ตอนที่ 303 – จะไม่มีทางไม่ต้องการเจ้าเด็ดขาด

หนึ่งเซียนยากเสาะหา

ตอนที่ 303 – จะไม่มีทางไม่ต้องการเจ้าเด็ดขาด

เงียบงันเนิ่นนาน

“ท่านจดจำอะไรได้”

คำถามที่ฉินซีถามนี้ทำให้จิ่งสิงจื่อตะลึงงัน

จดจำอะไรได้? เขาจดจำได้ว่าถูกซงเฟิงซ่างเหรินจับมัด พามาถึงที่นี่ จากนั้นถูกบังคับป้อนถั่วหอมสวรรค์ ท่ามกลางสติพร่าเลือนมองเห็นโม่ชิงเวย…… เริ่มแรกในใจยังมีสติรู้คิด ยับยั้งเอาไว้สุดกำลัง แต่เขายังไม่ได้คิดถึงหนทาง ตัวยาก็ส่งผลแล้ว รู้สึกเพียงว่าเป็นสตรีนางหนึ่งก็ไปฉีกเสื้อผ้าของนาง ใครจะรู้ว่านางยังคงมีสติรู้คิด ต่อต้านขึ้นมา ภายหลัง…… เขาเจ็บที่ศีรษะ แล้วก็ไม่ได้สติแล้ว……

จริงด้วย! จิ่งสิงจื่อกระโดดปราดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ก้มหน้ามองบนร่างของตนเอง ถอนหายใจออกมา ถึงเขาจะกึ่งเปลือย ช่วงล่างกลับสวมครบ เมื่อครู่เขาถูกความทรงจำของตนเองทำให้ตกใจกลัว ดูท่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย

ถึงแม้ว่ากับฉินโส่วจิ้งจะไม่นับว่าเป็นสหายสนิทเพื่อนแท้อะไร แต่การนอนกับสตรีของเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียจริง ๆ โชคดีที่เรื่องประเภทนี้ไม่ได้เกิดขึ้น

คิดถึงตรงนี้ ในสมองจิ่งสิงจื่อเกิดประกายวูบขึ้น ถามกลับว่า “ท่านรู้อยู่แล้ว? พวกเราไม่ได้เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น!”

ฉินซีเผยรอยยิ้มบาง ๆ วางหินก้อนใหญ่ในใจลง จิ่งสิงจื่อพูดเช่นนี้ ดูท่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ หากเทียนเกอเกิดเรื่อง ถึงเขาจะไม่ถือสา แต่ไม่ว่าจะสำหรับเทียนเกอหรือว่าเขาล้วนเป็นเรื่องราวที่โหดร้ายเป็นที่สุด

“ท่านแน่ใจจริง ๆ หรือว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น” เขาถามกลับไปอีกครั้ง

จิ่งสิงจื่อมองสีหน้าของเขา รู้สึกโล่งอก คลำหาโอสถรักษากินลงไป รอจนอาการบาดเจ็บทุเลาลงไปหน่อยจึงเก็บเสื้อผ้าของตัวเองพลางเอ่ยอย่างหมดความอดทนว่า “เหล่าจื่อเสียหายหนักมาก เสียหน้าหนักขนาดนี้ แล้วก็ถอดเสื้อผ้าสตรีของท่าน!”

ได้ยินประโยคนี้ของเขา ฉินซีสีหน้ามืดลง ร้องหึอย่างเย็นชา “ท่านยังกล้าพูด!” อย่าว่าแต่ถอดเสื้อผ้าเลย ถึงจะแค่ดึงสักหน่อยเขาก็เพลิงแค้นลุกโชนแล้ว! หากมิใช่ว่าคนผู้นี้คือจิ่งสิงจื่อ ถึงเขาจะไม่ฆ่าคนก็ต้องทุบตีระบายโทสะ!

