พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 48 ท่านอ๋องคิดว่าเจ้าตกลงไปในหม้อน้ำมันแล้ว
เฟิ่งชิงหัวรีบจับใบหน้าตัวเอง นางใช้หลายวิธีกว่าจะกลบรอยฟันได้ ตอนนี้พอเห็นจ้านเป่ยเซียว ก็รู้สึกปวดแผลขึ้นมาทันที
คนผู้นี้มีแค้นต้องชำระ ได้ยินนางนินทาเขาลับหลัง ไม่รู้ว่าจะแก้แค้นนางยังไงอีก
ด้วยหลักความคิดที่ว่าจะไม่ยอมเสียเปรียบ เฟิ่งชิงหัวก็ตัดสินใจอ้อนเขาหน่อย
พอคิดได้แบบนี้ เฟิ่งชิงหัวก็คิดจะแก้ตัว นางยกมือขึ้นทักทายจ้านเป่ยเซียวอย่างกล้าๆกลัวๆ: “หวัดดี?”
จ้านเป่ยเซียวยังคงมองด้วยสายตาลึกซึ้ง ริมฝีปากบาง ไม่พูดอะไรสักคำ
สายตาที่ยากจะจับความรู้สึกได้ อารมณ์ที่เย็นชา ทำให้ เฟิ่งชิงหัวเดาไม่ออกว่าเขากำลังดีใจหรือโกรธอยู่ ไม่รู้ว่าแอบจดบัญชีดำนางไว้หรือเปล่า
เฟิ่งชิงหัวยังคงพูดเองอย่างเป็นมิตรว่า: “ท่านอ๋อง ข้าได้ยินว่าท่านกลับมาแล้วยังไม่ได้กินข้าวเลย ข้าจึงทำอาหารรอท่านกลับมากินด้วยกัน ท่านลองไปชิมดูได้หรือไม่? มีเรื่องสำคัญอันใด กินข้าวเสร็จแล้วค่อยทำก็ได้ ใช่หรือไม่?”
ขอแค่จ้านเป่ยเซียวบอกกับนางว่าไสหัวออกไป นางก็จะออกไปทันที ไม่งั้นเอาแต่สบตากันแบบนี้ อึดอัดจะตายไป
เฟิ่งชิงหัวคิดว่ารู้จักนิสัยของจ้านเป่ยเซียวดีแล้ว ตอนนี้เขาไม่อยากเห็นนางแน่
แต่ใครจะรู้ว่า นางเพิ่งพูดจบ ก็เห็นชายหนุ่มเดินออกจากหน้าต่าง ต่อมาก็เปิดประตูใหญ่ แล้วเดินออกมา
เขาเข็นรถเข็นมา ไม่นานก็มาถึงตรงหน้าเฟิ่งชิงหัว
ชายหนุ่มนั่งหลังตรง ทั้งที่สูงกว่านางไม่เท่าไหร่ แต่กลับหรี่ตามองนาง: “เตรียมกับข้าวเสร็จแล้วไม่ใช่หรือไง ยังไม่ไปอีก?”
“ห้ะ? อ้อ ไป ไปสิ” เฟิ่งชิงหัวพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
เกลียดตัวเองจริงๆ อยู่ดีไม่ว่าดีเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง
ยังมีผู้ชายคนนี้อีก ทำไมถึงไม่ทำเหมือนเมื่อก่อน
เฟิ่งชิงหัวไม่เคยคิดอยากให้ห้องตัวเองห่างจากห้องนี้ไกลกว่านี้เลย ไกลอีกหน่อย ทางที่ดีขอให้จ้านเป่ยเซียวยกเลิกความคิดนี้ไป
แต่ทว่า แค่พริบตาเดียว ก็เดินมาถึงห้องตัวเองแล้ว จ้านเป่ยเซียวเดินไปนั่งลงที่ห้องโถง สายตามองไปยังเฟิ่งชิงหัว เคาะโต๊ะเบาๆ
เฟิ่งชิงหัวแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ มองไปยังม่านเฉ่า: “ยังยืนบื้ออยู่ทำไมกัน ยังไม่รีบไปยกชามาให้ท่านอ๋องอีก?”
