ตอนที่ 16 คุณชายซิ่วถิง (1)

หวนคืนชะตาแค้น

ตอนที่ 16 คุณชายซิ่วถิง (1)

มู่อวิ๋นหรงถูกสายตาของผู้คนจับจ้องก็รู้สึกอับอายจนแทบทนไม่ไหว ใบหน้างดงามนั้นเดี๋ยวก็เขียวเดี๋ยวก็แดงด้วยความโกรธ แต่กระนั้นนางก็มาถึงที่นี่แล้ว หากถูกเชิญออกไป คงเป็นเรื่องน่าอับอายขายขี้หน้าอย่างใหญ่หลวง มู่อวิ๋นหรงจึงเมินสายตาของผู้คน ข่มอารมณ์แล้วรีบเดินเข้าไปก่อนที่พ่อบ้านใหญ่จะออกมา “ท่านพี่อาน หรงเอ๋อร์มาเยี่ยมท่านแล้ว ท่านดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่เพคะ”

ภายในโถงใหญ่มู่หรงอานกำลังเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตั่งนั่ง สีหน้าเขาหม่นหมองไม่สดใส เมื่อเห็นมู่อวิ๋นหรงเข้ามาก็ชักสีหน้ารำคาญใจ เหลือบมองนางด้วยสายตาเย็นชา “เจ้ามาทำไม”

มู่อวิ๋นหรงขบริมฝีปากแล้วตอบออกไปด้วยอารมณ์น้อยใจ “ได้ยินว่าท่านดีขึ้นบ้างแล้ว ท่านพ่อกับท่านย่าจึงให้หรงเอ๋อร์มาเยี่ยมเพคะ”

มู่หรงอานส่งเสียง “หึ” อย่างเย็นชา “ข้ายังไม่ตายหรอกน่า ถูกแล้วที่พี่หกบอกว่าเจ้ายังต้องเรียนรู้เรื่องกฏเกณฑ์มารยาทอีกมาก ช่างไม่รู้ความเสียจริง”

“ท่าน…” ครั้งนี้มู่อวิ๋นหรงรู้สึกน้อยใจจริงๆ เสียแล้ว นางชื่นชอบมู่หรงอานด้วยใจจริง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบหน้าเขา หัวใจทั้งดวงก็ตกเป็นของเขาไปแล้ว ข่าวลือเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับมู่หรงอานในเมืองหลวงนี้ใช่ว่านางจะไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่นางกลับคิดเอาว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นคำพูดใส่ร้ายป้ายสีมาตลอด ทว่ามู่หรงอานกลับไม่เคยยินดียินร้ายอะไรกับนางเลย หากอารมณ์ดีก็จะพูดดีกับนางเพียงสักสองสามคำ แต่หากอารมณ์เสียก็จะดุด่านางขึ้นมาทันที อันที่จริงแล้ว หากเทียบกับสาวน้อยทั่วไปในวัยเดียวกัน ว่าที่พระชายาหนิงมู่อวิ๋นหรงผู้นี้ ยังไม่เคยได้สัมผัสความสุขจากความรักที่สมหวังเลยสักครั้ง

มู่หรงอานพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ กวาดสายตามองผู้คนที่เดินตามมู่อวิ๋นหรงเข้ามาอย่างไม่แยแส จึงได้เห็นมู่หลิงที่มีสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด มู่เชินหน้านิ่วคิ้วขมวด มู่อวี่เฟยและมู่สุ่ยเหลียนต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ แต่เขาก็หาได้สนใจไม่ เขาเป็นถึงองค์ชาย ต่อให้คนตระกูลมู่ไม่พอใจแล้วจะทำอะไรเขาได้เล่า เขายอมแต่งกับมู่อวิ๋นหรงก็ถือว่าให้เกียรติมู่ฉังหมิงมากแล้ว

“เจ้าคือ…มู่ชิงอี?” มู่หรงอานเลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยถามเมื่อสังเกตเห็นมู่ชิงอีที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด ทันใดนั้น สายตาของทุกคนในห้องโถงก็รวมไปอยู่ที่มู่ชิงอีเป็นจุดเดียว ท่ามกลางสายตาทุกคู่ สายตาอิจฉาหึงหวงของมู่อวิ๋นหรงเข้มข้นร้อนแรงเป็นพิเศษ

มู่ชิงอีรีบเก็บซ่อนสีหน้าแววตาเกลียดชัง ตอบอย่างสงบนิ่ง “ทูลท่านอ๋อง เป็นหม่อมฉันเองเพคะ”

