ตอนที่ 49 ข้าจะแต่งกับเฟิ่งรั่วหนานอย่างนั้นหรือ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 49 ข้าจะแต่งกับเฟิ่งรั่วหนานอย่างนั้นหรือ?

หลังนางจากไป เฟิ่งหลิงปอเดินวนเวียนอยู่ภายในห้องพลางใคร่ครวญดู จากนั้นหันไปตะโกนเรียกบ่าวรับใช้ “มีใครอยู่บ้าง!”

บ่าวรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามา เขาชี้จดหมายลับที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ เอ่ยสั่งการว่า “นำไปมอบให้หนิวโหย่วเต้า!”

“ขอรับ!” บ่าวรับใช้หยิบจดหมายลับเดินออกไป

เวลานี้หนิวโหย่วเต้าพักอยู่ในเรือนรับรองของจวนผู้ว่าการ มีคนคอยเฝ้าเอาดูอยู่

ภายใต้แสงโคม หนิวโหย่วเต้าถือจดหมายลับฉบับนั้นพลิกดูอยู่หลายรอบ หวังเหิงอย่างนั้นหรือ? หวังเหิงเป็นใครเขาก็ไม่รู้ ทั้งไม่รู้จักและไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่จากเนื้อความที่ให้ส่งตัวเขาไปตัดสินคดีที่เมืองหลวง คนทางเมืองหลวงที่ตนเคยล่วงเกินไว้นอกจากตระกูลซ่งก็ไม่มีใครอื่นแล้ว จึงคาดเดาได้ไม่ยากว่าเป็นผู้ใดที่อยากทำร้ายตน

นี่ไม่ได้มีอันใดน่าประหลาดใจเลย เขาคาดการณ์ไว้ในใจแต่แรกแล้วว่าตระกูลซ่งต้องการล้างแค้น แต่เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกสนใจคือการที่เฟิ่งหลิงปอมอบจดหมายลับฉบับนี้ให้ตน ความนัยที่แฝงเร้นอยู่มีมากมายนัก เจตนาย่อมไม่พ้นไปจากอยากข่มขวัญตน

“เดาว่าตระกูลซ่งคงรู้เรื่องแล้ว เห็นทีว่าทางฝั่งถังซู่ซู่จะปิดบังเฉไฉทางตระกูลซ่งไม่ได้ ยายแก่ถังน่าจะย้ายหินมาทับเท้าตัวเอง[1]เข้าแล้ว!” หนิวโหย่วเต้ายื่นจดหมายให้หยวนกังที่อยู่ข้างๆ

หลังจากหยวนกังอ่านอยู่หลายรอบ ก็เอ่ยถามว่า “หวังเหิงเป็นใคร?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่รู้ แต่ต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลซ่งแน่ คนที่ใช้สำนวนวาจาแบบนี้กับเฟิ่งหลิงปอได้ ตำแหน่งคงไม่ต่ำต้อยแน่ ลองถามๆ ดูก็น่าจะรู้แล้วว่าเป็นใครกัน”

หยวนกังเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ถามหยั่งเชิงประโยคหนึ่งว่า “ถ้าตระกูลซ่งล้างแค้นสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ จะกระทบถึงถังอี๋คนนั้นไหม? ”

หนิวโหย่วเต้าหลุบตาลงเล็กน้อย “เรื่องนี้สำคัญด้วยเหรอ?”

หยวนกังเงียบไป ไม่พูดอีก ยื่นจดหมายจ่อเทียนเผาทิ้งไป…

…….

