อาวุโสใหญ่วางฉินจิ่วเกอลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล
“ถึงพรรคหลิงเซียวแล้ว เจ้าเดินเข้าไปก่อน ข้าจะเรียกประชุมอาวุโสที่ลานชุมนุมสักหน่อย”
จวบกระทั่งฉินจิ่วเกอยืนมั่นแล้ว คนจึงเหินร่างไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ทุกวันนี้ เทพเซียนทั้งหลายล้วนแต่บินเหินเดินอากาศกันทั้งนั้น ต้องมาเดินเท้าเช่นนี้ช่างไม่คุ้นเคยเลยจริงๆ
เอาเถอะ ถึงแล้วก็คือถึงแล้ว หญ้าวิญญาณแสงที่รวบรวมมาได้เทียบกับจำนวนที่อาวุโสสี่เรียกร้องแล้วยังมากมายกว่ากันอยู่อักโข
แต่ก็ล่วงเลยกำหนดเวลาแล้วเช่นกัน
ฉินจิ่วเกอจึงได้แต่ต้องใช้ปริมาณกลบบังข้อด้อย หวังว่าจะชดเชยให้กับหัวใจอันเปราะบางของอาวุโสสี่ได้
มันหอบหิ้วหญ้าจิตวิญญาณแสงขึ้นมา ขณะเดียวกันก็แสร้งทำเป็นเหนื่อยอ่อนแทบขาดใจไปด้วย
หญ้าจิตวิญญาณแสงกองนั้น เทียบกับมันแล้วยังสูงกว่า
มองจากที่ไกลๆ คนอาจหลงนึกว่าไปจิตวิญญาณแห่งหุบเขาได้ออกมาเยือนโลกมนุษย์แล้ว หรือไม่ก็อสูรพฤกษาออกอาละวาด
ร่างอันบอบบางของฉินจิ่วเกอถูกกอหญ้าบดบังจนมิด ยามก้าวเดินทัศนวิสัยของมันจึงคับแคบแทบมองอะไรไม่เห็น เหงื่อเม็ดโป้งกลิ้งผ่านใบหน้าอันคมคายเม็ดแล้วเม็ดเล่า เห็นได้ว่าลำบากลำบนขนาดไหน
อาวุโสสานุศิษย์ภายในพรรคอดอยากปากแห้ง เช่นนั้นคงไม่ดีแล้ว!
“ข้าแบกหามหญ้าจิตวิญญาณแสงที่หนักนับร้อยจินเป็นระยะทางร้อยลี้นับแต่นครซวนอู่ ล่าช้าเกินกำหนดเวลาจึงเป็นเรื่องปกติ”
เมื่อหาข้ออ้างได้สำเร็จ ฉินจิ่วเกอก็ทำท่าเหมือนสมองเสื่อมขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ทำทีเป็นมองข้ามเรื่องที่ตนมาถึงปากทางเข้าพรรคหลิงเซียวอย่างน่ามหัศจรรย์ได้อย่างไรไป
เลยแผ่นป้ายที่กำกับชื่อพรรคหลิงเซียวเอาไว้ คือขั้นบันไดเก้าสิบเก้าขั้นที่เจาะสร้างขึ้นบนเชิงเขาศิลา แต่ละขั้นสูงครึ่งเมตรกว้างสามเมตร ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่เกรียงไกร
ปีนป่ายขั้นบันไดที่อลังการยิ่งใหญ่กว่าตำหนักกระดิ่งทองก็จะเจอกับประตูสีแดงดั่งหงส์อัคคีอันสูงตระหง่านและตำหนักน้อยใหญ่
ด้านบน คือประตูใหญ่พรรคหลิงเซียว
ณ ประตูทางเข้าพรรค เป็นศิษย์น้องสี่หนิวว่านซานที่กำลังเสี่ยงทาย
มันกำลังทำท่าวางโต บงการศิษย์ฝ่ายนอกสองคนทำความสะอาดขั้นบันได
อารมณ์เจ้าอ้วนน่าตายไม่ดีอย่างยิ่ง อันที่จริงไม่ต่างจากโจวป้าผี(นายจ้างหน้าเลือด) เข้าสิงสู่ บนศีรษะรัดพันไว้ด้วยแถบผ้าสีเขียว ดูไปสบายตายิ่ง
ฉินจิ่วเกอมองเห็นเจ้าอ้วนน่าตายแต่ไกล หากแต่ไม่ได้เรียกหาอีกฝ่าย เดินขึ้นบันไดพลางแบกหญ้าวิญญาณแสงไปด้วยตัวคนเดียว
เมื่อเล่นละครก็ต้องเล่นให้สุด เพื่อเสแสร้งว่าตนเองเก็บเกี่ยวหญ้าวิญญาณแสงมาด้วยความลำบากยากเข็ญปานใด ทุกฝีก้าวของฉินจิ่วเกอ ต้องทิ้งรอยเท้าลึกไว้บนศิลาภูเขา
“กวาดตรงนี้ให้สะอาดๆ หน่อย อย่าทำอะไรลวกๆ”
“เร็วเข้า สาดน้ำอีกหน่อยค่อยกวาดถู ฝุ่งผงมากมายปานนี้ จะขึ้นเวทีได้อย่างไร?”
