บทที่ 35 เขา….. กำลังรอคอยคนผู้หนึ่ง

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 35 เขา….. กำลังรอคอยคนผู้หนึ่ง

หากพวกตาแก่หัวโบราณที่บ้านรู้เข้า คงจะพากันหน้ามืดตาลายรับไม่ได้ ต้องพากันเรียงแถวกลับบ้านเก่ากันไปหมดแหง ๆ

กระทั่งไป๋จือเยี่ยนเองยังรู้สึกอยากกระอักเลือดให้ตายกันไปข้าง

ชิงอวี่เห็นสีหน้าทรมานใจของเขาแล้วก็นึกอยากหัวเราะ “เจ้าเองก็มีฝีมือสูงส่งมาก วิชาแพทย์นั้นกว้างขวางมีหลายแขนง วิธีบำเพ็ญเพียรของข้ากับเจ้าก็แตกต่างกัน หากเจ้าต้องการ พวกเราอาจหาเวลาแลกเปลี่ยนวิชาความรู้กันได้”

“ได้หรือ?” ไป๋จือเยี่ยนมองนางอย่างหวาดระแวง

นักปรุงยาทั้งหลายต่างก็มีวิธีการบำเพ็ญเพียรเฉพาะตัวเป็นของตน พวกเขามักไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นรู้ หากแต่ตอนนี้นางกลับเสนอให้แลกเปลี่ยนความรู้กันงั้นหรือ?

“ได้แน่นอน แพทย์เรียนรู้วิชาเพื่อช่วยเหลือผู้คนจากความตาย บรรเทาความเจ็บปวดผู้คนในใต้หล้า แต่จิตใจจะมีเมตตาเกินไปย่อมไม่ควร เช่นนั้นแล้วนับเป็นคนขลาดเขลา ตั้งแต่โบราณมา การแพทย์และการใช้พิษไม่อาจแยกออกจากกันได้ ความรู้เรื่องยาพิษสำคัญพอกับความรู้เรื่องการรักษาคน ทั้งยังสามารถใช้ปกป้องตนเองยามยากได้”

ไป๋จือเยี่ยยักไหล่ตนอย่างสิ้นหวัง “เจ้าคงไม่รู้ว่าศิษย์สำนักเซียนแพทย์ถูกสั่งห้ามไม่ให้บำเพ็ญวิชาพิษ มีแต่นักปรุงยาชั่วร้ายเท่านั้นที่จะฝึกวิชาพิษเช่นนั้น ทว่าตั้งแต่ที่สำนักถูกพวกหมอผีลอบโจมตี ศิษย์หลายคนต้องบาดเจ็บล้มตาย ท่านเจ้าสำนักจึงยกเลิกกฎห้ามศึกษาวิชาพิษไป หากแต่พวกข้ายังไม่เข้าใจวิชาเหล่านั้นอย่างถ่องแท้ ดังนั้นศิษย์สำนักข้าจึงยังอ่อนหัดด้านวิชาพิษนัก”

ชิงอวี่รับฟังเขาด้วยความตั้งใจ หลังเขาพูดจบนางก็พยักหน้าเข้าใจ “ไม่แปลกที่เจ้าไม่รู้ว่านายท่านของเจ้าถูกสาป ไม่ได้ถูกยาพิษ”

ไป๋จือเยี่ยนยิ่งเสียใจหนักกว่าเดิม

“แต่ก็โทษเจ้าไม่ได้ อาการเช่นนั้นไม่มีให้เห็นบ่อยนัก” ชิงอวี่เห็นว่าเขาดูหดหู่มากเช่นไร ดังนั้นจึงรีบพูดปลอบ “เจ้าทำได้ดีมากแล้ว”

