ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 7 ตราปราชญ์เล็ก

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 7 ตราปราชญ์เล็ก

เงานั้นไม่ได้เผยใบหน้าแท้จริง รูปร่างสูงมาก สูงจนไม่เหมือนคน สองเท้าลอยอากาศ ห่างจากพื้นไม่ถึงหนึ่งฉื่อ มองอย่างละเอียดจะเห็นว่าใต้เท้ามีหมอกวนเวียน ลอยอยู่กลางอากาศ

เฉินอี้จะถอย แต่ข้างหลังเขาเป็นหลังเขาสู่ซาน ที่นี่ถูกป้ายคำสั่งผนึกไว้ ทางเข้าเดียวคือรอยแตกของหุบเขาไกลๆ เป็นที่ตั้งตาค่ายกลที่ป้ายคำสั่งวางไว้

ไม่มีทางให้ถอยแล้ว

เขาพยายามให้เสียงตนสงบนิ่ง ตะโกนเสียงดังด้วยความโกรธ “เจ้ารู้ถึงผลลัพธ์จากสิ่งที่ทำหรือไม่”

เงานั้นอ่านความตั้งใจของเฉินอี้ออก เขาไม่ได้กลัวการประกาศเสียงดังของเจ้าลัทธิ สามารถหลบการตรวจจับทะเลวิญญาณของพันกรมาได้…แสดงว่าเขาตัดสินใจมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ

เงาพูดเสียงเบา “ท่านเจ้าลัทธิ เลิกขัดขืนเถอะ”

เขานำตราหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แสงสีแดงอมทองถูกหมอกดำบดบังไว้ พูดอย่างจริงจัง “ตราหยกนี้…คุ้นหรือไม่”

เฉินอี้หรี่ตาลง

เงาพูดอย่างจริงใจ “หลายลี้ทอดยาวไปทั้งหลังภูเขา ฟ้าดินเล็กๆ แห่งนี้ถูกปิดตาย ท่านวางใจได้ ตอนนี้ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่อยู่ที่เขาน้ำค้างเล็ก ไม่มีใครสนใจที่นี่…และยิ่งไม่มีใครมาที่นี่ ไม่นานหรอก เจ็บนิดเดียว…ท่านเป็นเจ้าลัทธิของสำนักเต๋า อยากจะเป็นผู้นำของทุกคนก็คงไม่กลัวเรื่องพวกนี้หรอกกระมัง”

เฉินอี้หยิบร่มกันฝนขึ้นมา เขากัดฟันกรอด พยายามมองเงานั้น ก่อนเอ่ยเสียงแหบแห้งจากลำคอเหมือนสิงโต “เจ้าอย่าเข้ามา”

เสียงช้าไปแล้ว เงานั้นโถมมาข้างหน้าเหมือนลูกธนู พุ่งอย่างไม่มีสัญญาณใดๆ พริบตาเดียวก็พุ่งเข้ามาถึง พลันมาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าลัทธิเฉินอี้ มองเจ้าลัทธิหนุ่มที่ตกใจผงะไปข้างหลังเชิงเย้าหยอก

เฉินอี้ถือร่มกันฝนขึ้น แทงเข้าไป เงานั้นโบกมืออย่างเฉยชาและไร้ความปรานี ตบร่มกระเด็นออกไป

แรงมหาศาลกระแทกเฉินอี้ล้มไปข้างหลัง เขากำร่มไว้ไม่อยู่ ร่มกันฝนหลุดมือลอยออกไป ง่ามมือแตก เลือดไหล ทั้งตัวล้มไปข้างหลัง กระแทกกับหินหลังภูเขา เงายักษ์ปกคลุมลงมา ทั้งโลกมืดมิด

เงานั้นพูดนิ่งๆ “ทำตัวสบายๆ…ไม่ต้องกลัว อย่าขัดขืน ไม่นานหรอก…”

เสียงเช่นนี้ฟังดูน่ารังเกียจในใจเฉินอี้ เขาคว้าหินภูเขาแตกไว้ในมือ ก่อนจะโปรยออกไป กระแทกใส่หมอกคุ้มกันเงานั้นดังเปาะแปะ เงาที่ลอยมาช้าๆ ไม่สนใจแม้แต่น้อย เขากดดันเจ้าลัทธิถึงทางตันแล้ว บทสรุปต่อไปไม่ต้องห่วงเลย

