ตอนที่ 301 – เกิดอะไรขึ้น
ทั้งสามคนอยู่ในหมอกหนายิ่งบินยิ่งสูง ประมุขเต๋าหัวเหยียนโบกแขนเสื้อสกัดกั้นปราณเซียนสายหนึ่ง ขมวดคิ้วถามฉินซีว่า “โส่วจิ้ง เจ้ามิได้สัมผัสผิดไปหรือ ทำไมถึงอยู่บนฟ้า หรือว่าจะอยู่ในระหว่างการบิน”
“น่าจะไม่ผิด” ฉินซีพูด “ศิษย์ก็รู้สึกประหลาดใจ ตำแหน่งไม่ได้ขยับเขยื้อนเลย คล้ายกับว่าที่บนฟ้า……”
ขณะที่กำลังพูด จิตหยั่งรู้ของประมุขเต๋าจิ้งเหอมีการค้นพบแล้ว เอ่ยว่า “ที่นั่นมีภูเขา”
ฉินซีและประมุขเต๋าหัวเหยียนตระหนักทันที ฉินซีเร่งถามว่า “ซือฟุ ในภูเขานั่นมีคนหรือไม่”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอส่ายหน้า “ในภูเขาเศษขยะมากเกินไป ในหมอกหนานี้ จิตหยั่งรู้ไม่อาจตรวจสอบได้ละเอียดขนาดนั้น”
ถึงแม้จิตหยั่งรู้ของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่จะแข็งแกร่งมาก ไม่ง่ายดายที่จะหลงทางในหมอกหนานี้ แต่หมอกหนานี้มันประหลาดจริงแท้ จิตหยั่งรู้ไม่อาจจะแสดงบทบาทดั้งเดิมออกมาได้เลย
ฉินซีเข้าใจจุดนี้ก็เลยไม่พูดมาก เพียงถอนหายใจ คิดดูอีกที ตอนนี้มีทิศทางไปของโม่เทียนเกอแล้วยังจะกลัวอะไรเล่า ระงับจิตใจติดตามประมุขเต๋าจิตวิญญาณใหม่ทั้งสองเดินหน้าต่อ
ยอดเขาโดดเดี่ยวนั้นในที่สุดก็ปรากฏขึ้นในคลองจักษุของทั้งสามคน มันปกคลุมไปด้วยหมอกหนา สามารถมองเห็นเพียงเค้าโครงโดยคร่าว
พอเข้าใกล้ยอดเขาโดดเดี่ยว ประมุขเต๋าจิ้งเหอและประมุขเต๋าหัวเหยียนสบตากัน ขมวดคิ้วทั้งคู่ ประมุขเต๋าจิ้งเหอเอ่ยเสียงค่อยว่า “ซีเอ๋อร์ ไม่ถูกต้อง มีสองคน!”
ฉินซีไม่เข้าใจความหมายของเขา ลิงโลดอยู่ในใจ ถามว่า “ซือฟุ ท่านสัมผัสได้แล้วหรือ”
“อืม……” ประมุขเต๋าจิ้งเหอจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เอ่ยว่า “พิสดารอยู่บ้าง……”
“พิสดารตรงไหนขอรับ”
คำถามนี้ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้ตอบ สะบัดแขนเสื้อ อาวุธเวทบินเร่งความเร็วขึ้นทันใด บินไปที่ยอดของเขาโดดเดี่ยว ประมุขเต๋าหัวเหยียนไม่เอ่ยปากสักคำ ตามหลังไปติด ๆ
ทั้งสามคนบินเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว ลอยอยู่เหนือยอดเขา กลับเห็นว่ายอดเขาเต็มไปด้วยหญ้าวิญญาณที่มีดอกไม้ทรงกลมเล็ก ๆ สีชมพูสั่นไหวไม่หยุดนิ่งอยู่ในสายลม กระจายกลิ่นอันชวนมึนเมาออกมา
ฉินซีก้มหน้า เห็นว่าหญ้าวิญญาณข้างใต้กระจายเต็มไปด้วยถั่วขนาดประมาณถั่วเหลือง เรียงกันชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างหนาแน่น ครอบคลุมทั่วทั้งภูเขาจนมองไม่เห็นหินภูเขาเลย
“ถั่วหอมสวรรค์……” กระทั่งถึงตอนนี้ ส่วนลึกในใจเขาจึงได้มีความแตกตื่นอันไม่อาจบรรยายผุดขึ้นมา คล้ายกับว่าในเวลาที่เขาไม่รู้ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแล้ว
ประมุขเต๋าจิ้งเหอและประมุขเต๋าหัวเหยียนเห็นหญ้าหอมสวรรค์เต็มเขานี้ สีหน้าล้วนแปรเปลี่ยนไป แต่พวกเขาล้วนไม่พูดจา เรื่องราวประเภทนี้ก่อนที่จะยืนยันจนแน่ชัดจะพุดออกมาจากปากได้อย่างไร คนสองคน…… หากซงเฟิงซ่างเหรินพาโม่เทียนเกอมาถึงที่นี่จริง ๆ จิตใจเขาก็โหดเหี้ยมอย่างแท้จริง!