สูดลมหายใจเขาลึก กลืนความโกรธนี้ลงไป ฉินซีถามอีกอย่างช้า ๆ ว่า “สรุปว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ในเมื่อซงเฟิงซ่างเหรินตั้งใจแก้แค้นพวกเรา เพราะอะไรพวกท่านกลับไร้เรื่องราว”

จิ่งสิงจื่อสวมใส่เสื้อผ้าของตนเอง ทบทวนอย่างละเอียด พูดทุกสิ่งทุกอย่างที่จดจำได้ สุดท้ายเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่า คล้ายจะมีคนตีข้าให้สลบ”

“มีคน?” ฉินซีไม่เข้าใจ “ยังจะมีผู้ใดมาถึงที่นี่?” ยอดเขาโดดเดี่ยวเช่นนี้เดิมก็สูงยิ่งนัก อีกทั้งอยู่ในหมอกหนา นอกเสียจากจงใจใครจะขึ้นมา? หากมีคนมาได้เรื่อยเปื่อย ซงเฟิงซ่างเหรินก็จะไม่เลือกสถานที่เช่นนี้แล้ว

จิ่งสิงจื่อคิดสักครู่ ส่ายศีรษะ “ซือเม่ยท่านเหมือนจะดีกว่าข้าสักหน่อย รอนางฟื้นขึ้นมาท่านก็ถามนางเถอะ นางอาจจะทราบ”

“อืม” ฉินซีส่งเสียงตอบรับ แต่จับจ้องเขาไม่พูดไม่จาอีกแล้ว

จิ่งสิงจื่อถูกเขามองจนขนลุกในใจ “ข้าบอกไปแล้วว่าไม่ได้แตะต้องนาง ท่านคงไม่คิดจะฆ่าข้าระบายแค้นหรอกสินะ?”

ฉินซีเอ่ยเสียงเย็นว่า “ท่านไม่ได้แตะต้องนาง แต่เสื้อผ้าก็เป็นท่านถอดใช่หรือไม่”

“นี่จะโทษข้าไม่ได้นะ!” จิ่งสิงจื่อเอ่ยด้วยเหตุผลเต็มเปี่ยม “ท่านน่าจะไม่ได้หงุดหงิดแม้แต่กับเรื่องนี้หรอกนะ? ข้าแม้กระทั่งจุมพิตยังไม่ได้จุมพิตเลย!”

ประโยคนี้ทำให้ฉินซีสบายใจขึ้นอีกหน่อย เขามองดูโม่เทียนเกอในอ้อมกอด นิ่งไปสักพัก กล่าวว่า “ข้าไม่คิดจะฆ่าท่านระบายแค้น แต่ข้าก็ไม่คิดจะให้นางเห็นท่านอีก ท่านไปก่อนเถอะ”

“……” จิ่งสิงจื่อถอนหายใจ เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าท่านให้ความเมตตาต่อข้าแล้ว ข้าก็มิใช่คนไม่รู้ดีชั่ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ภายหลังค่อยพบกันเถิด” พูดจบก็ไม่โอ้เอ้อีก ลุกขึ้นเก็บสิ่งของของตนเอง บังคับกระบี่บินบินจากไปทั้งอย่างนี้

เรื่องโชคดีคือซงเฟิงซ่างเหรินคงจะไม่เห็นสิ่งของของพวกเขาสองผู้ฝึกตนก่อเกิดตานอยู่ในสายตา ไม่ได้เก็บกระเป๋าเอกภพของพวกเขาไป หากมิเช่นนั้นย่อมเป็นความเสียหายที่ใหญ่หลวงจริง ๆ พวกเขาสองคนล้วนมิใช่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสามัญ สมบัติบนตัวมากมาย มิใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานสามัญจะเทียบเทียมได้

จิ่งสิงจื่อไปไกลแล้ว ฉินซีเก็บสายตากลับมา เรื่องราวถือว่ายุติลงชั่วคราว แต่ว่าห่างไกลจากการสิ้นสุด เรื่องราวประเภทนี้ถึงสุดท้ายจะไม่ได้เกิดขึ้น แต่ความเสียหายต่อเทียนเกอมีขึ้นแล้ว ตอนนี้เขาเพียงหวังว่าสภาพจิตใจของเทียนเกอจะไม่ได้รับผลกระทบ

อีกอย่างการกระทำนี้ของซงเฟิงซ่างเหรินช่างชั่วช้าจริง ๆ ถ้าหากเรื่องราวเกิดขึ้นจริง ๆ ถึงจะจับเทียนเกอมาฆ่านางก็ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกรังเกียจเท่าไม้นี้ ซือฟุพูดเสมอว่าคนผู้นี้ตัวเป็นผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของเทียนจี๋ แต่แท้จริงแล้วคนไม่ใช่คนผีไม่ใช่ผี สภาพจิตใจแปรเปลี่ยนไป มิใช่คนปกติแต่แรกแล้ว ไม่ผิดไปเลยจริง ๆ

