ตอนที่ 54 จัดการบุตรชายผู้ไร้คุณธรรม

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 54 จัดการบุตรชายผู้ไร้คุณธรรม

“เชิญเทพทวารบาล! คุ้มครองปกป้องจากสิ่งชั่วร้าย ให้มีแต่ความปลอดภัยราบรื่น!”

หวังเทียนซงและหวังเสี่ยวเหลยนำภาพท่านเทพทวารบาลดินเข้าไปติดไว้ทั้งสองข้างประตูด้วยสีหน้าจริงจัง

เรือนหลังใหม่ได้สร้างขึ้นแล้วเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยยืนอยู่ข้างกายหนิงเซ่าชิงด้วยหัวใจอิ่มเอม

ในที่สุด นางก็ได้มีเรือนหลังน้อยเป็นของตนเอง เรือนก่อนหน้านั้นแม้จะนับว่าเป็นที่อยู่อาศัยเช่นกัน แต่ก็ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นของตนแต่อย่างใด ในใจของนางนั้นเหมือนมีบางอย่างเข้ามากั้น

จู่ๆ ข้างกายของนางก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นเข้ามาคว้ามือเล็กๆ ของนางเอาไว้

มั่วเชียนเสวี่ยมองไปพบว่ามือของหนิงเซ่าชิงยื่นเข้ามาจับมือตน แต่สายตาของเขาไม่ได้มองนางแต่อย่างใด ใบหน้าของเขามองไปยังเรือนด้วยท่าทางเคร่งขรึม ดูไม่ออกแม้แต่น้อยว่าเขามีความคิดจะซุกซนเช่นนี้

ท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนี้ มันช่าง…ประเจิดประเจ้อเสียจริง!

เซียนเซิงเป็นอะไรไป

ปกติแล้วท่าทางใกล้ชิดเช่นนี้เขามักจะเขินอาย แต่ในวันนี้กลับลืมคำว่ามารยาทเอาไว้ที่โรงเรียนแล้วหรือไร

มั่วเชียนเสวี่ยพยายามดึงมือออกเหตุเพราะเขินอาย!

ทว่ามือคู่นั้นกลับออกแรงมากขึ้นตามแรงดิ้นของนาง เขาบีบเอาไว้แรงขึ้น ความร้อนจากฝ่ามือของเขาส่งผ่านมายังฝ่ามือของนาง ซึมซาบเข้าไปกลางใจ

คาดว่าบัดนี้ในใจเขาก็คงจะชื่นบานมากเช่นกัน!

เมื่อพิธีการเสร็จสิ้นลงแล้ว ทั้งสองคนก็เดินจูงมือกันเข้าไปคารวะ มองไปคล้ายกับว่าทั้งสองกำลังให้คำสัญญาว่าจะรักกันไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย…

เมื่อคิดเช่นนี้นางก็ยิ่งรู้สึกหวานชื่น ใบหูของมั่วเชียนเสวี่ยแดงเรื่อแล้วเหลือบตาไปมองคนรอบข้าง นางพบว่าพวกเขาไม่ได้จับจ้องมาแล้ว จึงได้พยายามดึงมือออก กลับถูกเขาดึงเข้าอย่างแรงแล้วลากเข้าไปใกล้กว่าเดิม

หนิงเซ่าชิงยืนอยู่ตรงที่เดิมไม่ได้ขยับเขยื้อน เพียงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า

“จุดประทัด…”

พร้อมด้วยคำกล่าวนั้น ฝูงชนก็พากันแตกตื่นและวิ่งหลบ ซวนจื่อพาเด็กๆ กลุ่มหนึ่งเดินออกมาอย่างสง่า พวกเขาแบกเอาไม้ไผ่ออกมา ที่ปลายไม้ไผ่นั้นมีประทัดซึ่งถูกแขวนจัดเตรียมไว้อย่างดี

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีคนสองคนเดินเข้ามาจากด้านนอก มองเข้าไปในเรือนซ้ายขวาด้วยใบหน้าหิวกระหาย

เมื่อทั้งสองคนพบว่าประทัดกำลังจะถูกจุดขึ้น จึงได้แทรกตัวออกมาเอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า

“ช้าก่อน!”