“ช้าเกินไปแล้ว ศิษย์พี่รองใกล้ขึ้นรับตำแหน่ง ถึงตอนนั้นยังต้องปูพรมแดงอีก”
น้ำเสียงสุขสมปรารถนาของเจ้าอ้วนน่าตายลอยมาเข้าหูของฉินจิ่วเกอไม่หยุด
ไชโย เจ้าอ้วนน่าตายที่ไร้กระดูกสันหลัง ตอนนี้เปลี่ยนไปเข้าทางฝ่ายตรงข้ามแล้ว ไม่อาจปล่อยเจ้าเด็กน้อยลั่วเฉินไปได้ ไม่เช่นนั้นพรรคหลิงเซียวคงถูกมันบงการเพียงผู้เดียว
“ฮ่าฮ่า เจ้าอ้วนกลับบรรลุชั้นหลอมวิญญาณขั้นแปด ความสามารถไม่อ่อนด้อย ดูท่าพรสวรรค์ของมันคงไม่เลว”
ฉินจิ่วเกอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองประเมินเจ้าอ้วนน่าตาย ระดับความก้าวหน้าของอีกฝ่ายพอฝืนชมเชยได้บ้าง
ทอดตามองทั่วพรรคหลิงเซียว นอกจากอาวุโสไม่กี่ท่านที่ล้ำลึกสุดหยั่งถึง ประชากรที่เหลือล้วนไม่อยู่ในสายตาฉินจิ่วเกอ
มือเจ้าอ้วนน่าตายถือไว้ด้วยกิ่งหลิว ท่วงท่าราวกับหญิงสาวกระเตงถังน้ำข้างสะเอว ดังเช่นไก่ดินปั้นสุนัขหม้อ เป็นตัวไร้ประโยชน์ในพรรคอย่างแท้จริง
ร่างสูงแปดฉื่อเอวกว้างแปดฉื่อ เจ้าอ้วนไม่สนใจการรักษารูปลักษณ์ขัดเกลาตนเองอันใด เสื้อผ้าเพียงสามารถคลุมกายมิดเป็นอันใช้ได้แล้ว
มองดูการแต่งกายของมัน เปรียบกับเมื่อครึ่งเดือนก่อนยิ่งมอซอ ดูราวกับเมล็ดพุทราที่ถูกห่อด้วยใบพุทราอย่างไงอย่างงั้น ผ้าห่อตัวมันผืนหนึ่งสามารถตัดออกมาเป็นชุดได้หลายชุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงผมของมัน กระจุกผมอันน้อยนิดรวบมวยเป็นก้อนซาลาเปาขดอยู่บนยอดศีรษะ พันไว้ด้วยสายรัดสีเขียว ก่อนเสียบไว้ด้วยไม้ท่อนหนึ่ง
ทรงผมนี้ ไม่ทราบเป็นเพราะด้านความรักของมันประสบหายนะอันใดใช่หรือไม่
เห็นสภาพของเจ้าอ้วนยามนี้แล้วฉินจิ่วเกอพลันนึกถึงซามูไรอวบอ้วนสมัยบาคุฟุขึ้นมา หากสะพายดาบโค้งเอาไว้ก็เหมือนเลย
ฉินจิ่วเกอเข้าใกล้ประตูพรรคหลิงเซียวเข้าไปทุกที พร้อมที่จะก้าวเข้าไปด้วยสีหน้าอันสัตย์ซื่อได้ทุกเมื่อ