ไม่รู้ว่านานเท่าใด โม่เทียนเกอฟื้นขึ้นมาจากความมืดมิด

หลังจากฟื้นขึ้นสติ ความรู้สึกแรกของนางก็คือปวดศีรษะ ปวดศีรษะแทบระเบิด

“ฟื้นแล้วหรือ” ข้างหูมีเสียงอ่อนโยนดังออกมา เป็นเสียงฉินซี

“ซือเกอ……” นางร้องเรียกคำหนึ่ง ยืนมือออกไป กำลังจะพูดอะไรสักหน่อย จู่ ๆ ในสมองเกิดความทรงจำไม่ปะติดปะต่อวูบขึ้นมา เบิกตากว้างทันควัน สะดุ้งขึ้นมา “ข้า……”

พอลืมตาขึ้น ผู้ที่ตกอยู่ในสายตาเป็นฉินซีจริง ๆ เห็นท่าทางแตกตื่นของนาง ฉินซีเอ่ยปลอบอย่างอบอุ่นว่า “อย่ากลัว ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าปลอดภัยแล้ว”

ความอ่อนโยนของเขาทำให้โม่เทียนเกอสงบลงได้บ้าง แต่พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะสลบไป นางก็สงบไม่ไหวอีกแล้ว นางคว้าเสื้อของฉินซี เงยหน้าถามอย่างแตกตื่นขวัญเสียว่า “ข้าใช่หรือไม่……ใช่หรือไม่……”

“เปล่า” ฉินซีรู้ว่านางคิดจะถามอะไร โอบกอดนางอย่างไม่ต้องคิด “ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น เจ้าอย่ากลัว ข้าอยู่ที่นี่ เจ้าจะไม่เป็นไร……”

“ไม่ใช่!” โม่เทียนเกอสั่นศีรษะอย่างสิ้นหวัง “ท่านไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร ข้า ข้า…… ซงเฟิงซ่างเหรินเขา…… จิ่งสิงจื่อ……” นางแทบจะพูดไม่เป็นคำ

“ข้ารู้ ข้ารู้!” ฉินซีกอดนางแน่น ปลอบว่า “สิ่งที่เจ้าพูดข้าล้วนทราบ อย่ากลัว ไม่เป็นไรจริง ๆ เจ้าสบายดี ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น เจ้าสัมผัสดูสิ เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่”

“……” การปลอบโยนและอ้อมกอดเช่นนี้ปลอบโม่เทียนเกอลงแล้ว นางฟังคำพูดของเขา สัมผัสได้ว่าเสื้อผ้าบนร่างของตนเองครบถ้วน ร่างกายก็ไม่มีอันใดผิดปกติ จึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง พึมพำกับตัวเองว่า “ไม่มี ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น ไม่มี……”

“ใช่ ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้น” ฉินซีลูบหลังนาง เอ่ยย้ำเสียงอ่อน

ในเสียงอ่อนโยนของเขา อารมณ์ของโม่เทียนเกอค่อย ๆ ผ่อนคลายลง เอนพิงไหล่ของเขา พยายามทำให้ตนเองจิตใจสงบ

อ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดนางรู้สึกว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องจริง นางมิได้เกิดเรื่องราวที่น่ากลัวอย่างนั้นจริง ๆ จึงฟื้นคืนสู่สภาวะปกติ เอ่ยปากถามว่า “ซือเกอ ท่านหาที่นี่เจอได้อย่างไร ข้ายังนึกว่าท่านกับซือฟุจะหาข้าไม่เจอ……” ตอนที่ถูกซงเฟิงซ่างเหรินพามาถึงที่นี่แล้วป้อนถั่วหอมสวรรค์ลงไป ในใจนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง หวังสุดใจว่าซือฟุกับเขาจะเร่งมาช่วยชีวิตนาง แต่จนกระทั่งนางสูญเสียสติสัมปชัญญะก็ยังรอไม่ถึง……

