ตอนที่ 58 เร่งรีบ

ตอนที่ 58 เร่งรีบ

เมื่อคนในครอบครัวมาถึงเขตอำเภอแล้ว ก็มุ่งหน้าตรงไปที่บ้านของเจี่ยงสือเหิงทันที

ฉินเจี้ยนเซ่อมองดูบ้านหลังเล็กตรงหน้า ก่อนจะอดพูดออกไปเสียไม่ได้ “พ่อบุญธรรมของลูกอยู่ที่นี่หรือ ดูค่อนข้างลำบากเลยนะ”

อันที่จริงแล้วในหมู่บ้านก็เคยมีผู้มีอำนาจอาศัยอยู่ในคอกวัวเหมือนกัน ปกติไม่ค่อยมีใครก้าวเข้าไปใกล้ที่นั่น แต่ช่วงนี้สถานการณ์คลี่คลายลง เขาจึงได้ยินมาว่าชายสองคนนั้นได้ออกไปจากคอกวัวแล้ว

เมื่อคิดเช่นนั้น ฉินเจี้ยนเซ่อก็อดจะเอ่ยไม่ได้อีกครั้ง “โชคดีที่เขากำลังจะได้ย้ายไปแล้ว”

“ใช่ค่ะ”

ฉินมู่หลานพยักหน้า หลังจากนั้นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งก็ได้เข้าไปข้างใน

เจี่ยงสือเหิงเห็นว่าครอบครัวของฉินมู่หลานมาหา จึงเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม “สวัสดีครับ เชิญนั่งก่อนครับ”

ลุงเจี่ยงได้เตรียมการต้อนรับเอาไว้เสร็จสรรพแล้ว แม้สภาพภายในห้องจะดูธรรมดา แต่เขาก็ยังจัดเตรียมม้านั่งให้ครอบครัวฉิน เมื่อให้ทุกคนนั่งลงแล้ว ก็ยังรินน้ำให้แต่ละคนด้วย

ฉินมู่หลานแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน “พ่อบุญธรรมคะ คนนี้คือพ่อของหนู ฉินเจี้ยนเซ่อ และนี่คือแม่ของหนู ซูหว่านอี๋ และนั่นคือน้องชายของหนูฉินเคอวั่ง” หลังจากนั้นก็เอ่ยแนะนำอีกฝ่าย “นี่คือพ่อบุญธรรมของหนู เจี่ยงสือเหิงค่ะ” ขณะเอ่ย ก็ได้แนะนำลุงเจี่ยงด้วยเช่นกัน

“สวัสดีครับ”

ฉินเจี้ยนเซ่อรีบตรงเข้าไปทักทายเจี่ยงสือเหิงด้วยท่าทางค่อนข้างประหม่าเขินอายนิดหน่อย

แม้ว่าเจี่ยงสือเหิงจะพักอาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้ แต่เพียงพิจารณาดูแล้วก็รับรู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ต้องพูดถึงรูปลักษณ์อันหล่อเหลาและสง่างาม เพียงได้เห็นลักษณะท่าทางของเขาก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าแต่ก่อนเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน

ในทางกลับกัน ซูหว่านอี๋กลับเอ่ยทักทายเจี่ยงสือเหิงอย่างสง่างาม

ส่วนฉินเคอวั่งก็เอ่ยทักทายลุงเจี่ยงอย่างสุภาพ

“สวัสดี เคอวั่ง ผมเคยได้ยินมู่หลานพูดถึงคุณมาก่อน” เจี่ยงสือเหิงมองฉินเคอวั่งด้วยสีหน้าดีใจ หลังจากนั้นก็หยิบจี้หยกขึ้นมาพลางยื่นไปให้

ฉินเคอวั่งไม่มีปฏิกิริยาอะไรพลางเอ่ยพูดอย่างรวดเร็ว “คุณลุงเจี่ยง ผมรับไม่ได้หรอกครับ”

“นี่เป็นของขวัญที่มาเจอหน้ากัน ต้องรับไว้อยู่แล้ว”

ฉินเคอวั่งเห็นดังนั้น จึงหันมองฉินมู่หลานอย่างช่วยไม่ได้

ฉินมู่หลานพยักหน้าให้เขา เมื่อฉินเคอวั่งเห็นดังนั้น จึงได้แต่ยอมรับไว้

ซูหว่านอี๋ปรายตามองลูกสาวของตนด้วยความไม่พอใจ จี้หยกอันนั้นแค่มองเพียงแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าต้องแพงมาก จะรับมันได้อย่างไร แต่สุดท้ายลูกชายก็ยอมตกลงรับมัน หล่อนจึงไม่อาจเอ่ยคัดค้านได้