เสียงที่จู่ๆ ดังขึ้นมานี้ มีจุดประสงค์เพื่อหยุดไม่ให้เด็กๆ จุดประทัดในมือ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว มือของซวนจื่อสั่นเทาและไฟก็ถูกจุดขึ้น

ดูก็รู้ว่าทั้งสองคนนี้จงใจเข้ามาก่อความวุ่นวาย!

เสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหว ฝูงชนพากันหันหลังกลับไปมองดูทั้งสองคนเมื่อครู่ พวกเขาชะงักลง ท่าทางเชื่องช้า ปรากฏต่อหน้าทุกคนในลานบ้าน

ซวนจื่อเหลือบตาไปมอง จากนั้นขยิบตาให้กับเด็กๆ พวกเด็กๆ จึงได้เดินนำประทัดยื่นเข้าไปใกล้ๆ กับทั้งสองคนนั้นอย่าง ‘ไม่ตั้งใจ’

สองคนนี้มาจากที่ใดกัน กล้าดีอย่างไรไม่เคารพท่านอาจารย์และภรรยา อีกทั้งยังต้องการขัดขวางพิธีวางคานหลังคาอันเป็นมงคลของท่านอาจารย์เช่นนี้ อย่าได้คิดเชียว

ทั้งสองคนพากันหลบอย่างอลหม่านซ้ายขวา เมื่อเด็กๆ เหล่านั้นตกใจ ไม้ไผ่ก็เอนไปมาไม่หยุดนิ่ง ประทัดจึงได้เอนไปมาตามทั้งสองคนนั้นด้วย ทำให้ทั้งสองคนถูกแรงระเบิดของประทัดทำให้ใบหน้าเต็มไปด้วยเขม่าดำหัวชี้ฟู

ไม่ว่าพวกเขาทั้งสองจะกระโดดโลดเต้นเพียงไรก็ไม่มีผู้ใดสนใจ

เมื่อเสียงประทัดสิ้นสุดลง หัวหน้าหมู่บ้านจึงได้ประกาศขึ้นว่า “สิ้นสุดพิธีการ…”

ผู้ที่อายุน้อยกว่าถูกประทัดระเบิดใส่เสียจนเสื้อผ้าเป็นรูพรุนเต็มไปทั่วตัว เขาวิ่งไล่เด็กๆ เหล่านั้นพลางดุด่าอย่างไม่มีชิ้นดี “ไปๆ ไปให้พ้น!”

ส่วนผู้อาวุโสกว่า บัดนี้เสื้อผ้าที่สวมใส่ปกคลุมไปด้วยเขม่าควันสีเทา ประโยคที่ออกมาจากปากของเขาก็ไม่น่าฟังเช่นกัน “บิดามันเถอะ เป็นบ้าไปแล้วรึไอ้พวกเด็กเวร!”

เขาพยายามจัดการกับสีหน้าของตนเอง จากนั้นเดินไปทางหัวหน้าหมู่บ้าน เอ่ยถามด้วยท่าทางดุดันแทบจะเอามือขึ้นบีบคอท่านหัวหน้าหมู่บ้านว่า “หัวหน้าหมู่บ้าน จำข้าไม่ได้แล้วหรือ ข้าคือหวังอวี๋ซาน!”