ในความเงียบงัน ทั้งสามคนลดระดับลงไปที่ยอดเขา ยอดเขาแบนราบค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นในสายตาของทั้งสามคน
หญ้าหอมสวรรค์ครอบคลุมเต็มภูเขา ในดอกกลมสีชมพูและเถาไม้สีเขียวปรากฏสีน้ำเงินขาว มองดูให้ละเอียดกลับเป็น – เสื้อผ้า!
ฉินซีกลั้นลมหายใจอย่างไม่รู้ตัว ในพริบตานั้นจิตใจถูกความแตกตื่นยึดครอง
ชุดสีน้ำเงิน ชุดชั้นนอกชุดคลุมสีขาว…… นี่เป็นเครื่องแบบศิษย์สตรีโรงเรียนเสวียนชิง ในนั้นยังปะปนไปด้วยชุดกระบี่สีเขียวของบุรุษ เป็นเครื่องแบบของสำนักกู่เจี้ยน!
สุดท้าย เป็นคนสองคนที่ฝังตัวอยู่ในหญ้าหอมสวรรค์
ถึงแม้พวกเขาจะมิได้กอดก่ายกัน ถึงแม้พวกเขาขณะนี้อยู่ห่างกันระยะหนึ่ง แต่ภาพเหตุการณ์อันเละเทะ เสื้อผ้าอันยุ่งเหยิงบนตัวพวกเขา มันเพียงพอที่จะอธิบายแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น!
มีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่ฉินซีรู้สึกว่าในสมองของตนเองไม่มีอะไรทั้งนั้น เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นภาพเหตุการณ์อย่างนี้ เกิดอะไรขึ้น เพราะอะไรถึงเป็นอย่างนี้?! เขาอยากจะสงบจิตสงบใจลงสักหน่อย แต่ทำอย่างไรก็สงบไม่ลงเลย
ทันทีที่ฝ่าเท้าสัมผัสถูกพื้นดิน เขาก็วิ่งเซ ๆ ไปข้างหน้า
“ซีเอ๋อร์!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอร้องเรียกจากข้างหลัง ไม่ได้เรียกให้เขาหยุด
ในที่สุดเขาวิ่งมาถึงเบื้องหน้านาง
ภายใต้การปกคลุมด้วยดอกกลมสีชมพูของหญ้าหอมสวรรค์เป็นใบหน้าที่เขาเคยหมายปองทั้งวันทั้งคืนอันแสนคุ้นเคย ขณะนี้ดวงตาปิดสนิท สิ้นสติสมประดี
เขาอ้าปากขึ้นมาแต่กลับร้องเรียกไม่ออก จู่ ๆ เขาก็เริ่มเกลียดตัวเอง เพราะอะไร เพราะอะไรเวลานั้นถึงไม่จับจ้องนางอย่างแน่นหนา ทำให้นางเดินหลง ทำให้นางประสบกับเรื่องราวที่น่ากลัวเยี่ยงนี้ หากเขาสามารถระมัดระวังขึ้นสักหน่อย หากพวกเขาสามารถหากันพบเร็วขึ้นหน่อย……. ทว่าตอนนี้สิ่งที่เขาสามารถกระทำมีเพียงการยื่นมืออันสั่นเทาออกไปอุ้มนางขึ้นมา กอดไว้แนบอกแน่น ๆ แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ไม่สามารถลบล้างเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วเหล่านั้นได้!
“ซีเอ๋อร์!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอไล่ตามมา เห็นฉากนี้ก็ถอนหายใจ “เจ้าสงบสติลงหน่อย!”
ฉินซีไม่ได้ตอบคำ คล้ายกับว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
ประมุขเต๋าหัวเหยียนเดินมาใกล้ กวาดสายตาไปรอบบริเวณหนึ่งที สายตาจับอยู่ที่ร่างคนอีกคนที่นอนแน่นิ่ง ร้องหึเสียงเย็น “สำนักกู่เจี้ยน! นี่เป็นผู้ใด กำลังขวัญใหญ่โตนัก!”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอเดิมก็ไม่ใช่คนธรรมะธัมโมอยู่แล้ว เห็นฉากนี้ก็ไฟแค้นแผดเผาแต่แรก เพียงเพราะว่าฉินซีปฏิกิริยาไม่ถูกต้องจึงยับยั้งชั่งใจอย่างยากลำบาก ขณะนี้ได้ยินคำพูดของประมุขเต๋าหัวเหยียน สะบัดแขนเสื้อ พลังวิญญาณสายหนึ่งตีออกไปใส่ร่างของจิ่งสิงจื่ออย่างหนักหน่วง จิ่งสิงจื่อที่หมดสติอยู่ร้องอึกอัก กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ สิ้นสติลงไปอีกครั้ง
“ซีเอ๋อร์” ประมุขเต๋าจิ้งเหอหันศีรษะมาร้องเรียก
ฉินซีไม่ขยับ เพียงกอดโม่เทียนเกอไม่ไหวติง
“ซีเอ๋อร์!” เห็นท่าทางนี้ของเขา ประมุขเต๋าจิ้งเหอขมวดคิ้ว เดินไปข้างหน้า สัมผัสไหล่ของเขา “ตั้งสติหน่อย!”