ฉินมู่หลานเห็นทุกคนรู้จักกันแล้ว จึงหันไปมองเจี่ยงสือเหิงแล้วเอ่ยขึ้น “พ่อบุญธรรมคะ ขอหนูตรวจชีพจรหน่อยค่ะ”

“เอาสิ”

หลังจากนั้นฉินมู่หลานก็ได้ทำการฝังเข็มให้เจี่ยงสือเหิง แล้วปรับเปลี่ยนใบสั่งยาให้นิดหน่อย สุดท้ายก็ไปกินข้าวที่โรงแรมรัฐ

เมื่อมาถึง ฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋ต่างคิดในใจว่าพวกตนจะเป็นฝ่ายต้อนรับแขกเอง แต่ก็ยังไม่ไวเท่าลุงเจี่ยง หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ลุงเจี่ยงก็รีบจ่ายเงินและยื่นคูปองทันที สุดท้าย อาหารมื้อนี้ก็ได้เจี่ยงสือเหิงเป็นฝ่ายต้อนรับแทน

“สือเหิง พวกผมคนเยอะกว่า พวกเราควรจะเป็นฝ่ายต้อนรับคุณสิ”

ระหว่างทางมาที่นี่ ฉินเจี้ยนเซ่อและเจี่ยงสือเหิงต่างพูดคุยกันมากมาย ดังนั้นทั้งสองจึงต่างเรียกชื่อจริงกันด้วยความสนิทสนมเป็นที่เรียบร้อย

เจี่ยงสือเหิงได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าคุณก็ต้อนรับพวกฉันแล้วกัน”

“ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราตกลงกันแล้วนะ”

หลังจากนั่งกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินเจี้ยนเซ่อก็เอ่ยด้วยความรู้สึกเสียดายนิดหน่อย “อาหลี่ไม่ได้อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้น เขาก็จะได้เจอคุณแล้ว”

“อาหลี่?”

เจี่ยงสือเหิงถามด้วยความสับสนนิดหน่อย “อาหลี่คือใครหรือ?”

เมื่อได้ยินคำถามนี้ ฉินเจี้ยนเซ่อก็หันมองลูกสาวของตนด้วยท่าทางสงสัย พลางเอ่ยถาม “มู่หลาน ลูกยังไม่ได้บอกสือเหิงหรือว่าแต่งงานแล้ว?”

“อืม…..”

ฉินมู่หลานคิดอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้นเลยจริง ๆ

เมื่อเจี่ยงสือเหิงได้ยินว่าฉินมู่หลานแต่งงานแล้ว สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “อะไรกัน…มู่หลานแต่งงานแล้วหรือ?”

“ใช่แล้ว มู่หลานเพิ่งแต่งเมื่อไม่นานมานี้เอง สามีของเธอชื่อเซี่ยเจ๋อหลี่ ตอนนี้กลับไปที่ฐานทัพ ก็เลยไม่ได้อยู่ที่นี่” ฉินเจี้ยนเซ่อที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอธิบาย หลังจากนั้นจึงมองลูกสาวด้วยสายตาตำหนิ “มู่หลาน ทำไมถึงไม่ชี้แจงให้ชัดเจนเล่า”

“หนูเห็นว่าอาหลี่ไม่อยู่ ก็เลยไม่ได้พูดถึงเยอะค่ะ”

ตอนแรกเจี่ยงสือเหิเงห็นว่าลูกสาวบุญธรรมของเขาช่างดีเหลือเกิน จึงอยากแนะนำคนดี ๆ ให้เธอได้รู้จัก แต่ตอนนี้เหมือนจะไม่จำเป็นแล้ว กลายเป็นว่ามู่หลานแต่งงานเรียบร้อย “ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าฉันต้องขอพบอาหลี่หน่อยแล้ว”

ฉินเจี้ยนเซ่ออยากรู้เรื่องของเซี่ยเจ๋อหลี่มากเช่นกัน เพราะสาวน้อยคนนี้ช่างเยี่ยมยอดนัก สามีของเธอก็คงไม่น้อยหน้ากันอย่างแน่นอน

ผู้คนรับประทานอาหารกันเรียบร้อย หลังจากนั้น ฉินมู่หลานก็กำลังจะพาครอบครัวของเธอกลับ “พ่อบุญธรรมคะ พ่อกับลุงเจี่ยงดูแลตัวเองด้วยนะ อีกไม่กี่วันหนูจะมาหาใหม่”