โหลวจวินเหยานั่งอยู่ด้านข้าง มองคนสองคนที่พูดคุยซักถามวิชาแพทย์กันเงียบๆ

สีหน้าเด็กสาวจริงจังยิ่งนัก ยามนางพูดคุยเรื่องวิชาแพทย์ จิตวิญญาณของนางราวกับสามารถพุ่งทะยานได้ นัยน์ตานางเป็นประกายชวนมอง มีเสน่ห์ยิ่งนัก ส่วนไป๋จือเยี่ยนเป็นราวกับลูกศิษย์ผู้ว่าง่าย ตั้งใจฟังที่นางสอนยิ่ง

สายตาของโหลวจวินเหยาพลันอ่อนโยนลงอย่างไม่ทันรู้ตัว

ไม่ว่าจะเป็นบนแดนเมฆาสวรรค์หรือแดนอื่น ๆ ที่เขาเคยเดินทางผ่านในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขารู้สึกอยู่ตลอดว่ามีบางอย่างขาดขาดหายไป

ทว่าเขาขาดสิ่งใดไปกันแน่? กระทั่งตัวเขาเองยังไม่อาจหาคำตอบได้ สัมผัสได้เพียงความรู้สึกว่างเปล่าเท่านั้น

หากแต่เมื่อครู่นี้ ตอนที่เขายืนอยู่ริมหน้าต่าง พูดคุยกับไป๋จือเยี่ยน เงาร่างนั้นก็ปรากฏให้เห็นในสายตา

เป็นตอนนั้นเองที่เขาเข้าใจ

ตั้งแต่ครั้งก่อนที่นางถอนคำสาปเลือดให้ เขารู้สึกราวกับว่าไม่ได้เจอนางมานานแล้ว

ก่อนหน้านั้น นางยังคอยกระโดดข้ามกำแพงมาตรวจดูอาการเขาบ้างเป็นระยะ หากแต่หลังจากถอนคำสาปแล้ว นางก็ไม่ได้มาอีก

อาจเป็นอย่างที่นางเคยบอกเขาไว้ นางทำเช่นนี้เพื่อชดใช้หนี้ที่นางติดค้างเท่านั้น

เดิมทีเมื่อผนึกที่กดพลังเขาไว้ถูกคลายออก ข้อจำกัดของดินแดนระดับล่างทำให้เขารู้สึกรำคาญใจยิ่งนัก เขารู้สึกว่าตนแปลกแยก ดังนั้นจึงทำได้เพียงกดพลังของตนไว้อีกครั้งเท่านั้น

พละกำลังเขาฟื้นคืนมาแล้ว ก็ควรจะกลับไปยังแดนเมฆาสวรรค์ในทันที คนของแคว้นมารกำลังรอการกลับมาของเขาอยู่ แต่เขาก็ยังไม่จากไปไหน

เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกผิดหวัง รู้สึกพ่ายแพ้เช่นนี้ เป็นความรู้สึกของอะไร หากแต่ก็เป็นความรู้สึกที่ทำให้เขาไม่สบายใจยิ่งนัก

กระทั่งเขาได้เห็นนาง เขาถึงเพิ่งเข้าใจบางอย่าง

เช่นนั้น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางสินะ

เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลใด ยามเขาเห็นใบหน้านาง ในใจเขากลับสงบลงได้

ชิงอวี่ไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งอื่นใด เนื่องจากกำลังสนทนาเรื่องการแพทย์ยืดยาวอยู่กับไป๋จือเยี่ยน ในขณะที่มีบุรุษผู้หนึ่งจ้องนางอยู่ตลอด

“ต่อไปข้าเรียกเจ้าว่าแม่นางชิงดีหรือไม่?” ไป๋จือเยี่ยนเริ่มสนิทสนมกับนางมากขึ้น คำพูดคำจาจึงเริ่มลื่นไหล ถามนางขึ้นอย่างติดตลก

ชิงอวี่กลอกตาใส่ “ไม่ต้องเรียกข้าเช่นนั้นเลย เจ้าไม่ใช่สุภาพชนเสียหน่อย ปีศาจยั่วเสน่ห์อย่างเจ้า เรียกคุณชายท่านนั้น แม่นางท่านนี้ ไม่ดูประหลาดหรือ?”