เจ้าอ้วนน่าตายผู้หวังสูงหากไร้ความสามารถ อาจจดจำไม่ได้ว่าคนผู้นี้ก็คือศัตรูตัวฉกาจของตน หลงนึกไปว่าอีกฝ่ายเป็นแค่คนส่งผัก แต่หญ้ากองนั้นกลับมีขนาดไม่ด้อยไปกว่าตนทีเดียว
“เจ้าน่ะ คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” เจ้าอ้วนน่าตายวางอำนาจ
ฉินจิ่วเกอที่รอให้เจ้าอ้วนแสดงท่าทีเพื่อจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการลงมือ ในที่สุดก็สบโอกาส หญ้ากองนั้นถูกเขวี้ยงลงพื้น คนพุ่งใส่เจ้าอ้วนพร้อมออกหมัดวาดเท้าเสียจนวุ่นวาย
ศิษย์ฝ่ายนอกสองคนที่กำลังกวาดขั้นบันไดคล้ายพบเห็นอู่ซงตีเสือ* เรียกได้ว่าเป็นฉากคลาสสิคเสมือนวีรบุรุษที่ปล้นชิงคนรวยช่วยคนจน ช่วยเหลือศิษย์ฝ่ายนอกอย่างพวกตนจากเงื้อมมือปีศาจสุกร ดูแล้วช่างน่าตื้นตันใจจนแทบหลั่งน้ำตา
จะติดก็แค่พยัคฆ์ที่ถูกทุบตีคือพยัคฆ์อวบอ้วนตัวหนึ่ง แต่ก็ถือว่าศิษย์พี่ใหญ่ช่วยระบายความแค้นใจแทนพวกตนแล้ว
ช้าก่อน ศิษย์พี่ใหญ่?
ศิษย์ฝ่ายนอกสองคนนั้นพร้อมใจกันโยนไม้กวาดไปคนละทาง สับเท้าวิ่งปราดกลับเข้าพรรคก่อนจะปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา ปล่อยให้เจ้าอ้วนน่าตายเผชิญชะตากรรมไปเพียงลำพัง
“ศิษย์พี่ใหญ่?” เจ้าอ้วนน่าตายปากอ้าตาค้าง แก้มพองดั่งคางคก ตาเบิกกว้างแทบถลน
นี่อยู่เหนือความคาดหมายของมันโดยสิ้นเชิง ที่แท้ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้สละเลือดเนื้อตกตายในสนามรบ ภายในพรรคยามนี้ สืบเนื่องจากการติดสินบนและการประกาศข่าวโคมลอยโดยมีมันเป็นต้นเหตุ แม้แต่คณะเจ้าภาพงานศพก็ล้วนแต่งตั้งเสร็จสรรพหมดแล้ว
เหลือแค่ให้ศิษย์พี่รองขึ้นบัลลังก์ งานพิธีศพของฉินจิ่วเกอก็จะจัดขึ้นในเวลาเดียวกัน
พรรคหลิงเซียวประกาศความสำเร็จสู่ภายนอก ผู้คนทั้งหมดล้วนเบิกบานใจยิ่ง ต่างจับจูงมือกัน
เต้นระบำฉลองรอบกองไฟย่างหมูหัน
เจ้าอ้วนน่าตายจินตนาการภาพเอาไว้ตามนี้ ที่จริงอีกไม่กี่วันก็จะกลายเป็นความจริง ไหนเลยจะทราบคนดีอายุสั้น คำสาปยืนยาวนับพันปี
สวรรค์ไม่ยุติธรรม เหตุใดต้องเป็นเช่นนี้!
