บทที่ 51 เจ้าไม่ใช่มนุษย์

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 51 เจ้าไม่ใช่มนุษย์

บทที่ 51 เจ้าไม่ใช่มนุษย์

กองทัพเผ่ามนุษย์ถืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ พลางเอ่ยท่องบางอย่าง ดวงหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ขณะที่พวกเขาก้าวมาข้างหน้า ยืนหยัดประจันหน้ากับเขาในทันที

ลู่หยวนสามารถสัมผัสกลิ่นอายได้ พวกเขาส่วนใหญ่อยู่ขั้นเทียมเซียนและเทียมเทพ คนเหล่านี้คือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย อาวุธวิเศษที่พวกเขาถือในมือไม่ใช่ของธรรมดา

ชายหนุ่มยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันแข็งแกร่ง และมีพลังมารพุ่งขึ้นสู่ท้องนภาปกคลุมโลกทั้งใบเอาไว้

เขาถือกระบี่ด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนฟาดฟันลงไป จนยอดฝีมือนับไม่ถ้วนแม้กระทั่งยอดฝีมือผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่อาจต้านทานไหว ต่างถูกปราณกระบี่บดขยี้เป็นผุยผง

ผู้คนทั่วท้องนภาต่างรีบเร่งขึ้นไป ราวกับกระแสน้ำที่ยังคงไหลหลั่งเข้ามา

บุตรศักดิ์สิทธิ์ยังคงยกกระบี่ขึ้นแล้วฟาดลงไป โจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า เลือดสาดครั้งแล้วครั้งเล่า สังหารอย่างไร้ที่สิ้นสุด

จนกระทั่ง…

เหง่งหง่าง!

เสียงของระฆังขนาดใหญ่ดังมาจากสวรรค์ทั้งเก้า ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหว เห็นเพียงแสงวาบของปราณกระบี่ จากนั้นมุมหนึ่งของพลังมารที่อยู่ไม่ไกลพลันขาดสะบั้น เกิดแสงสว่างพวยพุ่งออกมาสาดส่องปฐพี

ในแสงสว่างนั่น หญิงสาวราวกับพระแม่จิ่วเทียนเสวียนหนี่ว์*[1] เดินออกมาช้า ๆ ครั้นนางเยื้องย่างมาหา หนึ่งก้าว… กลิ่นคาวเลือดทั้งหมดในท้องนภาพลันถูกชะล้าง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกสงบนิ่ง ก้าวที่สอง… พลังแห่งกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์และโลกหวนคืนความสงบ

ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นท่านปรมาจารย์หรือผู้กลายเป็นเซียน ล้วนคุกเข่าลงกับพื้น กราบไหว้ร่างกลางท้องนภาคนแล้วคนเล่า พวกเขาส่งเสียงโห่ร้องพร้อมกัน ด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี ราวกับได้พบพระผู้ช่วย

ดวงตาของลู่หยวนเบิกกว้าง ต้องการเพ่งมองคนผู้นี้ให้ชัดเจน แต่กลับพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายคล้ายกับถูกปกคลุมด้วยชั้นหมอก จนไม่สามารถมองเห็นได้เด่นชัด

หญิงสาวยืนอยู่กลางท้องนภา ยกกระบี่ยอดครามที่หักครึ่งในมือขึ้นช้า ๆ เสียงนุ่มกังวานของนางค่อย ๆ ดังขึ้นราวกับวสันตฤดูจากสวรรค์ทั้งเก้า อันเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนแต่ทรงพลัง “จอมมาร วันนี้…”

วิ้งงง!

เสียงเสียดแทงดังขึ้น ลู่หยวนพลันลืมตาขึ้นมา สิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ทุ่งสังหารไร้ที่สิ้นสุด แต่กลับมาเป็นวิหารโบราณทรุดโทรมดังเดิม และพลังมารมหาศาลรอบข้างได้สลายไปแล้ว

เขาหอบหายใจเล็กน้อย ราวกับบางสิ่งถูกยัดเข้ามาในสมองจนปวดหัวไปหมด

ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มก็กลับมามีสติ

เขายังคงจำทุกสิ่งที่อยู่ในความฝันเมื่อครู่ได้เจ็ดในสิบส่วน

เห็นได้ชัดว่าตนเองกำลังอยู่ระหว่างการบ่มเพาะแก่นโลหิต แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงเข้าสู่ห้วงนิทรา จนฝันเช่นนั้นขึ้นมา

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกว่าความฝันนี้มันช่างคุ้นเคย

“ระบบ เมื่อครู่ข้าฝัน เจ้าสามารถอ่านและวิเคราะห์ได้หรือไม่?”