ยามราตรีกลางป่าเขาหนาวเหน็บนัก ธงขาวบนเสาไม้ไผ่ไหวสะบัดตามแรงลมอย่างแผ่วเบา ข้างสุสานใหม่เอี่ยมจุดไฟไว้กองหนึ่ง ซางซูชิงบรรเลงพิณ เสียงพิณฟังดูหม่นหมอง ชวนให้คนโศกศัลย์

คนตายจากไปแล้ว ใช้เสียงพิณเซ่นสรวงไว้อาลัย

ซางเฉาจงยืนมือไพล่หลังอยู่ข้างๆ เหม่อมองเงาตะคุ่มใต้แสงจันทร์ ในใจนึกคิดไปสารพัด หวนนึกถึงช่วงเวลาในอดีต ครอบครัวทรงเกียรติเหลือคณา เพียงพริบตากลับตกอับลงเช่นนี้ อกสั่นขวัญผวาอยู่ตลอดปานสุนัขจรจัด ช่วงเวลาหลายปีในคุกหลวงอันมืดมิดฝังลึกอยู่ในใจ บางครั้งถึงขั้นที่ตามหลอกหลอนดั่งฝันร้าย

ความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันและเคราะห์ร้ายทุกอย่างผ่านพ้นไปหมดแล้ว เขาไม่นึกแค้นเคืองผู้ใด ถ้าจะแค้นก็คงแค้นที่ตนไร้ความสามารถ และรู้สึกสับสนยิ่งนัก สับสนกับอนาคตที่ดูเลื่อนลอยไม่แน่นอน

น้องสาวที่ดีดพิณอยู่เบื้องหน้า นางเฉลียวฉลาดยิ่ง อ่อนโยนมีคุณธรรม รู้หนังสือมีจรรยา พิณหมากตำราภาพ กาพย์กลอนกวีศิลป์ล้วนแตกฉานเชี่ยวชาญ ทว่าถูกชะตาชีวิตบีบบังคับให้ต้องแกร่งกร้าวห้าวหาญ แต่เดิมเป็นคุณหนูผู้ดีจากตระกูลใหญ่เลื่องชื่อ มือถือตำราคัดอักษรอยู่เป็นนิตย์ ยามนี้กลับต้องแขวนกระบี่ติดเอว ขี่ม้าพเนจรไปกับเหล่าบุรุษ ไม่หวั่นต่อความยากลำบาก ไม่เคยปริปากพร่ำบ่น กลับคอยปลุกปลอบให้กำลังใจพี่ชายอย่างเขาอยู่เสมอ หากตัดเรื่องปานอัปลักษณ์บนหน้าออกไป ไม่ว่าจะมองในมุมไหน น้องสาวก็ควรเป็นยอดสตรีที่เหล่าบุรุษยากจะหาพบได้ในโลกใบนี้ แต่เป็นเพราะพี่ชายอย่างตนไร้ความสามารถ แบกรับภาระสำคัญไม่ไหวซ้ำยังใช้ชีวิตผิดพลาด เขารู้สึกละอายต่อวิญญาณของบิดามารดาที่อยู่บนสวรรค์ยิ่งนัก

จากนั้นก็มองดูทหารองครักษ์ที่ปรากฏอยู่ทั้งในที่ลับและที่แจ้งรอบป่าที่กำลังเฝ้าระวังภัยจากรอบด้านให้เขา ทุกคนล้วนเป็นทหารกล้าที่เคยผ่านสนามรบมาทั้งสิ้น แม้นจะมองไม่เห็นแสงสว่างและหนทางในอนาคต แต่ก็ยังยอมละทิ้งครอบครัวติดตามเขามา ติดตามเขาไปเสาะแสวงหาอนาคตที่ยังไม่รู้นั้น เขารู้ดีว่านี่คืออานิสงส์ที่เหลือตกทอดมาจากเสด็จพ่อ แต่เรื่องนี้กลับทำให้เขากังวลใจขึ้นเรื่อยๆ กลัวว่าจะทำให้คนเหล่านี้ผิดหวัง ไม่ทราบว่าตนจะนำพาพวกเขาไปในทิศทางใด เขาทำได้เพียงบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า มุ่งหน้าไป มุ่งหน้าต่อไป!