ถูกนางกล่าวหาว่าเป็นปีศาจยั่วเสน่ห์เช่นนี้ ไป๋จือเยี่ยนรู้สึกอับอายแปลก ๆ

“พวกเราเป็นสหายกัน เรียกข้าว่าชิงอวี่ก็พอ”

ไป๋จือเยี่ยนชอบนิสัยใจกว้างและตรงไปตรงมาของนาง เอ่ยตอบพร้อมเสียงหัวเราะ “เช่นนั้นข้าเรียกเจ้าว่าชิงอวี่”

“อืม” ชิงอวี่ยกยิ้มมุมปาก ส่งรอยยิ้มไปถึงดวงตา ทว่าจู่ ๆ นางก็ทำหน้าราวกับนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ นางหยิบกล่องเล็กกล่องหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ “นี่คือของขวัญให้พวกเจ้า เม็ดสีเขียวเป็นยาต้านพิษ หลังกินแล้วพิษนับร้อยจะไม่มากล้ำกรายนานหกชั่วโมง เม็ดสีแดงเป็นยาถอนพิษ สามารถถอนพิษส่วนมากได้ ด้านล่างมีช่องลับใส่ลูกบอลพิษ หากทำให้ระเบิดจะสามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในระยะร้อยลี้ ใช้เจ้านี่อย่างระมัดระวังเล่า!”

นางอธิบายยาวเหยียด หยุดพักเพียงเล็กน้อย ส่งผลให้ไป๋จือเยี่ยนชะงักไป “เจ้าหมายความว่า…..”

“พวกเจ้าสองคนจะไปจากที่นี่ในเร็ววันนี้ไม่ใช่หรือ? เก็บไว้รักษาชีวิตตนเองเถอะ อย่างไรก็ต้องมีโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากมันแน่” ชิงอวี่เอ่ยยิ้ม ๆ “หากเจอศัตรูเข้าอย่าได้เสียเวลา โยนลูกบอลพิษใส่พวกมันเสีย ข้ารับรองว่าพวกมันได้ตายอย่างน่าเวทนาแน่ ทั้งศพก็น่าจะไม่สวยเท่าไหร่”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเรากำลังจะไป?” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ถามขึ้นในครานี้เป็นของโหลวจวินเหยา

ชิงอวี่มองเขาพร้อมยิ้มตอบ “ตอนที่เข้ามาที่นี่ ข้ารู้สึกได้ว่าคนน้อยลงมาก”

“เจ้ามีสัมผัสเฉียบแหลมนัก” ไป๋จือเยี่ยนพยักหน้าชื่นชม “แต่ว่า….. เหตุใดเจ้าจึงช่วยเหลือพวกเรามากมายเช่นนี้?”

เพื่อแก่นเพลิงเยือกแข็งเพียงกอหนึ่ง นางไม่เพียงช่วยรักษาอาการที่ทรมานนายท่านมายาวนานหลายปี ทั้งยังได้รับบาดเจ็บหนักระหว่างการถอนคำสาป

ตอนนี้ยังมอบยาลูกกลอนและยาสมุนไพรล้ำค่าเช่นนี้ให้พวกเขาอีก

น้ำใจมากมายเช่นนี้ ช่างเข้าใจได้ยากแท้

ชิงอวี่เห็นใบหน้าเคร่งเครียดเช่นนั้นแล้วก็พูดไม่ออกเล็กน้อย หากแต่ก็ยังเอ่ยปากขึ้น “เหตุใดต้องทำหน้าตาเช่นนั้นด้วย? มีคำกล่าวที่ว่าส่งพระให้ถึงแดนตะวันตก ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุด หากกลับไปพวกเจ้าเกิดถูกศัตรูวางยาพิษ หรือถูกลอบสังหารเข้า ตัวข้าที่พยายามรักษาชีวิตพวกเจ้าอย่างแสนสาหัส กระทั่งเกือบทิ้งชีวิตตนเองไปเสียครึ่งหนึ่ง ไม่กลายเป็นความพยายามที่เสียเปล่าหรอกหรือ?” (1)

นั่นคือเหตุผลทั้งหมดงั้นหรือ…..

