ตอนที่ 67 เรียกตำรวจจับ

แต่มีคนที่ไปถึงเร็วกว่าท่านหมอกู่ ซึ่งก็คือซูเล่ย!
ซูเล่ยแอบสังเกตหลินหนานอยู่นานแล้ว ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าหลินหนานคงแค่อยากจะป่วน เพราะโกรธที่ไม่ได้เข้าไปในร้าน เขาจึงคร้านที่จะใส่ใจนัก
แต่หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็เริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองคิดนั้นไม่ถูกต้องนัก เพราะผู้คนเริ่มพากันเข้าไปมุงดูหลินหนานมากขึ้นเรื่อยๆ และทุกคนต่างก็เข้าไปรับการรักษากับเขา หลังจากนั้นก็กลับออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจของหลินหนานหรือไม่? เพราะเขาเริ่มเขียนใบสั่งยา และบอกคนไข้ให้นำใบสั่งยาของเขาไปซื้อสมุนไพรกับร้านขายยาที่อยู่ข้างๆแทน
เจ้าของร้านขายยาข้างๆ ถึงกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข สายตาของเขาที่จ้องมองหลินหนานนั้น ราวกับว่ากำลังจ้องมองผู้เป็นพ่อของตนเอง
หลินหนานเสมือนเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งของเขา เพราะรายได้จากการขายยาของร้านในวันนี้ เท่ากับรายได้ของเดือนที่แล้วตลอดทั้งเดือน
และนั่นทำให้ซูเล่ยไม่สามารถทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป..
เขาพาคนในหอฟู่ซิงสองสามคนเดินออกมาดู พร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าหลินหนาน และตะโกนไล่
“ออกไปให้พ้น! แกไม่มีสิทธิ์มาตั้งแผงบริเวณนี้!”
“ทำไมฉันจะตั้งไม่ได้? ในเมื่อตรงนี้ไม่ใช่ที่หอฟู่ซิง หรือนายเป็นเจ้าของที่ตรงนี้?” หลินหนานตอบโต้กลับไปทันที
“ถึงแม้พื้นที่ตรงนี้จะไม่ใช่ของหอฟู่ซิง แต่แกนั่งอยู่ตรงนี้มันเกะกะหน้าร้าน แล้วก็มีผลกระทบต่อกิจการของหอฟู่ซิงด้วย” ซูเล่ยตอบกลับเสียงดัง
“น่าขำ!! ในเมื่อฉันไม่ได้เข้าไปนั่งในพื้นที่ของหอฟู่ซิง ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะตั้งแผงตรงไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้นายเห็นด้วยหรืออนุญาตไม่ใช่เหรอ? ส่วนจะกระทบต่อธุรกิจของหอฟู่ซิงหรือไม่นั้น นั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉัน?” หลินหนานตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“ฉันว่าแกคงเสียสติไปแล้ว! ในตลาดค้าสมุนไพรนี้ ถ้าฉันสั่ง.. แกก็ต้องทำตาม!”
“อ่อ.. แล้วถ้าฉันไม่ทำตามล่ะ?” หลินหนานถามกลับด้วยสีหน้ายียวน
“ก็เท่ากับว่าแกอยากจะไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มน่ะสิ!”
ซูเล่ยตอบกลับพร้อมกับกำหมัดแน่น และเวลานี้พนักงานในหอฟู่ซิง ก็ดูเหมือนพร้อมที่จะเข้าไปรุมกระทืบหลินหนานมากแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่า จู่ๆก็มีผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งวิ่งถือไม้กระบองออกมา พร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
“ใครกล้าแตะต้องหมอเทวดา ฉันจะฟาดมันด้วยไม้กระบองนี่เลยคอยดู!”
ชายสูงใหญ่ร่างกายกำยำที่กำลังร้องตะโกนหน้าดำหน้าแดงด้วยความโมโหอยู่นี้ หลินหนานรู้ว่าเขาเป็นใคร..
