ตอนที่ 52 มุงหลังคาบ้านใหม่แสนคึกคัก

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 52 มุงหลังคาบ้านใหม่แสนคึกคัก

แถมบนโต๊ะอาหาร หญิงสาวที่ตบหน้าเขายังคงพูดเจื้อยจ้าวไม่หยุดหย่อน ให้ตายสิ เขาเขินอายจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

นอกจากนี้นางยังเรียกแทนตัวเขาว่าเซียนเซิงอีก! เขาคงจะดูเหมาะกับคำนี้อย่างนั้นสินะ นางไม่คิดที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นคำอื่นที่ดีกว่านี้แล้วหรือ ทุกครั้งที่เขาได้ยินนางเรียก ‘เซียนเซิง’ ในหัวเขาแทบอยากจะกระโจนเข้าไปทุบกำแพงให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

บ้าชะมัด เหตุใดในตอนนั้นนางเอาแต่เรียกเขาว่า ‘เซียนเซิง’ อยู่ได้ ต้องเรียกว่า ‘สามี’ สิถึงจะค่อยน่าฟังหน่อย

ทันใดนั้นนกอินทรีตัวหนึ่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ปีกยาวทั้งสองข้างที่กางออกถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวบางที่เกาะนิ่งราวกับกลายเป็นแผ่นน้ำแข็ง มันกำลังโบยบินท่ามกลางอากาศที่เย็นยะเยือก

สีหน้าของหนิงเซ่าชิงเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาหรี่ลง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด

ดวงตามองสอดส่ายไปโดยรอบ ครั้นพบว่าไม่มีใครอยู่ เขาจึงกางแขนออกพร้อมกับเหินออกจากหมู่บ้านมุ่งตรงไปยังภูเขาที่อยู่ด้านหลังทันที

ในเวลานี้หิมะเบาบางมาก ไม่มีลวดลายบนเกล็ดหิมะและหากทิ้งไว้ ไม่นานก็หายวับไปราวกับถูกลมพัดปลิว เห็นทีต้องเรียกว่าเม็ดหิมะเล็กถึงจะดูเหมาะสมกว่า ทั้งนี้บริเวณรอบข้างเงียบสงัด มีเพียงเขาที่กำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางขุนเขาและป่าไม้เท่านั้น

หนิงเซ่าชิงยืนอยู่กลางป่าพร้อมด้วยนกอินทรีที่พาดพิงอยู่บนไหล่ของเขาซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่อยู่บนท้องฟ้าเมื่อครู่ มีสองเงาที่แกะรอยตามนกอินทรีตัวนั้นมา

“บ่าวมาช่วยไม่ทันการณ์ เจ้านายโปรดลงโทษ”

…….

จวนถึงเวลาส่งของ ไม่นานรถม้าของไป๋อวิ๋นจวีก็เคลื่อนมาถึงที่หน้าประตูบ้านหนิงเหนียงจื่อ ตลอดเส้นทางสายตาของชาวบ้านดูจะให้ความสนใจการมาเยือนพวกเขามาก

คนคุ้มกันรถยังคงเป็นเสี่ยวฉีจื่อ ทว่าสารถีกลับไม่ใช่อาจ้าวดังเดิมแต่กลายเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งแทน

เสี่ยวฉีจื่อบอกว่าชายผู้นี้มีนามว่าเหล่าอู่ นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเถ้าแก่ได้มอบหมายให้เขาและเหล่าอู่เป็นผู้มารับเต้าหู้ของหนิงเหนียงจื่อ

มั่วเชียนเสวี่ยแม้นจะสงสัย แต่รู้สึกโล่งอกมากกว่า เมื่อเห็นว่าคุณชายเจ็ดเป็นคนตรงๆ เช่นนี้