[ไม่ได้]

ลู่หยวนสงบจิตใจลง จากประสบการณ์ที่เฝ้าดูมาหลายปี ความฝันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อครู่พลังมารกำลังพุ่งทะยาน และเขากำลังต่อสู้กับโลกทั้งใบ บรรยากาศโดยรอบเห็นได้ชัดว่ามันเป็นช่วงเวลาหลายแสนปีก่อน มันคือปรากฏการณ์เมื่อครั้งที่โลกนี้เข้าห้ำหั่นกับเผ่ามารครั้งแรก

แต่เขาจำได้ชัดเจนว่า ในบันทึกประวัติศาสตร์ของแผ่นดินหยวนหง การต่อสู้ครั้งนี้คือการต่อสู้ที่ทุกคนร่วมมือกัน เพื่อจัดการกับจอมมารจนได้รับชัยชนะมา

สิ่งที่บุตรศักดิ์สิทธิ์รับรู้ในความฝัน นอกจากพลังที่ไม่ธรรมดาของหญิงสาวแล้ว มนุษย์ที่เหลือล้วนเป็นมดปลวกธรรมดา ไม่คู่ควรที่จะชายตามอง

ทุกบันทึกหรือข่าวลือในแผ่นดินหยวนหง ไม่มีการกล่าวถึงหญิงสาวผู้มาจากท้องนภา!

ลู่หยวนทำได้เพียงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ

“ระบบ ตรวจสอบข้อมูลข้าที”

[นาม : ลู่หยวน

สถานะ : บุตรศักดิ์สิทธิ์ตระกูลลู่ เเห่งเผ่าธารสุญญะแดนเหนือ

ฐานการบ่มเพาะ : ขั้นจักรพรรดิยุทธ์ ระดับสมบูรณ์

พลัง : เนตรเทวะ

วิชา : ยันต์สวรรค์บรรพกาล

สายเลือด : มาร

สมบัติศักดิ์สิทธิ์ : ไม่มี

ผู้ติดตาม : เฉาหง ซวี่รั่วหลิง กุ่ยซู่]

ลู่หยวนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาได้รับหลายสิ่งจากการเดินทางมาตระกูลไป๋ครั้งนี้ ไม่เพียงแค่การบ่มเพาะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากระดับต้นของขั้นจักรพรรดิยุทธ์ สู่ระดับสมบูรณ์ของขั้นจักรพรรดิยุทธ์ แม้กระทั่งสายเลือดมารก็พัฒนาขึ้น จากหนึ่งในร้อย เป็นหนึ่งในห้าสิบ

เขากระตุ้นพลังวิญญาณในร่างกายเล็กน้อย จนสัมผัสได้ว่าความเร็วของการบ่มเพาะในครั้งนี้กลับมาราบรื่นดังเดิม ราวกับพันธนาการของสายเลือดแก่นโลหิตมารสลายไปชั่วคราว

ลู่หยวนยืนขึ้น ติดยันต์บนตัวเขาอีกครั้ง ทำให้พลังมารทั่วทั้งร่างกายสลายไป ส่วนพลังมารที่ปกคลุมนอกวิหารโบราณก็หายไปเกือบหมดสิ้นแล้วเช่นกัน

เขาเงยหน้าขึ้น และพบว่ารูปปั้นหินพังทลายลงมาบ้างแล้ว ซึ่งบนรูปปั้นหินที่แตกหัก เส้นลวดลายตรงหว่างคิ้วก็หายไปเช่นกัน ขณะที่หอคอยอสูรสวรรค์ยังคงลอยอยู่ในอากาศธาตุ พลางหมุนไปมาช้า ๆ

ทันทีที่ลู่หยวนยื่นมือออกไป หอคอยอสูรสวรรค์ก็กลับมาอยู่ในมือ ราวกับครั้งนี้มันถูกใจในตัวชายหนุ่มยิ่งนัก มันจึงหมุนเร็วมากยิ่งขึ้น

บุตรศักดิ์สิทธิ์สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของหอคอยอสูรสวรรค์ได้เช่นกัน ถึงแม้จะมีฐานเพียงหนึ่งชั้นกับหลังคามุมสามเหลี่ยม ตรงกลางยังคงว่างเปล่า แต่ก็เชื่อมต่อแนวตั้งกับแนวนอนด้วยพลังมาร

แต่ฐานที่เดิมแตกร้าว ตอนนี้กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เมื่อเทียบกับส่วนอื่น ๆ แล้ว มันดูเหมือนอาวุธวิเศษขึ้นมาบ้าง

“ระบบ ตรวจสอบหอคอยอสูรสวรรค์อีกครั้ง”

[ระบบกำลังตรวจสอบ]

[ตรวจสอบเสร็จสิ้น!]