ม่านเฉ่ารีบไปยกชามาอย่างรวดเร็ว
จ้านเป่ยเซียวยกถ้วยชาขึ้นมาจิบหนึ่งคำ มองไปยังเฟิ่งชิงหัว ให้นางเตรียมอาหารขึ้นมาได้เลย
อาหารที่ไหนกัน แครอทมีสองหัว จะเอาไหม?
แต่สายตาของจ้านเป่ยเซียวกลับจ้องเขม็ง เฟิ่งชิงหัวไม่กล้าพูดออกมา
ทั้งที่นางสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ตลอด แต่ภายใต้สายตาของจ้านเป่ยเซียว ทำให้นางรู้สึกร้อนรนใจขึ้นมา
เฟิ่งชิงหัวยิ้มอ่อนๆแล้วพูดว่า: “เจ้าค่ะ ข้าจะรีบไปยกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย”
ว่าแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็รีบเดินออกไป แล้วพุ่งตรงไปยังห้องครัวทันที
ม่านเฉ่าไม่กล้าอยู่ห้องเดียวกับท่านอ๋อง ในตอนที่เฟิ่งชิงหัวออกไปแล้ว นางก็รีบตามออกไปทันที
หลิวหยิ่งเข้าไปในห้อง แล้วพูดเสียงเบาว่า: “ท่านอ๋อง พระชายาไม่ได้เตรียมอาหารไว้ จะให้ข้าน้อยไปยกมาจากห้องครัวใหญ่มาไหมขอรับ?”
จ้านเป่ยเซียวปัดมือ หลิวหยิ่งได้รับคำสั่งแล้วก็จึงเดินออกไป ในใจกลับตกตะลึงมาก
ท่านอ๋องเป็นคนมีความอดทนขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
และเฟิ่งชิงหัวที่อยู่อีกด้านกลับปวดหัวกับวัตถุดิบที่ยังเหมือนเดิมในห้องครัว
เวลาแค่นี้ นางจะเปลี่ยนวัตถุดิบพวกนี้ให้เป็นอาหารได้ยังไง ถ้าทำยำแตงกวา แครอทดิบ กินผักพวกนี้ดิบๆ นางแน่ใจได้ว่า จ้านเป่ยเซียวจะต้องเคมือบนางแน่
เฟิ่งชิงหัวเดินอยู่ภายในห้องครัว ใช้นิ้วมือชี้ไปยังระหว่างคิ้วของตัวเองไม่หยุด
“ได้แล้ว!” เฟิ่งชิงหัวคิดได้แล้วก็เริ่มลงมือทำทันที
ม่านเฉ่าเข้ามาเห็นพระชายาจะทำอาหารตอนนี้ นางก็พูดด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า: “พระชายา ตอนนี้เกรงว่าจะไม่ทันแล้ว ไม่งั้น ไม่งั้นพวกเราบอกความจริงกับท่านอ๋องเถอะเจ้าค่ะ”
ถ้าให้ท่านอ๋องรอนานเกินไป เกรงว่าพวกนางจะตายก่อนน่ะสิ
เฟิ่งชิงหัวยิ้มอย่างมั่นใจให้กับนาง: “เจ้ามาก็ดีเลย รีบมาช่วยข้าล้างผักเร็ว ล้างพวกนี้ให้หมดเลย”
“หมดเลยเหรอเจ้าคะ?” ม่านเฉ่ามองดูวัตถุดิบที่กองเป็นภูเขาด้วยสีหน้าลำบากใจ: “ถึงท่านจะเป็นเทพแม่ครัวก็ไม่มีทางทำอาหารได้เยอะในเวลาสั้นๆหรอกเจ้าค่ะ พวกเราเลือกอาหารที่ทำได้เร็วดีกว่าไหมเจ้าคะ”
“อย่าพูดมาก เจ้ารีบมาช่วยข้าล้างเร็ว ไม่ต้องเยอะ ล้างอย่างละหน่อยก็พอ” เฟิ่งชิงหัวว่าแล้วก็เริ่มผัดเครื่องเทศ
ม่านเฉ่าเห็นหญิงสาวโยนวัตถุดิบลงไปไม่หยุด ตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว อยากจะพูดแต่ก็ไม่กล้า รู้สึกกังวลมาก
รอเฟิ่งชิงหัวนำอาหารที่ยำรวมกันทั้งหมดใส่ไว้ในถ้วยใหญ่ ข้าวสวยก็เสร็จพอดี
ม่านเฉ่ามองดูอาหารที่หน้าตาดูไม่สวยนั้น แล้วถามด้วยเสียงสั่นเทาว่า: “พระชายา ท่านจะให้ท่านอ๋องกินอาหารถ้วยนี้เหรอ?”