เขาก็คือลูกชายกตัญญูที่เดินทางมาหอฟู่ซิงนี้หลายต่อหลายครั้ง เพื่อที่จะสอบถามเรื่องอาการเจ็บป่วยของผู้เป็นแม่กับท่านหมอกู่ และหลินหนานก็เพิ่งจะเขียนใบสั่งยาให้กับเขา นำไปซื้อยาจากร้านข้างๆแทน โดยที่ไม่ต้องรอนานอีกต่อไป แถมยังได้ราคาที่ถูกกว่าด้วย
แต่หลังจากที่เดินออกมาจากร้านขายยาข้างๆพร้อมกับห่อยา เขาก็พบว่าผู้มีพระคุณของเขา กำลังถูกคนของหอฟู่ซิงล้อมไว้ เขาจึงได้วิ่งเข้ามาช่วยอย่างไม่ลังเล
ซูเล่ยกับพนักงานในร้านอีกหลายคนถึงกับตกใจกลัว เมื่อเห็นกระบองท่อนใหญ่ในมือของชายร่างสูงใหญ่ และคิดว่าผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ขู่เล่นๆ และด้วยรูปร่างที่กำยำของเขานั้น พวกมันอาจถึงแก่ชีวิตได้
“แกมันคนไม่มีศีลธรรม! นอกจากจะต้องมาเสียเงินค่ารักษาแล้ว พวกฉันยังต้องมาเสียเงินใต้โต๊ะให้กับแกเพื่อให้ได้คิวดีๆอีก แต่หมอเทวดาคนนี้นอกจากจะเก่งมากแล้ว ยังสามารถเข้าพบได้ไม่ยาก แล้วก็ได้รับการรักษาที่รวดเร็วด้วย..”
“ใช่ๆๆ!! หมอเทวดาคนนี้ยังรักษาฟรีอีกด้วย แกมีสิทธิ์อะไรมาไล่เขา?”
“แกกลับไปดูแลร้านของแกจะดีกว่า อย่ามาเกะกะแถวนี้ ท่านหมอจะได้รักษาคนไข้คนอื่นต่อ!”
“นั่นมันเด็กหนุ่มของหอฟู่ซิงนี่ใช่มั๊ย? ฉันไม่ได้ใส่ซองให้เขา เขากลับไล่ฉันไปอยู่ด้านหลัง ทั้งที่ฉันมาก่อน..”
“ใช่แล้ว.. ไอ้เด็กคนนั้นล่ะ!”
“โธ่เอ๊ย.. ไอ้ลูกเต่า! พอเห็นลูกค้าที่ร้านแห่ไปให้ท่านหมอรักษา ก็ถึงกับทนไม่ได้ จะรุมทำร้ายท่านหมอเชียวเหรอ? ถ้าแกกล้าก็ลองดู.. ขืนพวกแกแตะต้องท่านหมอแม้แต่ปลายเล็บ ฉันจะสู้ตายกับแกแน่!”
ฝูงชนมากกว่ายี่สิบคนต่างก็พากันร้องตะโกนไล่ซูเล่ย กับพนักงานของหอฟู่ซิง และช่วยกันปกป้องหลินหนาน
ซูเล่ยกับคนอื่นๆในร้านต่างก็ทำได้เพียงแค่หันไปมองหน้ากัน และไม่กล้าแม้แต่จะลงมือ หรือกระทำการอื่นใดอีก พวกเขาต่างก็รู้ดีว่า หากผู้คนรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวเมื่อไหร่ ก็จะกลายเป็นพลังที่แข็งแกร่งและน่ากลัวอย่างมาก
เรียกได้ว่าฝูงชนเพียงแค่ช่วยกันถ่มน้ำลาย พวกเขาก็อาจจมน้ำตายได้..
แต่แล้วในเวลานั้นเอง เสียงอันทรงพลังก็ดังขึ้น..
“ตะโกนโหวกเหวกโวยวายอะไรกัน? ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะมาส่งเสียงดังใส่กันแบบนี้?”