ที่จริงหัวหน้าหมู่บ้านจำเขาได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่คนผู้นี้ทำท่าทางหยิ่งผยองเสียจริง เขาจึงไม่อยากปฏิบัติด้วยอย่างเกรงอกเกรงใจ “หวังอวี๋ซาน? อ้อ ข้านึกขึ้นมาได้แล้วว่าเหมือนจะเคยมีคนชื่อนี้อยู่ ว่าแต่วันนี้เจ้าเดินทางมาเพื่อเหตุใด”

น้ำเสียงของหัวหน้าหมู่บ้านกล่าวอย่างเชื่องช้า สีหน้าบ่งบอกถึงความเหยียดหยัน “บิดาของเจ้าตายจากไปตั้งเจ็ดแปดปีแล้ว บัดนี้เจ้าเพิ่งคิดจะมาคารวะหลุมศพ ไม่ช้าเกินไปหน่อยหรือ”

“ใคร…ใครจะมาคารวะหลุมศพ”

“หากไม่ใช่เพราะเดินทางมาคารวะหลุมศพบิดาเจ้า แล้วเจ้าเดินทางมาเพื่อสิ่งใด”

“คารวะหลุมศพ?…เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง แต่ในวันนี้ข้ามีเรื่องจะกล่าว” หวังอวี๋ซานเมื่อได้ยินคำว่าคารวะหลุมศพ เขาก็โมโหขึ้นพร้อมทั้งพูดไม่ออก

เขานำมือขึ้นลูบเขม่าควันบนใบหน้า แล้วกล่าวอย่างดุเดือดว่า “ข้าจำได้ดีว่าที่แห่งนี้คือเรือนของตระกูลหวัง เป็นของข้าหวังอวี๋ซาน ด้านหลังนี้คือพื้นที่เพาะปลูกของตระกูลหวัง แล้วมันกลายไปเป็นของคนแซ่หนิงได้อย่างไร”

มั่วเชียนเสวี่ยโมโหขึ้นทันใด ส่วนหนิงเซ่าชิงยังคงทำหน้านิ่งเรียบ เมื่อหันไปมองทางหัวหน้าหมู่บ้านพบว่าเขามีท่าทางขุ่นเคือง คิ้วทั้งสองขมวดเข้าหากัน แต่กลับหาเหตุผลมาโต้เถียงไม่ได้

หวังอวี๋ซานเห็นว่าท่านหัวหน้าหมู่บ้านสีหน้าไม่สู้ดีนัก อีกทั้งคนอื่นๆ ก็พากันนิ่งเงียบ เขาจึงกล่าวอย่างจองหอว่า “อย่าได้คิดว่าบิดาของข้าตายไปแล้ว ประกอบกับข้าไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ พวกเจ้าจึงได้ยึดครองทรัพย์สินของข้าตามใจชอบ ที่ดินแห่งนี้เป็นของข้า ดังนั้นสิ่งก่อสร้างบนผืนดินแห่งนี้ก็ต้องเป็นของข้าด้วยเช่นกัน…”

ท่ามกลางฝูงชนเหล่านั้น คนบางส่วนพอจะจำขึ้นมาได้บ้าง จึงพากันวิจารณ์ไปต่างๆ นานา ทำให้เกิดเสียงดังจอแจขึ้นมาอีกครั้ง

“หวังอวี๋ซาน? บุตรชายผู้อกตัญญูที่แม้แต่วันที่บิดาจากโลกนี้ไปก็ยังไม่เดินทางมาคารวะงั้นหรือ…”

“ก็ใช่นะสิ ยังมีหน้ากลับมาอยู่อีก หึๆ ศักดิ์ศรีของหมู่บ้านหวังจยาถูกเขาทำให้เสียสิ้นแล้ว”

“กว่าสิบปีแล้วที่เขาไม่ได้เดินทางกลับมา บัดนี้เขาตั้งใจมาก่อความวุ่นวายอะไรกัน…”

ไม่มีผู้ใดนิ่งดูดาย ล้วนแต่พากันด่าทอทั้งสอง บรรดาชายหนุ่มที่ช่วยออกแรงสร้างบ้าน อีกทั้งบรรดาหญิงสาวที่เข้ามาช่วยเหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ล้วนรู้สึกเห็นอกเห็นใจและเป็นห่วงมั่วเชียนเสวี่ยยิ่งนัก…