นอกจากนี้เถ้าแก่หลี่ยังขอให้เสี่ยวฉีจื่มาบอกกับนางด้วยว่า ตอนนี้เส้นทางการค้าทางน้ำได้เปิดทำการแล้ว ทั้งในยามนี้อากาศก็เริ่มเย็นลง ฉะนั้นระยะเวลาในการเก็บรักษาเต้าหู้จึงไม่เป็นปัญหาอีกต่อไปและเขาก็หวังว่าหนิงเหนียงจื่อจะสามารถทำเต้าหู้มาให้เขาได้อย่างน้อยห้าร้อยจินต่อวันหรือมากเท่าที่จะมีกำลังทำได้

ไป๋อวิ๋นจวีของพวกเขาต้องการขนส่งเต้าหู้ไปยังเมืองอื่นหรือแม้กระทั่งไปขายที่ภัตตาคารในเมืองหลวงด้วย

ไร้เงาของคุณชายเจ็ดระหว่างคำพูดของเสี่ยวฉีจื่อ ทุกประโยคที่เอ่ยล้วนเน้นย้ำว่าเป็นคำอธิบายของเถ้าแก่หลี่เท่านั้น ซึ่งแตกต่างกับอาจ้าวโดยสิ้นเชิง ยามที่พูดคุยกันเขามักจะพูดถึงคุณชายเจ็ดอย่างนั้นคุณชายเจ็ดอย่างนี้เสมอ

มั่วเชียนเสวี่ยนึกไม่ถึงเลยว่าเพียงกิจการเต้าหู้เล็กๆ ที่ดูไม่ได้วิเศษวิโสอะไร วันหนึ่งมันกลับเติบโตมีอิทธิพลและเข้าถึงแวดวงสังคมได้มากขนาดนี้

นางตั้งสมาธิและมองดูหิมะที่โปรยปรายอยู่ในลานบ้าน ใช่ ฤดูหนาวมาถึงแล้วและหิมะก็เริ่มตกหนัก หลังจากแช่แข็งเต้าหู้เสร็จ สินค้าตัวต่อไปคงจะถึงคราวของเต้าหู้พันชั้น[1]ที่มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์

ความจริงแล้วคุณชายเจ็ดตระกูลผู้นี้เป็นคนจิตใจดี ตั้งแต่ครั้งแรกที่นางส่งมอบเต้าหู้ เมื่อเขารู้ว่านางไม่ต้องการขายสูตรเต้าหู้ เขาก็ไม่เคยมาถามหามันอีกเลย

อย่างไรก็ตาม แม้ไป๋อวิ๋นจวีต้องการซื้อเพิ่ม นางก็คงไม่สามารถเพิ่มจำนวนให้ได้มากไปกว่านี้

ในตอนนี้บริเวณพื้นที่ห้องครัวเล็กๆ มีขีดจำกัดสูงสุดในการผลิตอยู่ราวๆ สามแสนชิ้นต่อวันและเนื่องจากการทำกิจการส่งผลกระทบต่อช่วงชีวิตประจำวันของมั่วเชียนเสวี่ยเป็นอย่างมาก เหตุผลหลักเลยคือนางต้องการทำอะไรบางอย่างให้แก่หนิงเซ่าชิงบ้าง หากจิตใจมัวแต่จดจ่ออยู่ที่การทำเต้าหู้มากไป เห็นทีจะไม่ค่อยดีนัก

แต่หากต้องการขยายการผลิต นางก็จะต้องมีการเตรียมการด้วยกันสองประการก่อน ประการแรกคือปรับปรุงและขยายพื้นที่บริเวณห้องครัวพร้อมกับสร้างโรงงานเพื่อผลิตเต้าหู้โดยเฉพาะ ประการที่สอง ต่อจากนี้ไปทุกพื้นที่โดยรอบจะมีคนคอยเก็บถั่วไว้ให้นางผู้เดียวเท่านั้น

ซึ่งเรื่องนี้มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้ตัดสินใจเลือกคนเก็บถั่วไว้แล้ว เขาผู้นั้นก็คือครอบครัวของหลิวเหล่าซวน ทั้งเกวียนวัวและอาซ้อหลิวก็อยู่ที่นั่นด้วย เมื่อวานนี้ในระหว่างเดินทางกลับหมู่บ้านนางได้พูดคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ทันไรหลิวเหล่าซวนก็ตอบตกลงอย่างดีอกดีใจ