เงามาอยู่หน้าเจ้าลัทธิ เขาสูงกว่าเฉินอี้มาก มองเด็กหนุ่มที่เอาหลังพิงหินภูเขาจากเบื้องบน การเคลื่อนไหวนุ่มนวล มือข้างหนึ่งจับที่ศีรษะเฉินอี้ช้าๆ

หมอกในฝ่ามือกระจายออกมา

ห้านิ้วมือเขาคว้าศีรษะของเฉินอี้ ยกขึ้นช้าๆ

ดวงตาของเฉินอี้เปลี่ยนเป็นสับสนและพร่ามัว

สติเขาหายไปในพริบตา

ความเจ็บปวดมหาศาลจู่โจมเข้ามา ทำให้เจ้าลัทธิหนุ่มคนนี้หน้าซีดขาว ทั้งตัวแทบจะถูกหิ้วขึ้น

พริบตาต่อมา เงาส่งเสียงตะโกนด้วยความโกรธ

“ใคร!”

เฉินอี้ตกลงพื้นดังตึง เขาพลันได้สติกลับมา ได้ยินเสียงทะลวงสายลมรวดเร็วยิ่งจากข้างหลังเงา

ร่มหุบคันหนึ่งทะลวงฟ้าเข้ามา

ร่มนั้นเร็วยิ่ง

เงาหมุนตัวกลับไม่ทัน หมอกคุ้มกายถูกทะลวงแตกดังบึ้ม ทั้งตัวถูกแรงมหาศาลจากกระบี่ร่มกระแทกกับหินผา

หนิงอี้ปล่อยด้ามกระบี่ ปล่อยให้มันแทงข้างหลังเงา ไม่ทันมองเลยว่าเงานั้นเป็นเทพเซียนที่ใดกัน หิ้วเจ้าลัทธิหนุ่มที่หน้าซีดขาวขึ้น พลางพูดเสียงต่ำ “ไป”

เผยฝานที่ตามหลังมาติดๆ ถีบหลังเงานั้นทีหนึ่ง นางชักพินิจเหมันต์ออก อาศัยแรงดีดตัวกระโดดออกมาระยะหนึ่ง เงานั้นที่ถูกลอบโจมตีมีกายและจิตแกร่งจนน่าประหลาด หนึ่งกระบี่ฟันลงไป ทั้งตัวแค่แข็งทื่อ หมุนตัวกลับมาอย่างเร็วไว

สามร่างอยู่ข้างหน้า เงานั้นอยู่ข้างหลัง

“ฟ้าดินแห่งนี้ถูกผนึกไว้แล้ว สัมผัสวิญญาณของท่านพันกรไม่มีผล!” น้ำเสียงเผยฝานมีความเย็นเยือกเสี้ยวหนึ่ง นางมองเจ้าลัทธิเฉินอี้ก่อนเอ่ยถาม “เจ้านั่นเป็นใคร”

เสียงทะลวงสายลมอย่างรุนแรงดังมาจากข้างหลัง

เผยฝานพลันหยุดลง นางกางพินิจเหมันต์ออก ร่มกางออกดัง ‘พรึ่บ’ เงานั้นตามมาแล้ว ยกฝ่ามือขึ้นแล้วฟาดลงที่ใบร่ม เผยฝานหน้าซีดขาวทันที ใบร่มส่งแรงกระแทกมหาศาลมา เพียงลมหายใจเดียว เด็กสาวถือร่มก็เหมือนถูกพายุคลั่งพัดใส่ โครงร่มสั่นไหว เหมือนผีเสื้อปลิวไปตามพายุฝน ทั้งตัวนางกระเด็นออกไป

หนิงอี้เห็นดังนั้นก็รีบปล่อยเฉินอี้ พุ่งเข้าไปรับเผยฝานที่กระเด็นมา ตัวเด็กสาวกระแทกตรงหน้าอกหนิงอี้ สติพร่าเลือนเล็กน้อย สองคนถอยไปสิบกว่าก้าวถึงไม่ให้ล้มลงได้

หนิงอี้หน้าซีดเผือด ก้มหน้าลง รู้สึกถึงกลิ่นอายเสียหายจากพินิจเหมันต์ หนิงอี้เอาสองมือจับด้ามร่ม จุดที่กำมีหมอกขาวลอยขึ้นมา