แต่เส้นทางอนาคตช่างมืดมนนัก การแสร้งตบตาอยู่ที่นี่ตามความคิดของหนิวโหย่วเต้าทำให้เขาไม่สบายใจ พฤติกรรมอันไม่แน่ไม่นอนของหนิวโหย่วเต้าทำให้เขาไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ

รัตติกาลยาวนาน เหม่อมองฟ้ายามราตรี ภายในใจเฝ้ามุ่งหวังตั้งตารอรุ่งอรุณมาเยือนอยู่ทุกค่ำคืน…

…….

ค่ำคืนผ่านพ้นไป แสงอรุณสาดส่อง ภายในกระท่อมเรียบง่ายข้างสุสาน ซางเฉาจงเอนหลังงีบหลับไปโดยมิได้ถอดชุด เสียงฝีเท้าเร่งร้อนแว่วเข้ามา ทำให้เขาสะดุ้งตื่นทันที ยื่นมือไปคว้าดาบข้างกายตามสัญชาตญาณ เงยหน้ามอง พบว่าเป็นคนของฝ่ายตน

องครักษ์นายหนึ่งประสานมือเอ่ยรายงาน “ท่านอ๋อง มีคนกลุ่มหนึ่งอยู่นอกวัด แจ้งว่าเป็นคนจากจวนผู้ว่าการจังหวัดกว่างอี้ บอกว่าได้รับการไหว้วานมาจากฝ่าซือพ่ะย่ะค่ะ”

หนิวโหย่วเต้าเชิญมาอย่างนั้นหรือ? ซางเฉาจงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต้าสั่งให้ถ่วงเวลาไว้สักสองสามวัน ไม่คิดเลยว่าเพิ่งผ่านไปวันเดียวก็มีข่าวมาแล้ว

เขาลุกขึ้นมาทันที จนใจที่ขาข้างหนึ่งคุดคู้อยู่นานเกินไปจนเหน็บชา ทรงตัวไม่มั่นคงอยู่บ้าง เขากระทืบเท้าแรงๆ สองสามที กระตุ้นเส้นลมปราณเล็กน้อย ก่อนจะสาวเท้าก้าวอาดๆ ออกไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซางเฉาจง หลานรั่วถิงและซางซูชิงนำคนกลุ่มหนึ่งเร่งเดินขึ้นไปบนเขา

เหตุผลที่ทุกคนลงไปค้างคืนอยู่ข้างสุสานก็เพื่อแสร้งไว้อาลัยต่อผู้ตายตามที่หนิวโหย่วเต้าบอก และการทำตามคำพูดของหนิวโหย่วเต้านั้นเรียกได้ว่าเป็นการลองเสี่ยงเดิมพันครั้งสุดท้ายดู

โซ่วเหนียนพาคนทั้งสี่มาคอยท่าอยู่ด้านนอกประตูวัดหนานซาน เมื่อเห็นพวกซางเฉาจงขึ้นเขามา ก็นึกฉงนอยู่ในใจ มีเรือนให้พำนักกลับไม่พักอาศัย ไปอยู่กลางป่ากลางเขาเพื่ออะไร?

เนื่องจากซางซูชิงเป็นสตรี ในอดีตมักอยู่ในเรือนเสมอ จึงไม่รู้จักโซ่วเหนียน ทว่าซางเฉาจงและหลานรั่วถิงสบตากันแวบหนึ่ง ทั้งสองต่างรู้จักโซ่วเหนียน ยามที่หนิงอ๋องยังมีชีวิตอยู่และกุมอำนาจกองทหารแคว้นเยี่ยนไว้ ในช่วงเทศกาลของทุกปีจังหวัดกว่างอี้จะส่งบ่าวรับใช้มามอบของขวัญให้เช่นกัน และผู้ที่เป็นตัวแทนของเฟิ่งหลิงปอบ่อยที่สุดก็คือโซ่วเหนียนผู้เป็นพ่อบ้านตระกูลเฟิ่ง หรือก็คือผู้ที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้

ทั้งสองประหลาดใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงเลยว่าพ่อบ้านของเฟิ่งหลิงปอจะมาด้วยตัวเอง