“ทำไม ไม่ดีใจเรอะ?”
ฉินจิ่วเกอแยกเขี้ยวขาววาววับของมันออก แผ่กลิ่นอายกดดันใส่เจ้าอ้วนจนหัวหด
เจ้าอ้วนน่าตายไม่ใช่นักรบพลีชีพ สังขารของมันไม่ได้ทำจากเหล็กไหล คนสูดลมหายใจ เอ่ยวาจาออกมาจากใจจริง “ศิษย์น้องขอแสดงความยินดีที่ศิษย์พี่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ มิใช่ๆ เป็นหวนกลับคืนมาพร้อมเกียรติยศ”
“เมื่อกี้ใครเพิ่งพูดว่าแสดงความยินดีศิษย์พี่รองเลื่อนตำแหน่ง เป็นเจ้าพูดใช่หรือไม่?”
เจ้าอ้วนสั่นศีรษะปฏิเสธเด็ดขาด แข็งแกร่งเกินไปแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ไฉนกลายเป็นเข้มแข็งขึ้นถึงเพียงนี้ มันรู้สึกได้ว่าตนเองไม่ใช่คู่มืออีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
ประกายตาไร้ไมตรีจากศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ต่างจากสายตาที่ใช้มองหมูหันอันโอชะ เจ้าอ้วนน่าตายวุ่นวายใจยิ่ง
“ให้ข้าดู” ฉินจิ่วเกอกระชากกระดาษแสดงความยินดีในมือของเจ้าอ้วนออกมา อ่านออกเสียงดัง “ขอแสดงความยินดีศิษย์พี่รองครอบครองตำแหน่งใหม่ เชิญกล่าวสุนทรพจน์เปิดงานพิธีไว้อาลัยต่อศิษย์พี่ใหญ่”
“เจ้าเขียน?” สายตาฉินจิ่วเกอดุจกระบี่ ฝ่ามือราวคมขวาน ปลายลิ้นดั่งมีดดาบ
เจ้าอ้วนน่าตายพลันกลายเป็นโง่งมไร้เดียงสา แบฝ่ามืออวบขาวออกมาอย่างโง่งม เอ่ยเสียงสั่น “อะไร นั่นมันอะไร ทำไมจู่ๆ ถึงมาอยู่ในมือของข้าได้ ใครเอามายัดใส่มือข้ากันล่ะเนี่ย ศิษย์พี่ใหญ่ ต้องมีคนคิดร้ายยุยงให้คนแตกแยกเป็นแน่ ข้าไม่มีทางทำเรื่องทรยศมิตรส่งเสริมศัตรูกับท่านโดยเด็ดขาด”
“วางใจเถอะ ข้าไม่ถือสา” เสียงฉ่าฉ่า กระดาษแสดงความยินดีในมือฉินจิ่วเกอก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
“ไปเรียกรวมศิษย์นอกที่ลานกลางของพรรค อีกเดี๋ยวจะมีเรื่องใหญ่ประกาศให้ทราบ”
ฉินจิ่วเกอคิดสร้างความกระจ่างแก่เบื้องสูงเบื้องต่ำทั้งหมดในพรรคหลิงเซียว มันแม้มิใช่ตัวเอก แต่ก็มิใช่พลับอ่อนให้ผู้อื่นเคี้ยวกลืนโดยง่าย
เจ้าอ้วนโล่งอกโล่งใจคล้ายได้รับการอภัยโทษ มันไม่คาดคิดเด็ดขาดว่าศิษย์พี่ใหญ่ไม่คิดบัญชีมัน
จากนั้น ศิลาวิญญาณร่วงหล่นลงแทบเท้าของเจ้าอ้วนน่าตาย ยิ่งทำให้มันต้องปาดเช็ดน้ำตา
“เอ้า ก่อนหน้านี้ที่หยิบยืมศิลาวิญญาณเจ้ามา ข้าคืนให้เจ้าสองเท่า ต่อไปจะไม่เป็นเช่นนี้อีก และหากเจ้ากล้าพูดไม่ดีเกี่ยวกับข้าอีกล่ะก็ เฮอะเฮอะ”