“ได้สิ”

เมื่อเฝ้ามองเจี่ยงสือเหิงและลุงเจี่ยงจากไป ฉินมู่หลานและคนอื่นก็เตรียมขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับ

หลังจากครอบครัวกลับถึงบ้าน ฉินเคอวั่งก็อดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่าคุณลุงเจี่ยงดูไม่ใช่คนธรรมดาเลย นอกจากนี้ยังพูดจาดีมากด้วย ฟังดูแล้วเหมือนเป็นนักปราชญ์รู้จักกวีศิลป์

เมื่อเห็นลูกชายชื่นชมเจี่ยงสือเหิง ฉินเจี้ยนเซ่อก็อดจะเอ่ยไม่ได้ “อะไรกัน คิดว่าพ่อไม่ดีอย่างนั้นหรือ”

เมื่อได้ยินแช่นนั้น ฉินเคอวั่งก้รีบส่ายหัวพลางเอ่ยตอบทันที “พ่อ พ่อพูดอะไรครับเนี่ย ผมจะว่าพ่อไม่ดีได้อย่างไรกัน แค่บอกว่าลุงเจี่ยงดูไม่ธรรมดาเลย”

ซูหว่านอี๋หันมองสามีด้วยความไม่พอใจ พลางเอ่ยขึ้น “คุณจะเปรียบเทียบกับคนอื่นไปทำไม พอแล้ว ไปทำงานเถอะ”

“ก็ได้ ๆ ผมกำลังจะไปอยู่”

ฉินเจี้ยนเซ่อหันไปยิ้มตอบ แล้วจึงเดินออกจากประตูไป

ฉินมู่หลานก็เอ่ยพูดกับซูหว่านอี๋อีกสักพักก่อนจะกลับไปเช่นกัน เธอคิดจะเขียนบทความอีก สำนักพิมพ์ไม่เพียงแต่ให้เงินเท่านั้น แต่ยังมอบคูปองให้อีกด้วย นับว่าผลประโยชน์ค่อนข้างดี เธอจึงอยากเขียนเพิ่ม จะได้มีรายได้เพิ่มด้วย

เมื่อหลี่เสวี่ยเยี่ยนกลับมาในตอนเย็น ก็ได้นำผลไม้ถุงใหญ่กลับมาด้วย

“เสวี่ยเยี่ยน ทำไมถึงซื้อผลไม้มามากมายขนาดนั้นเล่า นี่ใช้เงินเยอะมากเลยใช่ไหม” ถึงสะใภ้ใหญ่จะหาเงินได้ แต่ปกติก็ประหยัดมาก ครั้งนี้กลับยอมลงทุนควักเงินซื้อแอปเปิ้ลมา

หลี่เสวี่ยเยี่ยนได้ยินดังนั้น จึงรีบเอ่ย “แม่คะ ฉันไม่ได้ซื้อค่ะ ผอ.โรงงานของเราฝากเอากลับมาให้มู่หลาน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหยาจิ้งจือจึงชะงักไปแล้วไม่เอ่ยสิ่งใดอีก กลายเป็นมันว่าเป็นของลูกสะใภ้คนเล็กนี่เอง ตอนนี้เธอมีความสามารถมากขึ้นเรื่อย ๆ เลย เมื่อไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งได้รับค่าลิขสิทธืครั้งที่สองมา คนในหมู่บ้านเห็นอยู่ไม่น้อย เดือนนี้เธอมีรายได้มากกว่าพนักงานเท่าไปเสียอีก

ฉินมู่หลานคาดไม่ถึงว่าอวี๋ไห่เฉาจะฝากพี่สะใภ้นำแอปเปิ้ลกลับมา แต่เพราะมันเป็นของเธอ ดังนั้นเธอจึงแบ่งเอาไว้เพียงครึ่งหนึ่ง “แม่คะ ถ้าอย่างนั้นเก็บไว้ที่บ้านครึ่งหนึ่ง แล้วฉันจะเอาอีกครึ่งหนึ่งกลับไปฝากพวกคุณปู่คุณย่าด้วยนะคะ”

“เอาสิ”

มันเป็นของฉินมู่หลาน เธอจะมอบให้ใครก็ย่อมได้ นอกจกานี้ยังแบ่งเก็บให้ที่บ้านถึงครึ่งหนึ่งด้วย