พอเห็นพวกเขามากันแล้ว โซ่วเหนียนยิ้มให้เล็กน้อย กุมกระบี่ประสานมือเอ่ยทักทาย “บ่าวชราคารวะท่านอ๋อง คารวะท่านหลาน ท่านนี้คาดว่าคงเป็นท่านหญิง บ่าวชราคารวะท่านหญิง”

ซางซูชิงประสานมือคำนับกลับ ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงก็ประสานมือรับการทักทาย จากนั้นหลานรั่วถิงปล่อยมือลงพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่โซ่ว ไม่ได้พบกันหลายปี ท่านยังคงมีสง่าราศีเช่นเดิม”

โซ่วเหนียนค้อมศีรษะให้ แย้มยิ้มอ่อนโยน “ท่านหลานชมเกินไปแล้ว”

หลานรั่วถิงเอ่ยถาม “หนิวโหย่วเต้าเชิญพี่โซ่วมาหรือ?”

โซ่วเหนียนพยักหน้ารับ “ได้รับคำสั่งให้มาคุ้มกันท่านอ๋อง…” กล่าวมาถึงตรงนี้ก็เกิดความคลางแคลงเล็กน้อย “หรือว่าหนิวโหย่วเต้าจะมิใช่คนที่ท่านอ๋องส่งไปพบท่านผู้ว่าการ”

“โอ้…ใช่ๆ ไม่ทราบว่าตอนนี้หนิวโหย่วเต้าอยู่ที่ใดหรือ?” หลานรั่วถิงหัวเราะแหะๆ พยักหน้ารับ ท่าทางคลุมเครืออยู่บ้าง ลักษณะนิสัยของหนิวโหย่วเต้าทำให้เขาจนปัญญาอย่างมากจริงๆ ไม่อธิบายอะไรให้ชัดเจนสักอย่าง ทางนี้ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้าไปเจรจาอะไรกับเฟิ่งหลิงปอ สรุปแล้วเจรจากันอย่างไร ข้อสรุปจากการเจรจาเป็นแบบไหน เขากลัวว่าถ้าพูดอะไรผิดไปจะทำให้เสียเรื่องได้

ทางนี้ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าเฟิ่งหลิงปอจะยอมให้ซางเฉาจงยืมกำลังทหาร แต่เมื่อดูจากท่าทางของโซ่วเหนียนก็คล้ายว่าจะทำสำเร็จแล้วจริงๆ นี่มันเป็นไปได้ด้วยหรือ? เฟิ่งหลิงปอกล้าเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้จริงๆ น่ะหรือ? ที่พิลึกกว่าคือหนิวโหย่วเต้าไม่ได้กลับมาด้วย แม้กระทั่งคนที่รู้เรื่องราวสักคนก็ไม่ส่งกลับมาแจ้งข่าวเลย ทำเอาพวกเขาไม่รู้จะไปถามใคร

“ขณะนี้หนิวโหย่วเต้าพักอยู่ในจวนผู้ว่าการรอคอยท่านอ๋องอยู่ ท่านอ๋อง พื้นที่ป่าเขาเปลี่ยวร้างเช่นนี้ อาจเกิดอันตรายขึ้นได้ ไม่เหมาะให้พำนักอยู่ เชิญตามบ่าวกลับไปที่ตัวจังหวัดเถิดพ่ะย่ะค่ะ กำลังเสริมที่ท่านผู้ว่าการส่งมาอยู่ระหว่างเดินทางมา คาดว่าคงจะได้พบกันระหว่างทาง” โซ่วเหนียนผายมือเชื้อเชิญ

ทางนี้ลำบากใจยิ่งนัก ไม่ทราบว่าจะไปหรือไม่ไปดี หลานรั่วถิงใคร่ครวญเล็กน้อย ขณะที่เตรียมจะสืบถามดู พลันมีคนวิ่งมาจากทางตีนเขา เป็นองครักษ์ที่หนิวโหย่วเต้าส่งกลับมาแจ้งข่าว พวกหลานรั่วถิงเห็นแล้วจึงใจชื้นขึ้นมา

ทางฝั่งนี้ขอให้โซ่วเหนียนรอสักครู่ จากนั้นลากตัวองครักษ์ที่กลับมาด้วยสภาพกระหืดกระหอบออกไปด้านข้าง หลานรั่วถิงอดใจรอแทบไม่ไหว เอ่ยถามไปว่า “มีข่าวจากทางฝ่าซือใช่หรือไม่?”