ร้อนมาก

ขลุ่ยกระดูกตรงหน้าอกสั่นไหวไม่หยุด

บนมือข้างหนึ่งของเงา หมอกกระจายหายไป เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงบางส่วน ทันทีที่ฟาดลงใบร่มของเผยฝาน ฟ้าดินเกิดแสงทองสว่างแสบตา…มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์เสี้ยวหนึ่ง ดูเหมือนเป็นกลอุบายของสำนักพุทธ

ฝ่ามือนั้นตบพินิจเหมันต์ ใบร่มเพียงแค่สั่นสะเทือน ไม่ได้ขาด มือนั้นของเงาเสียหมอกห่อหุ้มไป…เผยให้เห็นโครงกระดูกส่วนหนึ่ง ข้อต่อนิ้วชัดเจน

นี่เหมือนวิชาของจวนปฐพีมากกว่า

หนิงอี้หรี่ตาลง จ้องเงานั้น ขาสองข้างที่ลอยอยู่บนพื้นไม่ปนเปื้อนธุลีดิน ตระกูลเฟิงแห่งตำหนักฟ้าก็ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ รูปแบบการดำเนินการในหมอก…เหมือนผู้ฝึกภูตผีแดนทักษิณมากกว่า

คนที่มีการผสมผสานกันเช่นนี้ เป็นกายขัดแย้งของทางโลก หนิงอี้อ่านคัมภีร์เต๋าบนเขาน้ำค้างเล็กมาเยอะมาก คัดมาแล้วร้อยตระกูล เขาแยกแยะสำนักและศาสตร์วิชาของผู้บำเพ็ญออก…แต่เงานั้นที่ซ่อนในหมอก เขาแยกออกได้ยากมาก นี่เป็นขุมอำนาจใดกันแน่

ขุมอำนาจใดกันที่กล้าลอบสังหารท่านเจ้าลัทธิแห่งสำนักเต๋าถึงเขาสู่ซานได้

นักพรตชุดคลุมหยาบคนนั้นตายแล้ว หากวันนี้เจ้าลัทธิตายที่หลังเขาสู่ซานจริงๆ เช่นนั้นพิธีศพนี้…จะไม่ใช่พิธีศพของสวีจั้ง แต่เป็นพิธีศพของเจ้าลัทธิ ทั้งโลกบำเพ็ญจะสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หอสามวิสุทธิ์แห่งสำนักเต๋าจะโกรธเพียงใดกัน

เงานี่ทำเป็นทุกอย่าง…หนิงอี้ไม่สงสัยเลยแม้แต่น้อยว่า เขาใช้วิชาของเขาสู่ซานสังหารท่านเจ้าลัทธิคนนี้ ป้ายความผิดทั้งหมดให้เขาสู่ซานได้

เขาเพียงแค่ไม่แน่ใจว่าเงาลึกลับนี่มีพลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา แต่การออกมือเมื่อครู่นี้…หนิงอี้คลำเจอศักยภาพคร่าวๆ ยังไม่ก้าวสู่ขอบเขตหลัง เพียงแค่จุดสูงสุดขอบเขตกลาง ผู้บำเพ็ญเช่นนี้ใช้อะไรอำพรางสัมผัสของท่านพันกรได้

ต่อมาเขาก็เข้าใจ

มือกระดูกของเงา เดิมทีวางไว้ข้างๆ ก็ยกขึ้นช้าๆ ล้วงเข้าไปในอกเสื้อ นำตราหยกสีทองสว่างจ้าออกมา…พลังควบคุมฟ้าดินแห่งนี้แผ่มาจากเหนือศีรษะหนิงอี้ สัมผัสทุกอย่างถูกตัดขาด

หนิงอี้มองเฉินอี้ด้วยสีหน้าปั้นยาก “ดูท่าก้นของท่านเจ้าลัทธิคงไม่สะอาดแล้ว”

นี่คือตราปราชญ์เล็กของสำนักเต๋า ตามหลัก…ใช้อำพรางสัมผัสของท่านพันกรได้จริงๆ แต่ได้แค่แผ่ไปถึงตัวคนหนึ่งเท่านั้น หากกระจายออกไป ไม่นานก็จะแตกออก

เฉินอี้รู้ว่าเงานี้เตรียมการมา…เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เงานี้ไปเอาตราปราชญ์เล็กสำนักเต๋ามาจากที่ใด…ตราหยกนี้มีเพียงคนส่วนในสำนักเต๋าเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้ครอบครอง ห้ามให้ภายนอก เช่นนั้นเหตุผลก็ชัดเจนมากแล้ว