เฟิ่งชิงหัวไม่มองนางด้วยซ้ำ เอาจานปิดไว้แล้วยกออกไป แค่สั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ยกข้าวสวยตามมาด้วย จากนั้นเจ้าก็ไปซุปบ๊วยมา”
เฟิ่งชิงหัวยกถ้วยเข้าไปในห้องกลับเห็นภายในห้องมืดมาก ไม่เห็นจ้านเป่ยเซียวอยู่ในห้องเลย
“หื้ม? ไปไหนแล้วล่ะ หรือทนรอไม่ไหวเลยออกไปแล้ว? ก็น่าจะบอกกันก่อนสิ ให้ข้ารีบอยู่ได้” เฟิ่งชิงหัวนั่งลงแล้วพูดอย่างไม่พอใจ
เพิ่งพูดจบ มุมห้องก็มีแสงเทียนสว่างขึ้น
เฟิ่งชิงหัวมองไปตามแสงนั้น ก็เห็นไข่มุกราตรีเปล่งประกายอยู่บนเตียงภายในห้องนอน
เฟิ่งชิงหัวลุกขึ้นเดินไปดูไข่มุกราตรีนั้น มองไปก็เห็นจ้านเป่ยเซียวที่กำลังนอนอยู่บนเตียงแล้วหรี่ตามองนางอยู่
ชายหนุ่มสวมชุดสีดำนอนอยู่บนนั้น บนตัวห่มผ้าของนางไว้ เหมือนเมื่อกี้กำลังหลับอยู่
เฟิ่งชิงหัวถามอย่างแปลกใจ: “เจ้าไปอยู่บนเตียงได้ยังไง?”
จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอย่างเย็นชา: “ข้าคิดว่าเจ้าตกลงไปในหม้อน้ำมันแล้วเสียอีก”
นี่รอจนทนไม่ไหวแล้วเหรอ
เฟิ่งชิงหัวได้ยินคำนี้ก็ไม่กล้าโทษที่เขามานอนบนเตียงนางอีกเลย แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงหวานว่า: “ท่านอ๋อง ท่านจะกินหรือจะนอนต่อเจ้าคะ?”
จ้านเป่ยเซียวลุกขึ้นจากเตียง สองมือพยุงไว้แล้วขยับไปนั่งบนรถเข็น เข็นไปที่ทางโต๊ะ ในตอนที่เห็นบนโต๊ะมีอาหารถ้วยเดียว เขาก็ขมวดคิ้วเป็นปม แล้วมองค้อนเฟิ่งชิงหัวอย่างไม่พอใจ
ให้เขารอนานขนาดนี้ ก็เพื่อกินอาหารถ้วยนี้เหรอ?
ถึงจะเป็นคนนิสัยดีแค่ไหน ตอนนี้ก็ต้องมีทนไม่ไหวกันบ้าง
เฟิ่งชิงหัวรีบพูดว่า: “ท่านอ๋องอย่าเพิ่งใจร้อนไปเจ้าค่ะ ท่านลองชิมอาหารจานนี้ก่อนเจ้าค่ะ รับรองว่าท่านจะถูกใจแน่นอน!”
ว่าแล้ว เฟิ่งชิงหัวก็ยื่นมือออกไปอย่างลึกลับ แล้วเปิดฝาออก
จ้านเป่ยเซียวมองดูของสีแดงในถ้วย แล้วถอยไปข้างหลังทันที
ถึงจะมองไม่เห็นสีหน้าอาการของเขา เฟิ่งชิงหัวก็รู้ว่าเขากำลังรังเกียจอยู่ นางรีบพูดว่า: “ท่านอ๋องอย่าสนรูปลักษณ์ภายนอกของมันเลยเจ้าค่ะ อาหารจานเป็นที่นิยมกันมาก ดูภายนอกธรรมดา แต่กินแล้วกลับรสชาติดีมาก ถ้าท่านไม่เชื่อก็ลองชิมดูสิเจ้าคะ?”
ว่าแล้วนางก็ยื่นตะเกียบให้ชายหนุ่ม มองเขาด้วยสายตาที่เป็นประกาย