สัมผัสได้ว่านางตัวสั่นเทา ฉินซีกอดนางแน่น ๆ ในใจยิ่งแค้นซงเฟิงซ่างเหรินขึ้นอีกหนึ่งส่วน เทียนเกอกล้าหาญมากมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้กลับทำเอานางหวาดกลัวขนาดนี้ ทราบได้ว่าเวลานั้นหวาดผวาสิ้นหวังเช่นไร

“เป็นซือฟุคิดหนทางได้” เขาไม่ได้เอ่ยถึงว่าตนเองใช้เลือดสกัด เพียงเอ่ยว่า “พวกเราจึงหาพบ โชคดีที่เจ้าไม่เป็นไร”

“พวกท่านมาช่วยข้าทันเวลาหรือ”

“ไม่ใช่ ตอนที่พวกเรามาถึง เจ้ากับจิ่งสิงจื่อล้วนสลบไปแล้ว” เห็นนางอารมณ์ฟื้นฟูสู่ปกติ ฉินซีบรรยายภาพเหตุการณ์ที่พบเห็นตอนที่มาถึงให้นางฟังทีละอย่าง จงใจระบุว่านางเพียงชุดชั้นนอกถูกฉีกขาด ชุดตัวในกลับครบถ้วน แล้วก็อยู่ห่างจากจิ่งสิงจื่อไประยะทางหนึ่ง

โม่เทียนเกอฟังไปทีละอย่าง ตกอยู่ในห้วงคิด

รอจนฉินซีพูดจบ นางถามว่า “นอกจากพวกเรา พวกท่านไม่เห็นคนอื่น?”

“ไม่มี” คำถามนี้ทำให้ฉินซีไม่เข้าใจ เขาเอ่ยว่า “จิ่งสิงจื่อพูดว่าคล้ายจะมีคนทุกเขาสลบ เจ้ายังจดจำได้หรือไม่”

โม่เทียนเกอค่อย ๆ ย้อนคิด เวลานั้น เนี่ยอู๋ชางผ่อนปรนต่อนาง ถั่วหอมสวรรค์พวกนั้นที่จริงแล้วนางไม่ได้กลืนลงไป เพียงมีน้ำบางส่วนไหลเข้าไป ดังนั้นได้รับผลกระทบ หลังจากป้อนถั่วหอมสวรรค์ให้พวกเขา ซงเฟิงซ่างเหรินก็จากไปพร้อมหัวเราะยกใหญ่ นางคิดว่าต้องช่วยเหลือตัวเอง สุดท้ายถั่วหอมสวรรค์ในปากล้วนบ้วนออกมา แต่ไม่รู้ว่าบนร่างถูกซงเฟิงซ่างเหรินลงมืออะไรเอาไว้ ระดับการฝึกตนถูกจำกัด สตินึกคิดก็ได้รับผลกระทบ สะลึมสะลือไม่มีกำลัง จากนั้นจิ่งสิงจื่อก็โถมมาฉีกเสื้อผ้าของนาง นางต่อต้านสุดชีวิต สุดท้ายยังนึกว่าตนเองหนีไม่พ้น พลังนั้นกลับหายไปอย่างกะทันหัน นางก็ต้านรับไม่ไหว สลบลงไป

“จริงด้วย!” จู่ ๆ นางคิดขึ้นมาได้ ก่อนที่จะสลบลงไปคล้ายจะได้ยินเสียงถอนหายใจ เสียงนั้นคุ้นเคยอยู่บ้าง นางคว้าเสื้อของฉินซี เอ่ยว่า “เป็นเนี่ยอู๋ชาง เป็นนางที่ช่วยข้า!”

“เนี่ยอู๋ชาง?” นี่เป็นใคร

“เนี่ยอู๋ชางเป็นศิษย์ของซงเฟิงซ่างเหริน ก่อนนี้พวกเราพบเจอนาง ก็เป็นนางที่ดึงซงเฟิงซ่างเหรินมา” คิดถึงเนี่ยอู๋ชาง โม่เทียนเกอก็ไม่รู้ไปพักหนึ่งว่าควรจะแค้นนางหรือว่าควรจะขอบคุณนาง ซงเฟิงซ่างเหรินเป็นผู้ที่นางพามา แต่สุดท้ายตนเองสามารถแคล้วคลาดได้อย่างโชคช่วยก็เป็นเพราะว่านางยื่นมือออกมาช่วยเหลืออีก