ไป๋จือเยี่ยนไม่รู้ว่าตนควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ เหตุผลของนางหาข้อหักล้างไม่ได้จริง ๆ!

ทั้งยังเป็นเหตุผลที่ฟังแล้วอบอุ่นในหัวใจ

ไป๋จือเยี่ยนนึกย้อนไปตอนที่เด็กสาวบุกเข้ามายังทะเลสาบเพลิงน้ำแข็งแล้วชิงแก่นเพลิงเยือกแข็งไป นางประกาศว่านางจะชดใช้หนี้บุญคุณนี้กลับคืนให้หลายเท่า

ตอนนี้นางได้ชดใช้หนี้ในครั้งนั้นคืนเป็นหลายเท่าดังที่นางเคยกล่าว!

หลังจากชิงอวี่อธิบายวิธีการใช้ยาทั้งหมดแล้ว นางก็ไม่รั้งรอ ลุกขึ้นยืนก่อนขอตัวกลับไปในที่สุด

ร่างเล็กค่อย ๆ เดินลงบันไดจากไป ดูท่าจะเป็นครั้งแรกที่นางเดินออกจากหอเมฆาเคลื่อนโดยผ่านประตูหน้า

โหลวจวินเหยามองตามจนนางเดินพ้นสายตาไป

“จวินเหยา?” ไป๋จือเยี่ยนมองเขาด้วยความสับสน ในใจมีความรู้สึกประหลาดบังเกิด หากแต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นความรู้สึกอะไรกันแน่

โหลวจวินเหยาเก็บสายตาตนกลับมา “เตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้เราจะกลับแคว้นมาร”

เมื่อสิ้นประโยคนั้นแล้ว นัยน์ตาของไป๋จือเยี่ยนก็เบิกกว้าง “เป็นอะไรของเจ้าเนี่ย? ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับเจ้าอยู่หลายครั้งหลายครา เกลี้ยกล่อมทุกวิถีทาง แต่เจ้าก็ไม่ยอมให้คำตอบ อย่างไรก็ยังไม่ยอมกลับ หากแต่วันนี้เจ้า….. จู่ ๆ กลับเปลี่ยนใจงั้นหรือ?”

อีกฝ่ายส่งสายตาล้ำลึกอ่านไม่ออกมาให้เขา ก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับห้องตนเอง

ไป๋จือเยี่ยนยืนมองเขาเดินจากไป นัยน์ตามีหลากอารมณ์ผันเปลี่ยน ทันใดนั้นความคิดน่ากลัวหนึ่งก็พลันผุดขึ้นในหัว

ก่อนหน้านี้โหลวจวินเหยายืนอยู่ริมหน้าต่าง จากนั้นนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เดินลงไปยังถนน

ตอนไป๋จือเยี่ยนกำลังยืนดูสองคนนั้นอยู่ที่ริมหน้าต่าง ก็ถูกโหลวจวินเหยาตวัดสายตาน่ากลัวเข้าใส่

พอเห็นว่าแม่นางน้อยกำลังถูกสารภาพรัก สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าน่ากลัว

แล้วหลังจากนั้นสองคนนั้นคุยเรื่องอะไรกัน?

เรื่องที่ว่าใครเป็นคนเปลี่ยนชุดให้นาง…..!?

สวรรค์โปรด! อารมณ์ของไป๋จือเยี่ยนในตอนนี้เกินกว่าจะสามารถใช้คำว่าซับซ้อนซ่อนเงื่อนจะอธิบายได้ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นระหว่างสองคนนั้นที่เขาไม่รู้กัน!?

——————————

“หนิงเอ๋อร์ ข้ามาแล้ว!” น้ำเสียงร่าเริงดังมาจากที่ไกล

เยี่ยนหนิงลั่วกำลังเปลี่ยนชุด นางผูกผ้าพันให้แน่นขึ้นอีกนิดก่อนจะเกิดไปเปิดประตู “เจ้ามาที่นี่ทำไม?”

อวี้เซียวหนิงเดินเข้าไปด้านในพร้อมรอยยิ้ม ยื่นหน้าเข้ามาใกล้นางก่อนจะพูดเสียงเบา “เมื่อสองสามวันก่อนพระชายามาหาข้า บอกว่าช่วงนี้เจ้าอารมณ์ไม่ดีนัก จึงบอกข้าให้พาเจ้าออกไปผ่อนคลายเสียหน่อย!”

“ฮึ่ม! ท่านแม่ยุ่งวุ่นวายไม่เข้าเรื่องจริงๆ” เยี่ยนหนิงลั่วทำสีหน้าไม่พอใจยามเอ่ยถึงพระชายา “ข้าไม่เข้าใจว่าท่านแม่ถูกปีศาจตนใดเข้าสิง เกลี้ยกล่อมให้ข้าไปเอาอกเอาใจซวนหยวนเช่อ! น่าขันสิ้นดี!”

อวี้เซียวหนิกะพริบตาปริบ ๆ “แต่สิ่งที่พระชายาพูดก็ไม่ผิดเสียทีเดียวนะ? เจ้ากับท่านพี่องค์รัชทายาทอย่างไรก็เป็นคู่หมั้นกัน อีกไม่กี่วันคนจากแคว้นหลินยวนก็จะมาถึงแล้ว หากคนจากแคว้นอื่นเห็นว่าองค์รัชทายาทกับคู่หมั้นมีความสัมพันธ์เลวร้ายเช่นนี้ แคว้นชิงหลานคงกลายเป็นตัวตลก”

ได้ยินดังนั้น เยี่ยนหนิงลั่วก็ขมวดคิ้ว นางไม่เคย….. ครุ่นคิดถึงจุดนี้มาก่อน

“เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหน้าตาของแคว้นชิงหลานเชียวนะ หนิงเอ๋อร์ เจ้าทนเจ็บปวดใจสักเล็กน้อย สานสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับเขาให้ดีขึ้นสักนิดได้หรือไม่?”

เยี่ยนหนิงลั่วได้ยินดังนั้นอารมณ์โกรธก็พลันจางลง อวี้เซียวหนิงมีเหตุผล เรื่องเหล่านี้เกี่ยวพันถึงหน้าตาของแคว้นต่อสายตาคนภายนอก อย่างไรนางก็ต้องไว้หน้าองค์รัชทายาทซวนหยวนเช่อบ้าง

“เจ้านี่เกลี้ยกล่อมคนได้คล่องนัก ท่านแม่คงคิดจนหมดหนทาง ถึงได้ให้เจ้ามาช่วยพูดให้เช่นนี้” เยี่ยนหนิงลั่วขึงตามองสหายสาวของนาง หากแต่สุดท้ายก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

อวี้เซียวหนิงแลบลิ้นทำหน้าตาชั่วร้าย “ไอ้หยา ข้ารู้อยู่แล้วว่าโฉมงามอันดับหนึ่งของแคว้นเราเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดเข้าใจสถานการณ์ดียิ่ง”

“ไปเถอะ!” เยี่ยนหนิงลั่วกล่าว

อวี้เซียวหนิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มออกมา “อือ ไปกัน ไปกัน! รถม้าจอดรออยู่ด้านนอกแล้ว!”