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานก้นำแอปเปิ้ลไปให้บ้านตระกูลฉิน ซูหว่านอี๋จึงเอ่ยพูดบางอย่างไม่กี่คำ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกสาวบอก ว่าทางฝั่งครอบครัวสามีก็มีเช่นกัน เธอจึงไม่เอ่ยสิ่งใดมาก

และวันนี้หวังจาวตี้ก็อยู่บ้านเช่นกัน เมื่อเห็นฉินมู่หลาน จึงรีบวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น “มู่หลาน เธอมาแล้วเหรอ ฉันกำลังจะไปหาเธออยู่พอดีเลย”

“พี่สะใภ้ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”

ช่วยตรวจไปครั้งเดียว ตอนนี้หวังจาวตี้กลับมองเธอเปลี่ยนไปในทางที่ดีมาก

หวังจาวตี้จึงมองฉินมู่หลานก่อนจะเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “มู่หลาน ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ เธอเก่งมากจริง ๆ” หลังกินยาต่อเนื่องมาเจ็ดวัน หล่อนก็รู้สึกดีมากขึ้นแล้วจริง ๆ

“พี่นั่งก่อน ฉันจะตรวจชีพจรให้อีกรอบค่ะ”

“ได้”

หลังจากฉินมู่หลานดึงมือกลับแล้ว ก็เอ่ยต่อ “อาการดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังต้องกินยาอีกสองรอบนะคะ ถ้ากินหมดแล้วก็ไม่ต้องกินต่อแล้วค่ะ” หลังจากนั้นเธอก็ให้หวังจาวตี้ดูว่าตนสั่งยาไปให้กินวันละสามครั้ง ตอนนี้จึงเหลืออีกสองครั้ง

“ได้ ฉันเข้าใจแล้ว”

ฉินมู่หลานนั่งต่ออีกสักพักก่อนจะกลับไป ช่วงนี้ไม่ได้ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร เธอจึงวางแผนที่จะไปปรุงยาที่บ้านก่อนจะขึ้นเขา หลังจากนั้นเธอก็กลับไปทำงานแสนยุ่งอีกครั้ง จนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องกลับไปฝังเข็มให้เจี่ยงสือเหิง เธอก็ขายยาที่เหลืออยู่ได้จนหมด

หลังจากซ่งโหย่วเต๋อจ่ายเงินแล้ว เขาก็รั้งฉินมู่หลานเพื่อพูดคุยด้วยกันเป็นเวลานาน “มู่หลาน ใบสั่งยาอันล่าสุดที่คุณบอกมีประสิทธิภาพมาจริง ๆ ตอนนี้คนไข้รู้สึกสบายขึ้นมากแล้ว คุณเยี่ยมยอดมากจริง ๆ”

“ใช้ได้ก็ดีแล้วค่ะ”

หลังจากคุยกันได้สักพัก ซ่งโหย่วเต๋อก็เอ่ยอย่างละอายใจ “แต่ว่ารางวัลที่จะมอบให้คุณยังไม่เรียบร้อย เอาไว้คุณมาอีกครั้งผมจะรีบจัดการให้ครับ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานก็อดเอ่ยด้วยรอยยิ้มเสียไม่ได้ “หมอซ่งคะ รางวัลอะไรก็ตามไม่สำคัญหรอกค่ะ ขอแค่คนไข้หายขาดก็พอแล้วค่ะ”

เมื่อเห็นทัศนคติอันดีงามของฉินมู่หลาน ซ่งโหย่วเต๋อก็อยากมอบรางวัลให้กับเธอมากขึ้น “หมอฉิน วางใจเถอะ ผมจะไม่ทำให้ใบสั่งยาที่คุณเขียนให้เสียเปล่าอย่างแน่นอน”

เมื่อฉินมู่หลานเห็นซ่งโหย่วเต๋อยืนกรานย่างหนักแน่น จึงอดยิ้มเสียไม่ได้ และไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก หลังจากพูดคุยกันอีกเพียงไม่กี่คำก็กลับไป

ฉินมู่หลานเดินชมรอบ ๆ อยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะเห็นชายวัยกลางคนวิ่งตรงไปข้างหน้าโดยมีเด็กคนหนึ่งนอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของเขา

ตอนแรกฉินมู่หลานก็อยากจะก้าวเดินต่อ แต่เธอกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลก ๆ

เด็กคนนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นเสี่ยวเหล่ยลูกชายของอวี๋ไห่เฉิง