ฉินซีฟังนางค่อย ๆ พูดเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากทั้งสองคนพลังหลงกัน ยังมีเรื่องบางอย่างที่นางยังจดจำได้ สุดท้ายนางเอ่ยว่า “น่าจะเป็นเนี่ยอู๋ชาง ภายหลังนางกลับมาอีก ตีจิ่งสิงจื่อจนสลบ ข้าจดจำเสียงของนางได้”

ฉินซีเงียบงันไปช่วงหนึ่ง เอ่ยว่า “ยังดี…… สมน้ำหน้าซงเฟิงซ่างเหรินจริง ๆ หากเขามิได้ปฏิบัติต่อศิษย์ของตนเองอย่างนั้น เนี่ยกูเหนียงนางนี้จะเสี่ยงภัยมาช่วยพวกเจ้าได้อย่างไร ในความเห็นข้า ตอนที่พวกเจ้ากับนางหนีออกมาจากในหมอกหนา นางก็ไปแจ้งข่าวกับซือฟุตนเองแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าซงเฟิงซ่างเหรินจะถึงกับคิดแผนการไร้ยางอายขนาดนี้ออกมา” เขาหยุดไป เอ่ยต่อว่า “ถึงแม้เรื่องนี้นางก็มีส่วน แต่ถึงที่สุดแล้วนางช่วยเจ้า ภายหน้าพวกเราหากพบเจอนางลงมือเบาหน่อยก็พอ”

โม่เทียนเกอพยักหน้าแล้วก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “นางก็เป็นคนน่าสงสาร ซงเฟิงซ่างเหรินไหนเลยจะถือว่านางเป็นศิษย์ ถึงจะเป็นข้าทาสก็ไม่ได้ปฏิบัติด้วยอย่างนี้”

ฉินซียิ้ม ก้มตัวลงกอดนางแน่น ๆ อีก “ข้าเพียงดีใจที่เจ้าไม่เป็นไรจริง ๆ……”

หลังผ่านภัยพิบัติ อ้อมกอดเช่นนี้ทำให้โม่เทียนเกอรู้สึกเต็มตื้นเป็นที่ยิ่ง ทั้งสองคนกอดกันพักหนึ่ง จู่ ๆ นางถามว่า “ซือเกอ ถ้าหากเกิดเรื่องอย่างนี้จริง ๆ ท่านจะทำอย่างไร”

ฉินซีไม่ได้ปล่อยนาง ดังนั้นโม่เทียนเกอมองไม่เห็นสีหน้าของเขา ผ่านไปพักหนึ่ง เพียงได้ยินเขาเอ่ยว่า “ย่อมจะสับร่างซงเฟิงซ่างเหรินเป็นหมื่นชิ้น!”

นี่มิใช่คำตอบที่โม่เทียนเกออยากได้รับ นางไล่ถามอีกว่า “เช่นนั้นข้าเล่า ท่านยังจะต้องการข้าไหม”

ครั้งนี้ ฉินซีไม่ได้ตอบเป็นนาน นานจนตอนที่โม่เทียนเกอรู้สึกสิ้นหวังจึงได้ยินเขาหัวเราะออกมาเบา ๆ ปล่อยนางแล้วหันมาเผชิญหน้ากับนาง จริงใจไร้ที่เปรียบ “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไร เกิดเรื่องอะไร เจ้าล้วนเป็นโม่เทียนเกอ ข้ารักเจ้า ดังนั้นจะไม่มีทางไม่ต้องการเจ้าเด็ดขาด”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดว่าเขารักนาง

ถึงเรื่องพวกนี้จะไม่ได้เกิดขึ้น ถึงนี่เป็นเพียงแค่คำสัญญาหนึ่งประโยค แต่โม่เทียนเกอรู้สึกว่านางยังเต็มใจจะเชื่อ เชื่อว่าเขาไม่ได้โกหก

……………………………

ผู้เขียนเขียนท้ายตอนของตอนนี้ประมาณว่า ฉากหวานคงหมดแล้ว เลี่ยนจนรับไม่ได้ มากินโจ๊กใสผจญภัยกันต่อเถอะ!

ตอนที่ 304 – เถ้ากระดูก