จากที่ตกลงกันไว้ว่าเริ่มทำงานในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวของฤดูใบไม้ผลิหน้า แต่หากเริ่มล่วงหน้าก่อนสองสามเดือนก็คงไม่เสียหายอะไร

แต่ในส่วนของการสร้างโรงงานนั้น…

รถม้าของไป๋อวิ๋นจวีเคลื่อนออกไปแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยที่ยังคงยืนอยู่นอกลานบ้าน หลังจากที่ได้คิดไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในหัวก็เกิดภาพมโนทัศน์บางอย่างขึ้นมา

คิดได้ดังนั้น นางจึงเข้าไปข้างในบ้านก่อนที่จะออกมาใหม่ งานภายในบ้านเสร็จสิ้นดีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคงจะมีแรงเพียงพอที่จะออกไปขลุกอยู่กับแผนกิจการต่อไปที่ท่าเรือ

เมื่อหนิงเซ่าชิงกลับมากินอาหารกลางวัน ในตอนนั้นสีหน้าของเขาไม่มืดมัวเหมือนในตอนเช้าอีกแล้ว แต่ใบหน้าเข้มยังคงแสดงความเคร่งขรึมเล็กน้อยออกมาราวกับว่ามีเรื่องอื่นที่อยู่ในใจ ครั้นนางเอ่ยถาม คำตอบที่ได้กลับก็ไม่ใช่ ‘อืม’ ดังเดิม แต่กลับกลายเป็นเสียงกระซิบกระซาบจนแทบฟังไม่ออกว่ากำลังพูดอะไร

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หนิงเซ่าชิงจึงเอ่ยถามขึ้น “เจ้าชอบหมู่บ้านแห่งนี้จริงๆ และยินดีที่จะอยู่ที่นี่ตลอดไปจริงหรือ”

การย้ายคนและสร้างบ้านนับเป็นเรื่องใหญ่และควรจะระมัดระวังให้ดี ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางก็แอบมีความคิดเหล่านั้นอยู่บ้าง

แต่ถึงกระนั้นในชีวิตนี้ ที่นี่เป็นที่ที่นางรู้จักดีที่สุด ตราบใดที่มีหนิงเซ่าชิงอยู่แน่นอนว่าที่นี่คือบ้านของนาง

อะไรที่ชอบก็ตอบว่าชอบ ส่วนอะไรก็ไม่ชอบก็ตอบว่าไม่ชอบ ทั้งนี้มั่วเชียนเสวี่ยนับว่าได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองในยุคสมัยใหม่มามากแล้ว แผ่นดินแห่งนี้จะมีทุกสิ่งที่เจริญรุ่งเรืองไปกว่าเมืองสมัยใหม่ได้หรือ ทั้งแสงสีจะสู้ยุคใหม่ได้หรือจะมีสี่นโยบายด้วยหรืออย่างไร

มั่วเชียนเสวี่ยตอบกลับอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าข้าชอบที่นี่ แม้ว่าที่นี่จะยากจน และแม้ว่าคนบางคนจะมีจิตใจที่เลวร้ายเกินจะเยียว แต่ส่วนใหญ่ทุกคนล้วนแล้วแสนดีเสียจนน่าใจหาย อย่างเช่น อาซ้อฟาง พี่หลิวเหล่าซวนและครอบครัวของหวังซาน แม้ว่าจะไม่มีความมั่งคั่งมากมาย กลับกันสถานที่แห่งนี้สามารถให้ความรู้สึกสงบและความปลอดภัยแก่ข้าได้ นอกจากนี้ยังมีสวนผักเล็กๆ ที่ข้าเป็นคนลงมือทำเองและท้ายที่สุดก็มีท่านที่กลับมาหาข้าทุกวัน…”

หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยราวกับล่องลอย ในขณะเดียวหนิงเซ่าชิงกลับตะลึงงันชั่วครู่แล้วจึงยิ้มออกมา

เขายิ้มพร้อมกับขมวดคิ้ว ดวงตาทอประกายและใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ทำให้ในห้องที่เสื่อมโทรมแห่งนี้กลับมามีความหวังและเปล่งประกายอีกครั้ง

ความเศร้าโศกในยามเช้าได้พัดผ่านไป สตรีผู้นี้ไม่ปรารถนาในความร่ำรวยหรือสิ่งฟุ้งเฟ้อ นางคอยรักและเป็นห่วงเขาอย่างจริงใจเสมอ ด้วยเหตุนี้ยังจะมีสิ่งใดที่เขาต้องการอีก

กลับ? กลับไปที่ไหนกัน

นางอยู่ที่ใด บ้านของเขาก็อยู่ที่นั่นเช่นเดียวกัน!

“เห็นทีจวนถึงเวลาแล้วที่ลานแห่งนี้จะได้รับการซ่อมแซมสักที! เชียนเสวี่ย บอกข้าเถิดว่าเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร ข้าจะวาดแผนผังและเมื่อหลังเลิกเรียนในตอนบ่าย ข้าก็จะไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน จนถึงตอนนั้นโรงงานของเจ้าก็คงจะยิ่งใหญ่และแน่นอนว่าจะต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นด้วย หัวหน้าหมู่บ้านก็คงจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง”

“ข้าจะเป็นคนคอยฝนหมึกให้ท่านเอง”

……

ท่ามกลางกระท่อมหลังเล็กในหมู่บ้านชนบท ช่างเป็นภาพที่น่ารื่นรมย์และกลมกลืนเป็นที่สุด ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่แข็งแรง พร้อมด้วยหญิงสาวตัวเล็กน่ารัก แม้ว่าทั้งสองจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดาๆ แต่พวกเขาก็ยิ้มและแสดงความรักที่มีต่อกันได้อย่างหวานชื่น

“ตรงนี้จะสร้างห้องเก็บน้ำและห้องครัวควรจะอยู่ด้านนั้น”

“ส่วนตรงนี้ต้องวางตู้เสื้อผ้าและชุดโต๊ะเก้าอี้รับรองต้องเอาไปไว้ที่นั่น”

มั่วเชียนเสวี่ยพูดเจื้อยแจ้วในขณะที่ใบหน้าของหนิงเซ่าชิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

แน่นอนว่าสิ่งที่หนิงเซ่าชิงได้เสนอนั้นคือการสร้างโรงงาน ซึ่งหัวหน้าหมู่บ้านไม่เพียงแต่ขอความร่วมมือจากชาวบ้านเพื่อช่วยเหลือเขาเท่านั้น แต่ยังลงมือวางรากฐานไว้ที่ข้างลานบ้านให้แก่เขาด้วย

ทันใดนั้นบรรยากาศหมู่บ้านหวังจยาก็พลันคึกคักขึ้นมา!

หนิงเหนียงจื่อต้องการขยายโรงงานและรับสมัครคนเพิ่ม…

ได้ยินมาว่าหนิงเหนียงจื่อซื้อที่ดินที่ท่าเรือด้วย…

ไม่ว่าคนที่อิจฉา คนที่ประจบประแจง และคนที่เต็มใจมาช่วยจริงๆ ล้วนมาเบียดเสียดกันอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฟางต้าถังเชี่ยวชาญเรื่องงานไม้ หลิวเหล่าซวนที่ถนัดก่อฉาบดินโคลน อีกทั้งสองพี่น้องตระกูลหวังที่ไม่เพียงแต่จะคอยช่วยทำนุบำรุงหอบรรพชนและออกไปทำงานเสริมตลอดทั้งปีแล้ว พวกเขายังเก่งเรื่องการก่อสร้างอีกด้วย

[1] เต้าหู้พันชั้น หรือที่คุ้นเคยกันดีในชื่อเต้าหู้ชิบะ