[การเปลี่ยนแปลงของหอคอยอสูรสวรรค์เสร็จสิ้น!]

[ขั้นอาวุธในตอนนี้คือระดับสวรรค์!]

[หน้าที่คือค้นหากุญแจ!]

ลู่หยวนตกตะลึง อาวุธระดับสวรรค์หรือ?!

แผ่นดินหยวนหงไม่ได้ผลิตอาวุธวิเศษมาหลายแสนปีแล้ว ถึงแม้โลกจะบอกว่าพวกมันล้วนสูญหายจนหมดสิ้น แต่ในฐานะที่เขาเป็นสมาชิกของตระกูล ย่อมรู้ว่ามันยังหลงเหลืออยู่บางส่วน เพียงแต่ถูกเจ้าของซ่อนเอาไว้เท่านั้น

ในตระกูลลู่ มีอาวุธวิเศษอยู่หนึ่งชิ้น มันซ่อนอยู่ในห้องโถงบรรพชน ดังนั้นหากตระกูลไม่ถูกทำลาย ย่อมไม่มีทางเอาออกมาได้โดยง่าย

ตอนนี้ เขามีอาวุธวิเศษหนึ่งชิ้นเช่นกัน…

หากอาวุธวิเศษชิ้นนี้ถือกำเนิดขึ้นมา มันจะก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ในโลก

[ระบบขอแจ้งให้ทราบว่า ตรวจพบหอคอยอสูรสวรรค์เป็นอาวุธวิเศษ หน้าที่ของมันคือกำราบตัวตนที่อยู่ตรงข้ามกับโลกนี้ ตอนนี้ชั้นล่างได้รับการฟื้นฟูแล้ว และมีมารอยู่ข้างใน รบกวนท่านตรวจสอบด้วย!]

มารหรือ?

ลู่หยวนขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่อาวุธวิเศษธรรมดา แต่เป็นคุกที่ใช้กักขังอย่างนั้นหรือ?

ชายหนุ่มสนใจใคร่รู้ที่จะเข้าไปดู เขาไม่เคยเห็นมาก่อนว่ามารตนอื่นหน้าตาเป็นอย่างไร

ด้วยความคิด เขาก็มุ่งจิตเทวะของเขาเข้าสู่ชั้นล่างของหอคอยอสูรสวรรค์

ทันทีที่เข้าไป เขาพบว่าข้างในมืดสนิทจนไม่อาจมองเห็นนิ้วมือตัวเองได้ แต่บุตรศักดิ์สิทธิ์มีเบิกเนตรเทวะ

อยู่กับตัว ไม่ว่าจะมองไปที่ใด มันก็ไม่ต่างจากเวลากลางวัน

ลู่หยวนตรวจสอบรอบข้าง สายตาจับจ้องโซ่ขนาดใหญ่สองเส้นที่อยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งโซ่สองเส้นหนาเท่ากับคนหนึ่งคน ปลายด้านหนึ่งเชื่อมต่อกับหอคอยอสูรสวรรค์ ปลายอีกด้านล่ามร่างหนึ่งเอาไว้

คนผู้นี้ร่างผอม อายุราวสิบปี เนื้อตัวสกปรกมอมแมม สวมเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิต ร่างนั้นคุกเข่าอยู่กับพื้นขณะหมอบศีรษะ ทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน

ชายหนุ่มก้าวมาข้างหน้า ก่อนใช้เท้าเชยคางของนักโทษผู้นี้ขึ้น

ใบหน้าไร้ที่ติปรากฏสู่สายตา …คนผู้นี้เป็นสตรี!

หญิงสาวหลับตาอยู่ แต่เมื่อถูกลู่หยวนเชยคางแบบนั้นเข้า นางคล้ายกับได้สติขึ้นมา ก่อนจะลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาสีม่วงดอกหลันฮวาคู่หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า

เมื่อพบผู้มาเยือน ร่างนั้นก็ไม่มีท่าทีแปลกใจ กลับยังเผยรอยยิ้มออกมาและกล่าวว่า “หนึ่งล้านปีมาแล้ว ในที่สุดก็มีคนเป็นมาหาข้าอย่างนั้นหรือ?”

“ไม่สิ เจ้าไม่ใช่มนุษย์ เจ้าเป็นเผ่ามาร”