“……” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน สายตาของฉินซีขยับเขยื้อนในที่สุด การขยับนี้ เขาจึงค้นพบว่าในดวงตาของตนเองถึงกับมีน้ำตา
เขาเอื้อมมือขึ้นไปปาดทิ้ง สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามระงับอารมณ์สุดความสามารถ “ซือฟุ ข้าไม่เป็นไร” แค่เพราะเกิดเรื่องอย่างนี้ เขาไม่สามารถเป็นไรไปได้
เห็นเขาตั้งสติได้ ประมุขเต๋าจิ้งเหอถอนหายใจโล่งอก เอ่ยปลอบประโลมว่า “เจ้าเข้าใจก็ดี เจ้าวางใจ เทียนเกอตัวคนไม่ได้เป็นอะไร น่าจะแค่เป็นสาเหตุของตัวยา ผ่านไปครู่หนึ่งก็จะฟื้น”
“อืม” ฉินซีก้มหน้าตอบรับคำหนึ่ง จัดเสื้อผ้าบนตัวของโม่เทียนเกอให้เรียบร้อยอย่างระมัดระวัง ในกระบวนการนี้ เขาไม่ได้มองไปที่จิ่งสิงจื่อซึ่งอยู่ข้าง ๆ เลยสักแวบตั้งแต่ต้นจนจบ
ประมุขเต๋าจิ้งเหอนิ่งไป ถามอย่างหยั่งเชิงอยู่บ้างว่า “เจ้าวางแผนจะทำอย่างไร ถ้าหากอยากจะฆ่าเด็กนี่ ซือฟุก็จะลงมือ”
ในแววตาฉินซีมีรังสีสังหารวูบผ่าน สุดท้ายยังกดเอาไว้ “ไม่ต้องขอรับ ข้ายังมีเรื่องที่จะถามเขา หากจะฆ่าเขา ข้าจะลงมือเอง!”
“……ตกลง” ประมุขเต๋าจิ้งเหอเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาวนอยู่บนร่างโม่เทียนเกอ ในแววตามีประกายแสงซึ่งมีความหมายอื่นวูบผ่าน ค่อย ๆ ถามว่า “เกิดเรื่องเช่นนี้…… เจ้าคิดอย่างไร”
ฉินซีนั่งเหม่อไปสักครู่จึงคล้ายกับจะได้ยินว่าประมุขเต๋าจิ้งเหอพูดอะไร เขาโอบกอดโม่เทียนเกอที่สิ้นสติเอาไว้ เอ่ยเสียงค่อย ๆ ว่า “ซือฟุอยากฟังทางด้านไหน”
“……” ประมุขเต๋าจิ้งเหอรู้สึกพูดไม่ออกไปสักพัก ใคร่ครวญดูแล้วเปลี่ยนคำพุดไปว่า “เจ้า – ไม่ใส่ใจหรือ”
ฉินซีกำหมัดแน่นคล้ายกับว่าพยายามระงับตนเองสุดกำลัง แต่ผ่านไปพักหนึ่งยังคงระงับไม่อยู่ ตบฝ่ามือลงกะทันหัน พลังวิญญาณปั่นป่วน หญ้าหอมสวรรค์โดยรอบแหลกละเอียดไปจนหมด!
“ข้า – ข้าจะไม่ใส่ใจได้อย่างไร!” เขาขบฟันพูด สายตาดุดันจ้องไปที่จิ่งสิงจื่อซึ่งอยู่ไม่ไกล “ข้าแค้นที่ไม่อาจฆ่าเขา ตัดศพเขาเป็นหมื่นชิ้น ยิ่งอยากจะป่นกระดูกซงเฟิงซ่างเหรินเป็นผุยผง! แต่ทำอย่างนี้เพียงแค่สามารถทำให้ข้าระบายความโกรธแค้น! เรื่องราวเกิดขึ้นไปแล้ว หากโม่เทียนเกอฟื้นขึ้นมา ผู้ที่ขมขื่นที่สุดจะต้องเป็นนาง……”
“พูดเช่นนี้ เจ้าไม่ถือสา?”
คำถามนี้ ฉินซีไม่มีคำตอบ เขาหลับตาลง สั่นศีรษะ “ซือฟุ ท่านอย่าได้ถามข้า ตอนนี้ในใจข้าปั่นป่วนมาก……”
……………………………….