ทุกคนต่างก็หันมองไปทางต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน และพบว่าท่านหมอกู่กำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่ตรงหน้าพวกเขา สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าไม่พอใจอย่างมาก
“ท่านหมอกู่..”
“ท่านผู้เฒ่ากู่..”
ทุกคนต่างก็พากันทักทายท่านหมอกู่ด้วยท่าทางเคารพนบนอบ พร้อมกับหลีกทางให้ทันที
ผู้เฒ่ากู่เดินตรงเข้าไปหาหลินหนาน และหยุดยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าเขาครู่หนึ่ง พร้อมกับเงยหน้าขึ้นอ่านอักษรบนกำแพงด้านหลัง
“หัตถ์เทวะซิ่งหลิน – ปรากกฏกายช่วยผู้คนในโลก รักษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย!”
หลังจากที่อ่านจบ ท่านหมอกู่ก็ถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที เขาอ้าปากหัวเราะกว้างโดยไม่แม้แต่จะยกมือขึ้นปิดปาก กิริยามารยาทแตกต่างจากภาพผู้เฒ่าเคร่งขรึมสง่างามก่อนหน้ามาก
ทุกคนที่เห็นต่างก็พากันจ้องมองด้วยสีหน้างุนงง..
แม้กระทั่งซูเล่ยเองยังถังกึงกับงุนงงสงสัยเช่นกัน มีเพียงหลินหนานเท่านั้นที่ยังคงนั่งสูบบุหรี่นิ่งเฉยอยู่ที่พื้นเช่นเดิม
หลังจากหัวเราะเสียงดังอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของท่านหมอกู่ก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาจ้องมองหลินหนานพร้อมกับถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน
“หัตถ์เทวะซิ่งหลิน.. เธอเข้าใจความหมายนี้ดีแค่ไหน?”
“แน่นอน! ก็หมายถึงคนที่มีทักษะทางการแพทย์ล้ำเลิศมากยังไงล่ะ!” หลินหนานตอบกลับพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย
หลังจากได้ฟังคำตอบ ท่านหมอกู่ก็พูดต่อในทันที “ฉันเองเกิดมาในตระกูลแพทย์แผนจีน ร่ำเรียนวิชาแพทย์ที่ถ่ายทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น บรรพชนของฉันเป็นถึงหมอหลวงในวัง แม้แต่ฉันยังไม่กล้าใช้ฉายาหัตถ์เทวะซิ่งหลิน แล้วเธอกล้าดียังไงถึงกับใช้ฉายานี้เรียกขานตัวเอง!! ไม่โอหังเกินไปหน่อยเหรอ?”
“นั่นเพราะทักษะทางการแพทย์ของคุณไม่ได้ล้ำเลิศ และเหมาะสมกับฉายาที่สูงส่งนั่นต่างหากล่ะ?” หลินหนานเบ้ปากตอบ
หลังจากได้ยินคำตอบของหลินหนาน ซูเล่ยและคนอื่นๆ ก็ถึงกับต้องสูดลมหายใจลึก..
หมอนี่ท่าจะบ้าไปแล้วแน่ๆ?
ท่านหมอกู่มีประวัติความเป็นมายังไง หลายคนต่างก็รู้ดี!
วิชาแพทย์ของเขาได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพชนซึ่งเป็นถึงหมอหลวงในวัง ส่วนตัวเขาเองก็ได้เกษียณจากการเป็นแพทย์ประจำในโรงพยาบาลมา อีกทั้งยังเป็นสมาชิกของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนจีน และยังเป็นถึงระดับหัวหน้ากลุ่มด้วย
ตลอดชีวิตของท่านหมอกู่ ล้วนแล้วแต่ได้รับความเคารพอย่างสูงจากคนรอบตัว แม้แต่โรงพยาบาลในเมืองใกล้เคียง ยังต้องการดึงตัวเขาไปเป็นผู้เชี่ยวชาญของทางโรงพยาบาลหลังจากเกษียณ เพียงแค่นี้ก็สามารถยืนยันความสามารถทางด้านการแพทย์ของท่านหมอกู่ได้แล้ว
แต่แพทย์ที่มีความสามารถและคุณสมบัติเช่นนี้ หลินหนานกลับกล้าพูดว่า เขายังมีทักษะและคุณสมบัติไม่พอที่จะได้รับฉายานี้อย่างนั้นหรือ?