เขารู้สึกจุกอกอยู่ในใจ พูดด้วยความจนปัญญา “กฎสำนักเต๋าเน่าเฟะมาตลอด…เพื่อคุ้มกันข้าถึงได้จัดคนมามากมาย ผลก็คือทุกคนต่างรู้ว่าข้าคือเจ้าลัทธิ จึงอยากฆ่าข้ากระทั่งไม่ต้องออกแรงตามหา ถึงขนาดที่พวกมันแฝงตัวอยู่ในกลุ่มนักพรตชุดคลุมหยาบได้”

หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง

เงานั้นนำ ‘ตราปราชญ์เล็ก’ ออกมา ตราหยกนั้นเริ่มแตกอย่างรวดเร็วกว่าเดิม

หนิงอี้พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง

เงานั้นจ้องเจ้าลัทธิพลางเอ่ยเสียงแหบแห้ง “ท่านเจ้าลัทธิ…เหมือนว่าเวลาจะไม่พอแล้ว”

กลิ่นอายพลังเขาเริ่มเพิ่มขึ้น

หนิงอี้มั่นใจว่าเงานี้ ก่อนหน้านี้มีศักยภาพจุดสูงสุดขอบเขตที่หก แต่เมื่อเอ่ยจบ…เงานั้นพลันทะลวงขอบเขตที่เจ็ด ไปถึงขอบเขตหลัง!

ต่างกันราวฟ้าดิน!

เขากดความบุ่มบ่ามที่จะทะลวงพลังมาตลอด กันไม่ให้ ‘ตราปราชญ์เล็ก’ แตกเร็วขึ้น

ดูท่าคงมีคนสังเกตเห็นความผิดปกติ กำลังรีบมาที่นี่แล้ว

การโจมตีหลังทะลวงพลังนั้นต่างหาก…คือไพ่ตายของเขา!

เงานั้นลอยขึ้นสูง ก่อนจะพุ่งลงมา

ลางสังหรณ์เลวร้ายในใจหนิงอี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขากำพินิจเหมันต์แน่น กางร่มออกดังพรึ่บ พายุในอากาศพลันโถมลงมา เป้าหมายของเงานั้นคือตนเอง!

ทันทีที่ตั้งสติกลับมาได้ เงานั้นกระแทกใบร่มพินิจเหมันต์อย่างแรง หนิงอี้เอามือข้างหนึ่งกอดเผยฝานไว้ ถูกกระแทกแทบจะลอยจากพื้น เศษหินใต้เท้ากระเด็นไม่หยุด เขาถอยไปจนถึงผนึกหลังภูเขา แทบจะแตะโดนป้ายคำสั่ง

เขาพลันเข้าใจว่าเงาจะทำอะไร

ฆ่าตนก่อน แล้วค่อยฆ่าเจ้าลัทธิ…เพื่อมั่นใจว่าจะใส่ร้ายเขาสู่ซานได้ เขาต้องทำเช่นนี้ จะให้ตนกับเผยฝานรอดไปไม่ได้

หนิงอี้ตาแดงก่ำ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก กายและจิตของเด็กสาวไม่แข็งแกร่ง ถูกโจมตีทีเดียวก็สติพร่าเลือน

ไม่มีทางถอยแล้ว

หนิงอี้หลังแนบกับป้ายคำสั่ง กฎเหล็กของบรรพจารย์ลู่เซิ่งไร้ความเห็นใจ ยันต์เปล่งแสงสว่างจ้า เผาแผ่นหลังเขาจนเนื้อปริแตก

ขลุ่ยกระดูกตรงอกเสื้อเริ่มสั่นไหว

แผ่นหลังของหนิงอี้ เดิมทีเหมือนแนบกับบ่อไฟพลันเกิดความเย็นขึ้น ข้างหลังไม่ใช่กำแพงแดงพันฉื่ออีก แต่เป็นหน้าผาหมื่นจั้ง เขาพลันทะลวงเข้าไปในป้ายคำสั่งเช่นนี้

ผนึกหลังภูเขาที่ปิดตายมาหลายร้อยปี เปิดออกในช่วงเวลาสั้นๆ

แม้แต่เงาที่ดันร่มพุ่งเข้าไปนั้นยังเข้าไปในหลังภูเขาพร้อมกัน!

……………………