บัดนี้ในใจของมั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมามากทีเดียว บ้านได้สร้างเสร็จแล้ว และคนเหล่านี้นางไม่เคยจะเอาเปรียบผู้ใดเลยแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้นางได้จ่ายค่าแรงให้แก่ชายหนุ่มที่เป็นคนก่อสร้างวันละยี่สิบอีแปะ ตอนแรกพวกเขาไม่รับ หลังจากพยายามยัดเยียดไปมาอยู่สองสามครั้ง ในที่สุดพวกเขาก็รับไว้

ส่วนบรรดาหญิงสาวที่เข้ามาช่วยเหลืองานเล็กน้อย อาทิเช่น ยกน้ำชา รินน้ำอะไรเหล่านี้ แม้จะไม่ได้ให้เงินเป็นค่าตอบแทน แต่ก็มีอาหารการกินต้อนรับอย่างดี

มั่วเชียนเสวี่ยรู้ดีแก่ใจว่าบรรดาสตรีในสมัยโบราณนั้นชีวิตช่างลำบากยากเย็น ในแต่ละวันนอกจากจะต้องคอยปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่สามีแล้ว ยังต้องคอยดูแลสามีของตน คอยเลี้ยงดูลูกอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านใดๆ พวกนางต้องคอยดูแล แต่พวกนางกลับต้องคอยกินอาหารเหลือจากคนในบ้าน เห็นได้ชัดว่าชีวิตการเป็นอยู่ลำบากเพียงใด

ดังนั้นมั่วเชียนเสวี่ยจึงไม่ได้เป็นเช่นผู้อื่นที่ให้พวกนางกินอาหารเหลือจากบุรุษ ตรงกันข้ามขณะที่บรรดาบุรุษรับประทานอาหาร ก็ได้จัดอาหารขึ้นสำหรับหญิงเหล่านี้กินพร้อมกัน

มักมีบรรดาสตรีเข้ามาร้องขอด้วยหน้าแดงเรื่อว่า จะนำอาหารเหลือที่กินไม่หมดห่อกลับบ้าน ซึ่งแต่ละครั้งมั่วเชียนเสวี่ยก็อนุญาตโดยไม่ขัดข้องแต่อย่างใด

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้คำกล่าวหาอันไร้ยางอายของชายทั้งสองคนนี้ไม่เป็นผล

ผู้ที่เดินทางมามีวัตถุประสงค์ไม่ดี หากมีวัตถุประสงค์ดีคงไม่เดินทางมา!

เกรงว่าเรื่องนี้จะจัดการยากเสียแล้ว

มั่วเชียนเสวี่ยมองไปยังรอบด้านด้วยสายตาโกรธเคือง ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่จะเข้ามายึดครองบ้านหลังใหม่ของนางที่สร้างมาอย่างยากลำบาก ฝันไปเถิด!

ที่มาของบ้านหลังนี้มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินมาจากอาซ้อฟางอย่างละเอียด ในตอนนั้นนางยังถอนหายใจออกมาด้วยความหดหู่

แท้จริงแล้วจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ เจ้าของเรือนแห่งนี้ไม่ใช่หวังอวี๋ซาน

แต่เจ้าของเดิมแห่งนี้ บรรดาผู้คนในหมู่บ้านเรียกเขาว่าหวังเหล่าเตีย หวังเหล่าเตียพาหวังต้ามาภรรยาของเขาเดินทางมายังที่แห่งนี้ และทำการค้าขายแป้งกับขี้ผึ้งอยู่ที่เมืองเทียนเซียง ทั้งสองไม่มีบุตรด้วยกันจึงได้เดินทางกลับมาที่หมู่บ้าน ขอร้องให้หัวหน้าหมู่บ้านช่วยเหลือ กระทั่งในที่สุดจึงได้ขอรับบุตรชายคนหนึ่งจากญาติมาเป็นบุตรชายของตน