ตอนนี้ตนไม่ใช่กู้อวิ๋นเกออีกต่อไปแล้ว จึงไม่อาจลงมือกับมู่หรงอานได้อีก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้! จะว่าไปแล้ว เรื่องราวอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับตระกูลกู้ มู่หรงอานก็เป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้น แค่ชีวิตของมู่หรงอานคนเดียวจะมาชดเชยความคับข้องใจและความอัปยศของตระกูลกู้ได้อย่างไร ถ้าเพียงแค่นั้น จะให้นางเชื่อได้อย่างไรเล่าว่าโลกนี้ยังมีความยุติธรรมอยู่อีก

มู่หรงอานจ้องมองนางอย่างไม่วางตาอยู่นาน จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา “ดวงตาคู่นี้ของเจ้า…น่าเกลียดยิ่งนัก ออกไป!” มู่ชิงอีพลันตกใจ ก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบๆ โดยไม่สนใจสายตากระหยิ่มยิ้มย่องของมู่อวิ๋นหรง

ตราบใดที่ยังไม่สามารถรับมือกับมู่หรงอานได้ นางเองก็ยังไม่อยากที่จะประจันหน้ากับเขา

ถึงอย่างไรมู่ชิงอีก็เป็นถึงบุตรีภรรยาเอกของจวนซู่เฉิงโหว คนของจวนหนิงอ๋องจึงไม่สามารถไล่นางออกไปได้ อีกอย่างข้ารับใช้ในจวนอ๋องคนไหนบ้างที่ไม่รู้ว่าหนิงอ๋องนั้นมีอารมณ์ขึ้นลงไม่ปกติอย่างไร พ่อบ้านในจวนที่เคยถูกท่านอ๋องทุบตีมาก่อนจึงรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร หากไม่เช่นนั้น ด้วยนิสัยเช่นนี้ของมู่หรงอานแล้ว เขาก็คงจะสร้างความขุ่นเคืองให้แก่คนใหญ่คนโตไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว

ทันทีที่เดินออกจากประตูมา พ่อบ้านก็เข้ามาเชิญมู่ชิงอีไปเดินเล่นในสวนเพื่อเป็นการฆ่าเวลารอคนอื่นกลับจวนพร้อมกัน แม้ว่าท่าทีของพ่อบ้านจะดูเย็นชาเล็กน้อย แต่ก็ไม่นับว่าเสียมารยาท มู่ชิงอีเองก็ไม่ใช่เด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกปีอีกต่อไปแล้ว จึงไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้

เมื่อโบกมือให้ข้ารับใช้ที่เดินนำเข้ามาหลบออกไป มู่ชิงอีที่เดิมทีไม่มีความคิดที่จะเดินชมสวนอยู่แล้ว จึงมองหามุมสงบเพื่อนั่งลงปิดตาพักผ่อน ภายนอกนางดูสงบนิ่ง ท่วงท่าผ่อนคลาย แต่แท้จริงแล้วภายในกำลังครุ่นคิดคำนวณเรื่องราวต่างๆ อย่างละเอียดรอบคอบ

สิ่งที่นางทำได้ตอนนี้มีน้อยเกินไปจริงๆ พิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว อย่าว่าแต่จะต่อกรกับฮ่องเต้ผู้สูงส่งนั่นเลย แค่คิดจะทำให้มู่หรงอวี้สะเทือนก็ไม่ต่างอะไรกับแมลงเขย่าต้นไม้ ตนต้องวางแผนให้รอบคอบ

นวดถูหว่างคิ้วที่รู้สึกเมื่อยล้าเล็กน้อย ถอนหายใจอย่างแผ่วเบาอยู่ภายในใจ แล้วลืมตามองทิวทัศน์โดยรอบ

พี่ใหญ่ของนาง…พี่ใหญ่ผู้มีจิตใจสูงส่งของนาง พี่ใหญ่ที่ได้ชื่อว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามที่สุดในเมืองหลวงของนาง แต่กลับต้องสิ้นชีวิตอยู่ในจวนหนิงอ๋องแห่งนี้

หยาดน้ำตาไหลลงอาบใบหน้างามอย่างเงียบๆ

ตายแล้ว…ก็ดีเหมือนกัน ด้วยนิสัยของท่านพี่ หากไม่ใช่เพราะตน ท่านพี่คงจะจบชีวิตตัวเองไปนานแล้ว จะยอมทนให้มู่หรงอานดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ได้อย่างไร

หลายปีมานี้พวกนางสองพี่น้องถือได้ว่าเป็นเครื่องมือให้มู่หรงอวี้และมู่หรงอานคอยคุมเชิงกันและกัน เนื่องจากพี่ชายอยู่ในจวนหนิงอ๋อง กู้อวิ๋นเกอจึงไม่อาจร้องขอความตายได้ ต้องอดทนอดกลั้นอยู่ในหอนางโลม และเนื่องจากน้องสาวต้องติดอยู่ในหอนางโลม กู้ซิ่วถิงจึงต้องพยายามเอาชีวิตรอดไปวันๆ เพื่อไม่ให้น้องสาวต้องทุกข์ใจ