ฉินจิ่วเกอทักทายสามทวารล่าง (หน้าท้อง ของสงวน และเท้า ในที่นี้หมายถึงของสงวน) ของเจ้าอ้วนน่าตาย อันที่จริงคนเราตัดออกไปบางส่วนก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี
ยกตัวอย่างเช่นช่วยลดแรงเสียดทาน ลดทอนอุปสรรคทางกายภาพ ฝึกฝนคัมภีร์ทานตะวันได้ไม่มีทางถูกธาตุไฟเข้าแทรก แท้ที่จริงมีประโยชน์มหาศาล
“ได้ ข้ารับประกัน บุคลิกภาพและจิตใจของศิษย์พี่ใหญ่สร้างความเลื่อมใสแก่ข้านัก ประดุจดั่งวารีไหลสู่แม่น้ำไม่ขาดสาย ยิ่งราวกับหวงเหอในฤดูน้ำหลาก เมื่อเริ่มต้นก็สุดจะเหนี่ยวรั้ง”
หลังงัดทั้งพระเดชพระคุณออกมา เจ้าอ้วนน่าตายไม่กล้าคิดแค้นต่อฉินจิ่วเกอ ยิ่งบังเกิดความเข้าใจใหม่ต่อพลังฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่
ในฐานะผู้เป็นใหญ่ ไม่จำเป็นต้องใช้ฝีมือหรือภูมิปัญญาอันใดมาก ฉินจิ่วเกอมีอาวุโสใหญ่หนุนหลัง เพียงใช้เมตตานำอำนาจ ก็สามารถผ่าทางตันออกไปได้
“พอแล้ว รีบไปรวบรวมศิษย์มา ไปรวมกันที่ลานจตุรัสพรรค”
ฉินจิ่วเกอเอามือไพล่หลัง มันเกรงว่าหากยังลงมือต่อ เจ้าอ้วนคงได้ถูกตอนทิ้งไปจริงๆ
มันตัดสินใจชิงศิลาวิญญาณคืนมา ไม่ถูกต้อง มันยึดคืนมาอย่างถูกทำนองคลองธรรม
จตุรัสพรรคหลิงเซียว คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และมีพลังรวมตัวสูงส่งที่สุดในพรรค งานประลองประจำปี การประกาศเรื่องสำคัญต่างๆ ประมุขพรรคและอาวุโสรวมทั้งศิษย์พี่ใหญ่ขึ้นรับตำแหน่ง ทั้งหมดล้วนจัดขึ้นที่นี่
เห็นได้ว่า พรรคหลิงเซียวเป็นสถานที่เข้มงวดกวดขันเพียงไร คนละเรื่องกับลานเต้นระบำหน้าท้องโดยสิ้นเชิง
ห้าอาวุโสของพรรค นอกจากอาวุโสห้าที่ธาตุไฟแทรกบ้าๆบอๆ อีกสี่อาวุโสที่เหลือล้วนมาถึงจตุรัส นั่งลงอย่างโอ่อ่าทั้งสี่ทิศ
อาวุโสสี่ชิงชังเรื่องที่ฉินจิ่วเกอเคยฮุบเอาทรัพยากรของสำนักไปหมดสิ้น จึงหันมาสนับสนุนลั่วเฉินเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ทว่าอาวุโสสามและฉินจิ่วเกอมีโครงการธุรกิจนิยายร่วมกันอยู่ ดังนั้นรักษาความเป็นกลางไว้
ส่วนอาวุโสสองรักหน้ายิ่งชีพ กริ่งเกรงศิษย์พี่ของมันประทับรอยเท้าใส่หน้าตา ดังนั้นยกอ้างหลักผู้เข้มแข็งเป็นจ้าว เสนอให้ทั้งสองประลองยุทธตัดสินแพ้ชนะ
ในสายตาของอาวุโสทั้งหลายเหล่านั้น พวกมันไม่เชื่อฉินจิ่วเกอสามารถเอาชัยลั่วเฉินได้เด็ดขาด