คนทั้งคู่เดินจูงมือกันออกมา พวกนางตัวสูงพอ ๆ กัน มีรูปร่างผอมบางสง่างาม คนหนึ่งเป็นโฉมสะคราญมีใบหน้างามล่มเมือง อีกคนมีสติปัญญาเฉียบแหลม หน้าตาน่ารักนัก

สตรีผู้เป็นดั่งหน้าตาของเมืองหลวงไม่ค่อยปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันบ่อยนัก เหตุเพราะคนหนึ่งศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่สำนักละอองหมอก ส่วนอีกคนก็ยุ่งวุ่นวายกับกิจเล็กใหญ่การนับไม่ถ้วน มีเพียงปีนี้ที่พวกนางพอจะหาโอกาสออกมาพบปะกันได้

“หึ ๆ พวกข้านั่งรอตื่นเต้นอยู่เป็นนาน มีแต่หนิงหนิงของเราที่มีความสามารถมากพอ เกลี้ยกล่อมให้โฉมงามอันดับหนึ่งของแคว้นยอมออกมาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ!”

สิ้นน้ำเสียงเจือแววขำขันของบุรุษผู้หนึ่ง ร่างสูงก็กระโดดลงมาจากรถม้าในทันใด

“อวี้จิงจั๋ว?” เยี่ยนหนิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

เมื่อพูดจบ นางก็พลันลากสายตาไปมองในรถม้า ไม่ต้องรอให้ใครเอ่ยคำใด สัญชาตญาณความเป็นปฏิปักษ์ต่อใครบางคนของนางบอกว่าในรถม้ายังมีคนอยู่อีกคน

“อวี้เซียวหนิง” นัยน์ตางามของเยี่ยนหนิงลั่วหรี่ลง น้ำเสียงฟังดูน่ากลัวยิ่ง

อวี้เซียวหนิงขนลุกเกรียว ได้แต่ฉีกยิ้มหวานเห็นฟันขาว “หนิงเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าตอบตกลงแล้วไม่ใช่หรือว่าเจ้าจะสานสัมพันธ์ระหว่างกันให้ดีขึ้น? หน้าตาของแคว้นเรากำลังตกอยู่ในอันตรายนะ”

เยี่ยนหนิงลั่วไม่เอ่ยคำใด หากแต่จ้องมองหน้านางด้วยสีหน้าเรียบเฉยต่อไป

อวี้เซียวหนิงกัดฟันแน่น หยิกแขนตนเองจนเจ็บจี๊ด วินาทีต่อว่า นัยน์ตาฉลาดเฉลียวคู่นั้นของนางก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา มือทั้งสองข้างประกบเข้าหากันราวกับกำลังอ้อนวอนขอร้องน่าสงสารนัก “หนิงเอ๋อร์คนดี ข้าเดิมพันกับพี่สามไว้ หากข้าไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้เจ้ามาได้ เขาจะถีบส่งข้า เด็กสาวตัวน้อยผู้น่ารัก ให้เข้าไปเป็นข้ารับใช้ในสวนไป๋เหอ เจ้าทนเห็นข้าถูกกระทำเช่นนั้นได้หรือ? ฮืออออ…..”

สวนไป๋เหอคือหอนางโลมขนาดเล็กที่อวี้จิงจั๋วดูแลอยู่ แท้จริงแล้วคือองค์กรลับที่ใช้เสาะหาข่าวสารต่าง ๆ ของพวกขุนนางระดับสูงและคนชั้นสูงต่าง ๆ ในแคว้นชิงหลาน

เยี่ยนหนิงลั่วมองท่าทางน่าสงสารของนาง รู้สึกทั้งโกรธทั้งขำ “พวกเจ้าสองคนเป็นเด็กหรือไร เจ้าก็ยังกล้าไปพนันกับเขาอีก?”

“เช่นนั้นเจ้าจะมากับพวกข้าหรือไม่? วันนี้อากาศแจ่มใส ได้ออกไปเดินทอดน่องนับเป็นโอกาสอันดีใช่ไหมเล่า?”

เชิงอรรถ

ส่งพระให้ถึงแดนตะวันตก เป็นสำนวน หมายถึงหากจะช่วยคนหรือทำสิ่งใดให้ทำจนถึงที่สุด ดังเช่นการส่งพระให้ถึงแดนตะวันตก (ชมพูทวีป)