ตอนนี้…ตายแล้วก็ดี! พี่ใหญ่ หากวิญญาณท่านยังอยู่เบื้องบน ก็ช่วยคุ้มครองให้อวิ๋นเกอล้างแค้นให้ตระกูลกู้ของเราสำเร็จด้วยเถิด

“คนคนนั้น…ใกล้จะไม่ไหวแล้วกระมัง” ขณะที่มู่ชิงอีกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ก็มีเสียงเบาๆ ดังขึ้นมาจากทางเดินเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังต้นไม้

“นั่นน่ะสิ…น่าสงสารจริงๆ หากไม่ใช่เพราะว่าท่านอ๋องให้คนวางยาจนเขาขยับตัวไม่ได้ ก็คงจะปลิดชีพตัวเองตายไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นตาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสารเห็นอกเห็นใจ เห็นได้ชัดว่าเป็นสาวใช้สองนางที่เดินผ่านมากำลังพูดคุยซุบซิบกัน เพียงแต่พวกนางไม่รู้ว่าโดนคนที่นั่งอยู่หลังต้นไม้นั้นได้ยินเรื่องราวทั้งหมด

แต่มู่ชิงอีกลับไม่สนใจ คนที่ถูกมู่หรงอานทำร้ายจนถึงแก่ความตายไม่ได้มีแค่คนสองคน

ตอนนี้แม้แต่ตัวเองก็ยังดูแลแทบไม่ได้ ยังจะมีอารมณ์ไปยุ่งเรื่องของคนอื่นที่ไหนกัน หลายปีมานี้ตระกูลกู้มีเมตตาต่อผู้อื่น ทำคุณกับคนไว้ไม่น้อย แต่พอถึงคราวเป็นตาย มีใครบ้างเล่าที่ช่วยพูดปกป้องตระกูลกู้

“ถึงอย่างนั้น เขาไม่กินไม่ดื่มอย่างนี้ก็คงจะทนต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว” สาวใช้ที่เอ่ยขึ้นคนแรกกระซิบกระซาบ

สาวใช้อีกคนถอนหายใจ “คุณชายหล่อเหลาสง่างามคนหนึ่งถูกทรมานขนาดนี้ ตายไป…ก็คงดีเสียกว่า เมื่อก่อนองค์ชายชอบยกเอาคุณหนูตระกูลกู้มาข่มขู่เขา แต่ตอนนี้คูณหนูกู้ก็ไม่อยู่แล้ว กลัวแต่ว่า…”

“ช่างเถิด เลิกพูดดีกว่า หากเขาตายไปจริงๆ องค์ชายก็คงไม่ไว้ชีวิตพวกเราเหมือนกัน…”

สาวใช้สองนางเดินห่างออกไปเรื่อยๆ มู่ชิงอีที่ยังคงอยู่ที่เดิมกลับนั่งนิ่งไม่ขยับ รู้สึกราวกับสายฟ้าฟาดดังกึกก้องอยู่ข้างหูก็ไม่ปาน คุณหนูตระกูลกู้…ข่มขู่…ตายแล้ว…

พี่ใหญ่…พี่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่

ข่าวคราวอันกะทันหันนี้เกือบจะทำให้ความสงบเยือกเย็นในหลายวันมานี้ของมู่ชิงอีพังทลาย นางลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว คิดจะไล่ตามสาวใช้สองนางนั้นไป

นางอยากเห็นพี่ใหญ่ อยากบอกเขาว่านางยังมีชีวิตอยู่ ขอให้เขาจงมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นกัน!

จากคำพูดของสาวใช้สองนางนั้น นางจึงรู้ว่าพี่ใหญ่ของนางก็เหมือนกันกับนางที่เมื่อรู้ว่านางตายไปแล้วคงหมดแรงใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ร้องขอความตาย แต่กลับถูกมู่หรงอานขัดขวางไว้ ทว่าหากคนคนหนึ่งอยากตายจะจริงๆ ก็คงไม่มีใครห้ามปรามไว้ได้

“คุณหนู ท่านจะไปไหนหรือขอรับ” มู่ชิงอีเพิ่งจะหันหลังให้พุ่มไม้หมุนตัวไปยังทางเดินเล็กๆ นั่นก็มีคนตามมาทันที พ่อบ้านที่มายังสวนดอกไม้แห่งนี้ด้วยกันกับนางรีบรุดเข้ามา เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณหนู นั่นเป็นเขตหวงห้าม คนนอกเข้าไปไม่ได้นะขอรับ”