มีเพียงอาวุโสใหญ่ที่มีใจเชื่อมั่น ศิษย์รักของตนต้องทะยานคราเดียวขึ้นสู่ฟ้า เอาชนะลั่วเฉินมิใช่เรื่องยากลำบากอย่างแน่นอน
เพราะอันที่จริง ฉินจิ่วเกอได้รับศัสตรายาวิเศษอย่างลับๆ จากตนไปแล้ว เมื่อฝึกปรือย่อมต้องเพิ่มพลังฝีมือขึ้นอย่างก้าวกระโดด ศึกชิงตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่นี้ กำหนดไว้ที่อีกเจ็ดวันให้หลัง อีกสามอาวุโสไม่ทราบว่าศิษย์พี่ของตนลอบเล่นไม่ซื่อ มิเช่นนั้นอาวุโสสองที่ช่วยฉินจิ่วเกอไว้โดยไม่ตั้งใจคงต้องพุ่งศีรษะชนกำแพงตายด้วยความละอายเสียใจเป็นแน่
ณ ลานจตุรัสพรรค เมื่อศิษย์ทั้งหลายมาพร้อมหน้า อาวุโสใหญ่ประกาศเรื่องศึกชิงตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่นี้อย่างเคร่งขรึม งานประลองจะจัดขึ้นในอีกเจ็ดวัน
มองดูใบหน้าขาวที่เชิดสูงกลางฝูงชนนั้น ฉินจิ่วเกอมั่นใจ มันคือคนที่ชิงต้นกำเนิดกฎสรรพสิ่งไปชัดๆ ไอ้คนสารเลว!
ลั่วเฉินเห็นสายตาฉินจิ่วเกอที่จ้องเขม็งมา ต้องผงกศีรษะทักทายอย่างอบอุ่น เพื่อจะพบเจอกับฉินจิ่วเกอที่กำลังโมโหโทโสแยกเขี้ยวขาววาววับ หล่อกว่าแล้วยังไง ฉินจิ่วเกอด่าทอในใจ รอข้าเตรียมการพร้อมเมื่อไหร่ เจ้าได้วิ่งตามหาฟันเต็มลานประลองแน่!
“ศิษย์น้อง ถึงตอนนั้นต้องระมัดระวังไว้ ถ้ามีอะไรแตกหักไป ข้ารับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ!” ฉินจิ่วเกอหัวเราะอย่างชั่วร้าย ถึงตอนนั้นข้าจะทักทายแต่ใบหน้าเจ้าเลยล่ะ!
“งั้นคงต้องขอร้องศิษย์พี่ออมมือไว้ไมตรีด้วย” ลั่วเฉินตอบกลับอย่างไม่นำพา
ฉินจิ่วเกอก้าวเข้าใกล้ลั่วเฉิน ใช้น้ำเสียงที่มีเพียงคนสองคนได้ยินกระซิบกระซาบ “โจรชั่ว กล้าขโมยต้นกำเนิดกฎสรรพสิ่งไปจากข้า ไม่นานข้าจะให้เจ้าต้องคายออกมาทั้งต้นทั้งดอก”
“คอยดูไปเถอะ” ต่างคนต่างประเมินพลังของอีกฝ่าย พอกลับเข้าห้องก็เริ่มฝึกปรือกันอย่างหนักหน่วง
สามวันต่อมา ฉินจิ่วเกอย่อยสลายตัวยาที่อาวุโสใหญ่มอบให้ พลังฝีมือก็ทะลวงสู่ชั้นปราณสุริยันขั้นกลางแล้ว
มิน่าเล่าผู้คนต่างสรรเสริญเยินยอนักปรุงยา อิทธิฤทธิ์ของโอสถเหล่านี้ช่างน่าทึ่ง
ยาเม็ดเล็กๆ เช่นนี้ กลับสามารถย่นระยะเวลาการฝึกได้มากถึงหลายเดือน หรือกระทั่งหลายปีเลยด้วยซ้ำ
*อู่ซงหรือบู๊สง เป็นตัวละครในเรื่องซ้องกั๋ง เป็นนายโจรคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญมาก