ตอนที่ 69 ผู้มีพระคุณชั่วชีวิต

หลินหนานไม่รู้ว่าการที่ผู้เฒ่ากู่คำนับหลินหนานถึงสามครั้งนั้น ย่อมมีนัยยะอื่นแอบแฝงอยู่ และเป็นการแสดงออกถึงจิตใจของเขาที่มีต่อหลินหนานเวลานี้
คำนับครั้งแรกของผู้เฒ่ากู่นั้น เป็นการแสดงออกถึงการยอมรับในใบสั่งยาที่หลินหนานพูดออกมา และต้องการรู้ประสิทธิภาพของใบสั่งยานั้น
คำนับครั้งที่สองคือการขอโทษหลินหนานด้วยความจริงใจ และเป็นการขอให้เขายกโทษให้
ส่วนคำนับครั้งที่สามนั้น เป็นการแสดงความเคารพ และชื่นชมในความสามารถทางการแพทย์ของหลินหนาน
สรุปสั้นๆก็คือว่า ผู้เฒ่ากู่ได้ยอมรับนับถือความสามารถทางด้านการแพทย์แผนจีนของหลินหนานอย่างสนิทใจแล้วนั่นเอง!
และการคำนับก็คือวิธีการแสดงออกถึงการยอมรับที่ดีที่สุด จากผู้ชายที่หยิ่งผยองเช่นผู้เฒ่ากู่ เพราะเห็นได้ชัดว่าความสามารถทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศของหลินหนานนั้น ยากที่จะหาผู้ใดเปรียบได้
“คุณกู่.. คุณคำนับผมถึงสามครั้งแล้วนะครับ จะอวยพรวันเกิดให้ผมหรือยังไงกัน? อีกอย่างนี่ไม่ใช่วันเกิดของผมสักหน่อย!”
หลินหนานบ่มพึมพำพร้อมกับรับถ้วยชาที่ผู้เฒ่ากู่ยื่นให้ขึ้นจิบ และเวลานี้ผู้เฒ่ากู่ก็ได้รับรู้แล้วว่า การได้เป็นผู้ช่วยของแพทย์ที่มีฝีมือล้ำเลิศนั้น ให้ความรู้สึกที่ดีมากเพียงใด?
“คุณชาย.. ล้อผมเล่นอีกแล้ว ผมชื่นชมความสามารถทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศของคุณจากใจจริง ก็เลยต้องแสดงออกไปแบบนั้น”
ผู้เฒ่ากู่ตอบกลับยิ้มๆ ใบนหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความเขินอาย แต่เวลานี้เขาก็รู้สึกว่าหลินหนานเป็นคนขี้เล่นไม่น้อยทีเดียว
หลินหนานไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงแค่นั่งจิบชาอย่างสงบ และได้แต่คิดว่า นี่ช่างเป็นชาชั้นเลิศ และรสชาดยอดเยี่ยมมากจริงๆ!
เมื่อเห็นหลินหนานเอาแต่นั่งจิบชาไม่พูดไม่จา ผู้เฒ่ากู่ก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมาเล็กน้อย เขากระแอมออกมาเบาๆ และเป็นฝ่ายถามขึ้นว่า
“ไม่ทราบว่า.. จะให้ผมเรียกคุณชายว่าอะไรดี?”
“อ่อ.. ผมชื่อหลินหนาน” หลินหนานตอบกลับไปเพียงสั้นๆ
“คุณชายหลินครับ ไม่ทราบว่าใบสั่งยาที่คุณท่องให้ผมฟังก่อนหน้านี้ เป็นใบสั่งยาอะไรกันแน่?”
ผู้เฒ่ากู่เอ่ยถามยิ้มๆ เขาไม่สามารถรอต่อไปได้อีก จึงเป็นฝ่ายถามหลินหนานออกไปตรงๆ หลินหนานวางถ้วยชาในมือลงพร้อมตอบกลับไปว่า
“คุณกู่.. คุณฝึกวรยุทธเป็นปกตินิสัยใช่มั๊ย?”
“ห๊ะ..”
ผู้เฒ่ากู่ร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบหลินหนานไปตามความจริง
“ใช่แล้ว! บรรพบุรุษของผมได้ถ่ายทอดวิชาสำหรับฝึกฝนเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง และเพลงมวยนี้ก็ได้ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ลูกหลานภายในตระกูลของเรา ต่างก็ฝึกฝนวิชานี้กันทุกคน..”
“ห๊ะ?!”
หลินหนานถึงกับร้องอุทานออกมา เขาขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกับถามขึ้นว่า “คุณกู่ คุณช่วยสาธิตเพลงมวยที่ว่านี้ให้ผมดูหน่อยจะได้มั๊ย?”
“ที่นี่เลยหรือ?!” ผู้เฒ่ากู่ทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก
หลินหนานเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่ส่ายหน้า และตอบไปว่า “ไม่เป็นไร ถ้าคุณไม่สะดวกใจที่จะทำ ก็ช่างมันเถิด!”
“ไม่ใช่ครับ!! ไม่ใช่อย่างที่คุณชายหลินคิด ผมหมายถึงว่าที่นี่คับแคบเกินไป ไม่สะดวกต่อการร่ายรำเพลงมวย”
ผู้เฒ่ากู่รีบอธิบายต่อทันที “ถ้าคุณหลินไม่รังเกียจ รบกวนไปที่สวนด้านหลังกับผมจะได้หรือไม่ครับ?”
“ได้สิ!”
หลินหนานตอบสั้นๆ พร้อมกับลุกขึ้นยืนทันที จากนั้นผู้เฒ่ากู่ก็เดินนำหลินหนานไปที่สวนด้านหลังของหอฟู่ซิง
ด้านหลังของหอฟู่ซิงนั้น มีบ้านโบราณเก่าแก่หลังหนึ่งตั้งอยู่ ผู้เฒ่ากู่ก้าวไปยืนอยู่กลางสนามหญ้า พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความเขินอาย
“คุณหนาน ไม่รู้ว่าผมจะทำอะไรขายหน้าให้คุณขบขันหรือเปล่า?”
หลังจากนั้น ผู้เฒ่ากู่ก็ได้ร่ายรำกระบวนท่าต่างๆของเพลงมวย ที่ตนเองใช้ฝึกฝนอยู่เป็นประจำให้หลินหนานดู
กระบวนท่าต่างๆของเพลงมวยที่ผู้เฒ่ากู่ร่ายรำให้หลินหนานดูนั้น คล้ายกับว่าพัฒนามาจากไทเก็กอีกที
แต่ถึงอย่างนั้น เพลงมวยที่ผู้เฒ่ากู่แสดงออกมานั้น ก็ดูแข็งแกร่งและดุดันอย่างมาก แม้เขาจะอายุมากแล้ว แต่หมัดที่พุ่งออกมาแต่ละหมัดนั้น กลับแข็งแกร่งและเปี่ยมไปด้วยพลัง ตรงข้ามกับร่างกายที่ดูคล้ายกับเบาหวิว อีกทั้งยังดูยืดหยุ่นอย่างมากด้วย
และด้วยเพลงหมัดมวยที่ผู้เฒ่ากู่ร่ายรำให้หลินหนานดูนั้น เขาเชื่อว่าต่อให้เด็กหนุ่มสองสามคนรุม ยังยากที่จะเอาชนะผู้เฒ่ากู่ได้
ผ่านไปเพียงแค่หนึ่งกระบวนท่า ผู้เฒ่ากู่ก็เริ่มหายใจถี่ขึ้น และใบหน้าของเขาก็เริ่มแดงก่ำ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับกำหมัดแน่น ก่อนจะพูดขึ้นด้ายสีหน้าท่าทางเก้อเขิน
“คุณชายหลิน ผมคงทำอะไรตลกๆให้คุณต้องขบขันแล้วสินะ”
หลินหนานไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแค่พยักหน้า และถามกลับไปว่า “คุณกู่ ผมมีคำพูดประโยคหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่?”
“ขอเชิญคุณชายหลินพูดออกมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ..” ผู้เฒ่ากู่ตอบกลับไปทันที
“ในตระกูลของคุณ มีผู้ชายคนไหนที่มีอายุยืนเกิน 70 ปีบ้างมั๊ย?”
“เอ่อ.. เรื่องนั้น..” ผู้เฒ่ากู่ดูมีสีหน้าตกอกตกใจอย่างมาก
เพราะเรื่องนี้ได้ถูกปกปิดเป็นความลับของตระกูลมาโดยตลอด นั่นเพราะตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเขามานั้น ไม่เคยมีผู้ชายคนใดในตระกูลเลย ที่มีชีวิตยืนยาวเกินกว่าอายุ 70 ปี
ก่อนหน้าที่พวกเขาจะย่างเข้าสู่วัยเจ็ดสิบนั้น ทุกคนล้วนแล้วแต่มีสุขภาพที่แข็งแรงกันทุกคน และไม่มีใครคิดว่าตนเองจะต้องเสียชีวิตเลย..
แต่เพียงแค่เริ่มเข้าสู่ในวัยเจ็ดสิบปีเท่านั้น สุขภาพของพวกเขาก็จะเริ่มแย่ และทรุดลงอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดก็เสียชีวิตด้วยการกระอักออกมาเป็นเลือดกันทุกคน!
การต้องเสียชีวิตอย่างกะทันหันในวัยเจ็ดสิปีของผู้ชายในตระกูลนั้น จึงเป็นเสมือนคำสาปของตระกูลไปโดยปริยาย
การเสียชีวิตอย่างกะทันหันเมื่ออายุ 70 ปีเป็นเหมือนคำสาปที่แขวนอยู่เหนือศีรษะของสมาชิกทุกคนในครอบครัว
แต่ก็น่าแปลกที่เรื่องนี้กลับไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้หญิงในตระกูลของเขาเลย ทุกคนล้วนแล้วแต่มีชีวิตยืนยาวก่อนจะสิ้นใจตายทั้งสิ้น
“ใช่แล้วครับคุณชายหลิน! คุณคาดเดาได้ถูกต้อง ผู้ชายในตระกูลของผม ล้วนไม่เคยมีใครมีชีวิตยืนยาวเกินเจ็ดสิบเลยแม้แต่คนเดียว นี่คงจะเป็นคำสาปของตระกูลเรา”
ผู้เฒ่ากู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย และเวลานี้ตัวเขาเองก็อายุหกสิบแปดแล้ว เวลาของเขาจึงเหลืออีกเพียงแค่สองปีเท่านั้น ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าตนเองคงไม่อาจมีชีวิตยืนยาวไปได้มากกว่านี้ได้
ทุกวันนี้ อายุเฉลี่ยของมนุษย์เราล้วนเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ตระกูลของเขาซึ่งเป็นตระกูลแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง กลับไม่สามารถเอาชนะชะตากรรมนี้ได้ และไม่สามารถเอาชนะคำสาปของตระกูลได้ ทำได้เพียงแค่รอคอยวันตาย และเฝ้านับเวลาถอยหลังเท่านั้น
ความเจ็บปวดเช่นนี้ ยากนักที่ผู้ใดจะเข้าใจได้!
“ไม่.. มันไม่ใช่คำสาป!” หลินหนานตอบกลับทันที
“คุณชายหลิน.. เมื่อครู่คุณพูดว่าอะไรกัน?”
แววตาของผู้เฒ่ากู่เป็นประกายขึ้นมาทันที เขาสาวเท้าก้าวเข้าไปใกล้หลินหนาน และจับมือของเขาบีบไว้แน่น พร้อมกับร้องตะโกนถามออกมาด้วยความตื่นเต้นตกใจ
“คุณชายหลิน เมื่อครู่คุณบอกว่ามันไม่ใช่คำสาปอย่างนั้นหรือ?”
ชายชราลืมตัวบีบมือหลินหนานไว้แน่น จนเขารู้สึกเจ็บ จึงได้แกะมือของชายชราออกอย่างเงียบๆ พร้อมตอบกลับไปว่า
“ใช่! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคำสาป แต่เกี่ยวกับเพลงมวยที่คุณฝึกอยู่ต่างหาก..”
“ห๊ะ?! จะเป็นไปได้ยังไง? ทำไมคุณชายหลินถึงได้คิดแบบนั้น?” ผู้เฒ่ากู่ร้องถามออกมาด้วยความสงสัยใคร่รู้
“คุณกู่ ลองใคร่ครวญในสิ่งที่ผมกำลังจะพูดให้ดี..”
“ในสมัยที่ยังคุณยังเด็ก คุณจะแข็งแรงมาก และแทบจะไม่เคยเจ็บป่วยเลยใช่มั๊ย?” หลินหนานถามเอ่ยถามขึ้นแทนคำตอบ
ผู้เฒ่ากู่ทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้า และตอบกลับไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ที่คุณชายหลินพูดมาล้วนถูกต้อง ตั้งแต่ผมเริ่มฝึกเพลงมวยนี้ ผมก็มีสุขภาพแข็งแรงมาโดยตลอด และไม่เคยเจ็บป่วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว!”
“นั่นไง!!” หลินหนานยิ้มเย็น
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของหลินหนาน ผู้เฒ่ากู่ก็ดูเหมือนจะยิ่งงุนงงไม่เข้าใจมากขึ้น นั่นเพราะหากเป็นเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าเพลงมวยที่เขาฝึกฝนอยู่ทุกวันย่อมเป็นสิ่งที่ดี และสามารถป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้ไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดการตายก่อนอายุเจ็ดสิบปี จึงได้เกี่ยวพันกับเรื่องนี้? และไม่ใช่เรื่องของคำสาป?
“คุณกู่ คุณเองเป็นถึงแพทย์แผนจีนที่เชี่ยวชาญ ย่อมต้องคุ้นเคยกับประโยคที่ว่า ‘ผสานสมดุลแห่งหยินหยาง’ ได้ดีสินะ?” หลินหนานเอ่ยถาม
“ครับ เรื่องนี้ผมเข้าใจดี!” ผู้เฒ่ากู่พยักหน้าตอบกลับไปทันที
สำหรับการแพทย์แผนจีนนั้น ทฤษฏีเรื่องการผสานสมดุลแห่งหยินหยางนั้น นับเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง!
แต่ผู้เฒ่ากู่ก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเพลงมวยที่เขาฝึกอยู่ได้อย่างไร?
หลินหนานจึงได้อธิบายต่อ “เพลงมวยที่คุณฝึกอยู่ทุกวันนั้น เป็นการเน้นการฝึกฝนเพื่อให้พลังหยางในร่างกายแข็งแกร่ง ซึ่งย่อมส่งผลดีต่อร่างกายอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้น..”
“เพียงแต่ว่า..”
หลินหนานหยุดนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายต่อ “ผลดีนี้จะจะส่งผลในช่วงที่ร่างกายของคุณแข็งแกร่งจนถึงขีดสุดเท่านั้น แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงที่ร่างกายของคุณเริ่มถดถอยลง พลังหยางนี้จะกลายเป็นส่วนเกิน และในที่สุด..”
“มันก็จะระเบิดออก..”
หลินหนานพยายามที่จะพูดประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบที่สุด แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองผู้เฒ่ากู่แน่นิ่ง..
ผู้เฒ่ากู่ครุ่นคิดตามคำอธิบายของหลินหนานจนเข้าใจ ในที่สุดก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ผมเข้าใจแล้ว! ผมเข้าใจสาเหตุทั้งหมดแล้ว!”
“ร่ายกายของมนุษย์เปรียบเสมือนภาชนะซึ่งมีขีดจำกัดในการรองรับสิ่งของ ในช่วงที่ภาชนะยังใหม่อยู่ แน่นอนว่าอาจจะสามารถรองรับน้ำหนักที่มากได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภาชนะเหล่านี้ก็เริ่มเสื่อมลง จึงไม่สามารถแบกรับน้ำหนักเหล่านั้นได้อีกต่อไป..”
“ถูกต้อง!” หลินหนานพยักหน้า
ผู้เฒ่ากู่เป็นถึงแพทย์ที่โด่งดัง เรื่องแค่นี้ย่อมสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก..
“คุณชายหลิน ไม่ทราบว่ามีวิธีแก้ไขบ้างหรือไม่?” ผู้เฒ่ากู่ร้องถามหลินหนานอย่างร้อนใจ
“เอ่อ..” หลินหนานทำสีหน้าครุ่นคิด
พรึบ..
จู่ๆ ผู้เฒ่ากู่ก็คุกเข่าลงตรงหน้าหลินหนาน พร้อมกับอ้อนวอนขอร้อง “คุณชายหลิน ได้โปรดช่วยแก้ไขเรื่องนี้ให้ผมด้วย และจากนี้ไป ผมจะขอยกให้คุณชายหลินเป็นผู้มีพระคุณของตระกูลเราไปชั่วชีวิต!”