ท่านหมอกู่ตอบกลับไปด้วยสีหน้าเดือดดาล “พูดจายะโสโอหังแบบนี้ เธอเป็นใครมาจากไหน? และศึกษาศาสตร์การแพทย์มาจากที่ใด?”
“วีรบุรุษย่อมไม่บอกที่มา.. ไม่อย่างนั้นฉายาพวกนี้จะมีความหมายอะไรกันล่ะ? ทำไมต้องสนใจด้วยว่าจะเป็นแมวสีขาวหรือสีดำ ขอเพียงแค่จับหนูได้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?” หลินหนานตอบโต้กลับทันที
แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่านหมอกู่ก็ยิ่งเดือดดาลใจมากยิ่งขึ้น
“ทักษะทางด้านการแพทย์เป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลอกลวงกันได้ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงชีวิตผู้คน ถ้าเธอเป็นหมอจริง ก็ต้องมีใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์สินะ?”
“ไม่มี!’ หลินหนานตอบไปตามความจริง
“ถ้าเธอไม่มีใบประกอบวิชาชีพแพทย์ ก็เท่ากับเป็นหมอเถื่อนนะ เธอรู้ใช่มั๊ยว่าถ้าเธอยังดื้อดึงอยู่แบบนี้ ฉันสามารถโทรเรียกตำรวจให้มาจับเธอได้!” ท่านหมอกู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
และผู้เฒ่ากู่ก็พูดได้ถูกต้อง นั่นเพราะหลินหนานไม่มีใบประกอบวิชาชีพด้านการแพทย์ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่สามารถทำการรักษาคนไข้ได้
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็รีบโทรแจ้งตำรวจได้เลย ผมก็จะได้แจ้งความเรื่องที่คุณเก็บค่ารักษาเกินจริง แถมยังเรียกเก็บเงินใต้โต๊ะจากคนไข้ในการขอคิวด้วย..” หลินหนานตอบโต้กลับอย่างไม่นึกเกรงกลัว
“นี่เธอพูดเรื่องอะไร?” ท่านหมอกู่ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
“หลังจากที่ฉันเกษียณ ก็ตั้งใจรักษาคนไข้โดยไม่คิดค่ารักษามาโดยตลอด แล้วก็ไม่เคยรับเงินใต้โต๊ะการเข้าคิวด้วย! ถ้าขืนเธอยังพูดจาเพ้อเจ้อแบบนี้ ฉันสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเธอได้นะ!”
“งั้นเหรอ? คุณไม่ได้ทำ แต่คนอื่นทำก็ได้นี่..” หลินหนานตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ได้ยินหลินหนานพูดออกมาแบบนั้น ซูเล่ยก็ถึงกับหน้าซีดใจสั่นขึ้นมาทันที..
หมอนี่ทำฉันซวยแล้ว!!
ถ้าเรื่องนี้แดงขึ้นมา ฉันคงไม่เพียงแค่หมดทางหาเงินแน่ แต่ต้องตกงานด้วยแน่ๆ!!
แต่ในระหว่างที่ซูเล่ยกำลังครุ่นคิดและกังวลใจกับเรื่องนี้อยู่นั้น ท่านหมอกู่ก็ร้องตะโกนสั่งว่า
“ซูเล่ย.. จัดการโทรแจ้งตำรวจ คนแบบนี้ต้องได้รับบทเรียนซะบ้าง ไม่อย่างนั้นคงจะไม่สำนึก!”
หลังจากร้องตะโกนสั่งซูเล่ยแล้ว ท่านหมอกู่เดินจากไปทันที..