องครักษ์พยักหน้ารับรัวๆ เอ่ยตอบว่า “ฝ่าซือบอกว่าการใหญ่มีหวังแล้ว มีความมั่นใจเก้าในสิบ ให้ท่านอ๋องกลับไปพร้อมคนของจังหวัดกว่างอี้ ตอนนี้ตัวเขาไม่สะดวกมาด้วย กำลังรอท่านอ๋องอยู่ในเมืองพ่ะย่ะค่ะ!”

มีความมั่นใจเก้าในสิบหรือ? ทั้งสามฟังแล้วตื่นเต้นนัก ยืมกำลังทหารได้จริงๆ หรือ? ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ โอ้สวรรค์ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต้าทำได้อย่างไร!

ดวงตาของซางซูชิงที่อยู่ภายใต้ม่านแพรฉายแววประหลาดใจ ซางเฉาจงกำหมัดชนฝ่ามือด้วยความตื่นเต้นยินดี เสมือนเห็นแสงสว่างสายหนึ่งท่ามกลางความมืดมิด

หลานรั่วถิงทั้งตื่นเต้นและกังวลยิ่งนัก เอ่ยถามอีกครั้ง “ฝ่าซือปลอดภัยดีหรือไม่ ไม่เกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้นกระมัง?”

องครักษ์กล่าวตอบ “ฝ่าซือปลอดภัยดีขอรับ เรื่องสู่ขอราบรื่นยิ่งนักขอรับ!

“ห๊า…” หลานรั่วถิงผงะไป กะพริบตาปริบๆ นึกว่าตนฟังผิดไป

“สู่ขอหรือ?” ซางเฉาจงฉงน “สู่ขออันใด?”

ซางซูชิงเองก็แสดงสีหน้าตกตะลึงอยู่ภายใต้ม่านแพรเช่นกัน บอกว่าสู่ขออย่างนั้นหรือ?

“ท่านอ๋องต้องการแต่งกับธิดาผู้ว่าการจังหวัดกว่างอี้มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?” องครักษ์ถามด้วยความงุนงง เขานึกว่าหนิวโหย่วเต้าทำทุกอย่างตามที่ท่านอ๋องสั่งการเสียอีก เหตุใดตอนนี้พอดูจากปฏิกิริยาตอบสนองของพวกท่านอ๋องแล้วกลับไม่รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นเลยเล่า?

ซางเฉาจงชี้เข้าหาตัว ถามด้วยท่าทางไม่อยากจะเชื่อ “ข้าจะแต่งกับบุตรสาวของเฟิ่งหลิงปออย่างนั้นหรือ?”

องครักษ์พยักหน้ารับอย่างมึนงงอยู่บ้าง แววตานั้นคล้ายกำลังเอ่ยถามว่า หรือว่ามิใช่?

ซางเฉาจงถามอีกครั้ง “ฝ่าซือเอ่ยเช่นนี้หรือ?”

องครักษ์ตอบไปตามจริง “ฝ่าซือทำเช่นนี้ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ส่งมอบสินสอดให้ตระกูลเฟิ่งเรียบร้อยแล้ว ซ้ำยังประกาศต่อสาธารณชนด้วยว่าท่านอ๋องต้องการสู่ขอธิดาของเฟิ่งหลิงปอ”

ซางซูชิงและหลานรั่วถิงมองหน้ากัน เหตุใดถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งเหยิงกันนะ?

ซางเฉาจงขอคำยืนยันอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ข้าจะแต่งงานกับบุตรสาวเฟิ่งหลิงปอหรือ? บุตรสาวคนใดของเฟิ่งหลิงปอ?”

