจ้าออร์คคารัคก็ทรุดลงเข่ากองกับพื้น
ก๊าซพิษมีสีเปลี่ยนไป จากสีออกเทาเป็นเหลืองปนดำ มีเงาของบางอย่างคืบคลานเข้ามาใกล้พวกเขาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
แขนที่ยาวและมือที่บิดเบี้ยว นัยน์ตาสีเหลืองที่ส่องประกายท่ามกลางความมืดราวเฉกเช่นสัตว์ร้าย ร่างกายที่ดำทมิฬกลืนกินไปกับรอบข้าง
พวกมันมีจำนวนหกตัว หนึ่งในนั่นเฝ้ามองเหยื่อล้มลงทีละตน ก่อนจะชูมือให้สัญญาณพวกพ้อง เงาทั้งห้าทยอยคืบคลานเข้าไปใกล้ มีดกระดูกในมือของพวกมันเงื้อขึ้นอย่างหิวกระหาย
ก่อนจะพุ่งลงไปยังร่างไร้การป้องกันของเดเลีย
เคล้ง!
ลมปราณสีขาวปะทุขึ้นท่ามกลางหมอกควัน บางอย่างเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วราวกับมีชีวิต ทิ้งแสงสีเขียวให้เห็นตามเส้นทางที่มันเคลื่อนที่
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!
เสียงเนื้อถูกเชือดเฉือนดังขึ้นก่อนร่างเงาสองร่างจะล้มกองกับพื้น ไวท์อีเกิ้ลพุ่งโจมตีพวกมันอย่างไม่ให้ตั้งตัว ในระหว่างที่อินกองก็พุ่งเคลื่อนที่เข้าหาพวกมันเช่นกัน
ในพริบตาที่ไวท์อีเกิ้ลพุ่งเข้าหาสัตว์ร้ายตัวที่สาม อินกองก็เคลื่อนที่มาอยู่ตรงหน้าศัตรูของเขา หมัดของเขาเงื้อเสยคางอย่างรวดเร็ว ไม่ให้ศัตรูมีเวลาแม้แต่จะส่งเสียงกรีดร้องออกมา
ร่างของมันลอยขึ้นก่อนจะตกกระแทกพื้น เหลือเงาร้ายเพียงแค่สองตัวเท่านั้น หนึ่งในนั้นเป็นเป้าหมายของไวท์อีเกิ้ล อินกองพุ่งเป้าไปยังร่างที่ชูมือให้สัญญาณพรรคพวกในตอนแรก เป็นการเคลื่อนที่ในพริบตาด้วยเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ
“ด-ได้ไง?”
ร่างนิรนามพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ พวกพ้องทั้งห้าของมันถูกจัดการลงภายในไม่กี่วินาที่
แม้กระทั้งพลโทของทางวังจอมมารยังไร้ซึ่งแรงขัดขืนและสิ้นชีวิตท่ามกลางสถานการณ์นี้ แต่กลับมีผู้ที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ!
“พูดแบบนี้ แสดงว่าแกไม่รู้จักพระเอกซะแล้ว”
[กายาชาตรี ขั้น2]
[ทักษะเพิ่มเติม: เซรุ่มร้อยพิษ ขั้น1.]
[เพิ่มความทนทานและภูมิคุ้มกันต่อพิษอย่างมาก]
คำตอบดังขึ้นก่อนกำปั้นเหล็กของอินกองจะกระแทกเข้าใส่หน้าของมัน