องครักษ์ตระหนักได้ว่าปัญหานี้เหมือนจะวุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว เขาเอ่ยด้วยความไม่แน่ใจว่า “ท่านอ๋อง เฟิ่งหลิงปอมีธิดาหลายคนหรือพ่ะย่ะค่ะ? แน่นอนว่า…ย่อมเป็น…” เขานึกถึงเหตุการณ์ในช่วงที่พวกเขาเฝ้าคุ้มกันสินสอดอยู่นอกจวนผู้ว่าการ เฟิ่งรั่วหนานทะยานเข้ามาด้วยความโกรธเกรี้ยว หลังจากพวกเขาได้เห็นรูปโฉมของเฟิ่งรั่วหนานด้วยตาตนแล้ว คล้ายจะรู้สึกเห็นใจท่านอ๋องอยู่บ้าง

“เฟิ่งรั่วหนานหรือ? ข้าจะแต่งกับเฟิ่งรั่วหนานอย่างนั้นหรือ?” ซางเฉาจงเบิกตากว้าง จากเรื่องหยิบยืมกำลังทหารไฉนจึงกลายเป็นสู่ขอเฟิ่งรั่วหนานไปได้เล่า? เขาเอ่ยด้วยความตะลึงพรึงเพริด “เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร? เจ้าบอกว่าการใหญ่มีหวังแล้ว มีความมั่นใจเก้าในสิบ หรือเจ้าหมายถึงเรื่องนี้?”

“…..” องครักษ์พูดไม่ออก ค่อยๆ พยักหน้ารับ ความหมายคือใช่

ซางซูชิงและหลานรั่วถิงก็มึนงงอยู่บ้างเช่นกัน แต่งกับเฟิ่งรั่วหนานอย่างนั้นหรือ? เหตุใดจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่น่าเชื่อเสียยิ่งกว่าเรื่องหยิบยืมทหารจากซางเฉาจงอีกเล่า เฟิ่งหลิงปอจะยอมยกบุตรสาวของตนที่เป็นหนึ่งในแม่ทัพเอกของจังหวัดกว่างอี้ให้แต่งกับซางเฉาจงได้อย่างไร?

หลานรั่วถิงชี้นิ้วใส่องครักษ์คนนั้นพลางกล่าวว่า “เรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่? เจ้ารีบบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด”

“หลังจากพวกเราไปถึงจังหวัดกว่างอี้ ก็ได้เข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ฝ่าซือสั่งให้พวกเราไปสืบหาข้อมูลว่าเฟิ่งหลิงปอและเฟิ่งรั่วหนานอยู่ที่ไหน…” องครักษ์บอกเล่าเหตุการณ์ในตัวเมืองกว่างอี้อย่างละเอียด อาทิไปสืบข่าวอย่างไร หนิวโหย่วเต้าไปค่ายทหารเช่นไร เล่าเรื่องขนหีบเหรียญทองออกมาจากค่ายทหาร รวมถึงเรื่องจัดซื้อสินสอดล้ำค่าราคาสูงจากนั้นยกขบวนไปส่งมอบที่จวนผู้ว่าการ เล่าว่าหยวนกังป่าวประกาศต่อสาธารณะชนเช่นใด หยวนกังและหนิวโหย่วเต้าเข้าไปในจวนผู้ว่าการแล้วส่งข่าวออกมาด้านนอกอย่างไร

หลังจากทั้งสามฟังจบต่างพูดอะไรไม่บอก นี่ใช่การไปหยิบยืมกำลังทหารเสียที่ไหน เมื่อพิจารณาจากการกระทำหลังจากไปถึงตัวจังหวัดกว่างอี้แล้ว นี่เป็นการบุกไปสู่ขอชัดๆ

“เหลวไหลทั้งเพ!” ซางเฉาจงโกรธเกรี้ยว สีหน้าประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวซีด

…………………………………………………………

[1] หมายถึง คิดจะทำร้ายผู้อื่น แต่ผลร้ายนั้นกลับย้อนมาหาตัวเอง