พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 52 เสด็จพ่อ ท่านอ๋องรังแกข้า
“พระชายา ท่าน หน้าของท่าน” ม่านเฉ่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูกจนลืมมารยาทที่จะมาเผชิญหน้าตรงๆ กับนายท่านไม่ได้ไปเลย ได้แต่จ้องอยู่อย่างอึ้งๆ
เฟิ่งชิงหัวสัมผัสไปยังใบหน้าของตนครู่หนึ่ง: “มีอะไรต้องตื่นเต้นตกใจเช่นนั้นหรือ? ก็เป็นเพียงแค่รอยยาสีฟันเท่านั้นเอง นั่นก็ล้วนเป็นหลักฐานว่าท่านอ๋องรักพระชายาของเจ้าไง”
เฟิ่งชิงหัวสัมผัสไปยังแก้มอย่างไร้คำพูดใด ได้เพียงแต่เป็นเพียงเพราะว่าแป้งหายไปหมดแล้วดังนั้นก็เลยปรากฏเป็นหลักฐานทางอาญาของคนบางคนก็เท่านั้นเอง
ม่านเฉ่าส่ายหัวต่อเนื่อง: “ไม่ใช่ พระชายา หน้าของท่าน บนหน้าของท่านมีของสกปรกอยู่!”
“ของสกปรก?” เฟิ่งชิงหัวก็ยื่นมือมาคลำไปมาอีก ก็ยังไม่เจออะไรอีก แต่ว่าดูจากท่าทางของม่านเฉ่าที่เหมือนกับเจอผีก็ไม่ปานเช่นนั้น แล้วยังมีสีหน้าท่าทางขององครักษ์พวกนั้นที่มองมายังตน ในใจก็เริ่มรู้สึกได้ว่าไม่ดีแน่ ก็เลยรีบวิ่งไปที่หน้ากระจก
หลังจากที่ดูหน้าตัวเองชัดๆ แล้วเฟิ่งชิงหัวเกือบโมโหจนหน้าไม่ปกติไปเลย กัดฟันขบกรามไว้แน่นแล้วก็เปล่งออกมาว่า: “จ้าน……เป่ย……เซียว! ข้าสู้ตายกับเจ้าแน่!”
หลังจากเสียงนั้นดังออกมา เฟิ่งชิงหัวก็พุ่งไปยังจ้านเป่ยเซียวราวกับลมพายุก็ไม่ปานในทันที
“นายท่านของพวกเจ้าล่ะ!” เฟิ่งชิงหัวหาให้ทั่วรอบหนึ่งแล้วก็ยังไม่เห็นร่างของจ้านเป่ยเซียว ในที่สุดก็จับหลิวหยิ่งเอาไว้แน่นและบีบถาม
หลิวหยิ่งชี้ไปยังที่ใดที่หนึ่ง: “นายท่านกำลังชื่นชมวิวทิวทัศน์อยู่บนหอคอยสูงพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งชิงหัวมองตามสถานที่ที่เขาชี้นิ้วไป ก็เห็นในลานเรือนตำหนักอ๋องมีหอคอยสูงยื่นขึ้นมาแห่งหนึ่ง สูงราวๆ 3-4 เท่าของสิ่งก่อสร้างปกติได้ มองเห็นร่างสีดำร่างหนึ่งที่อยู่บนยอดแหลมของหอคอยแห่งหนึ่งได้อย่างไม่ชัดเท่าไร
“เขาไม่ใช่ว่าเป็นอัมพาตครึ่งตัวเหรอ แล้วปีนขึ้นไปสถานที่สูงเช่นนั้นได้อย่างไรกัน!” เฟิ่งชิงหัวกัดฟันขบกรามถาม
หลังจากถามเสร็จก็ไม่รอหลิวหยิ่งตอบ จากนั้นก็พุ่งไปทางยอดหอคอยทันใด
ตอนที่เฟิ่งชิงหัวพุ่งขึ้นไปบนนั้นราวกับลมพายุกระหน่ำก็ไม่ปาน ก็เห็นในช่วงยอดหอคอยเป็นพื้นที่เล็กๆ ที่ไม่นับว่ากว้างขวางแห่งหนึ่ง
บริเวณโดยรอบพื้นที่เล็กๆ มีโต๊ะเล็กๆ เรียงเป็นแถวอยู่ บนนั้นวางชุดน้ำชาไว้อยู่ และมีใบชาหอมหนึ่งถ้วยวางอยู่ตรงนั้น และนอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว
เฟิ่งชิงหัวหาโดยทั่วหนึ่งรอบ จนกระทั่งยังกวาดสายตามองหาด้านนอกอาคารสูงอีกที เมื่อแน่ใจแล้วว่าจ้านเป่ยเซียวไม่ได้คิดสั้นตกลงไป จากนั้นก็ถึงจะมานั่งลงได้
มุมนี้นางสามารถเก็บเอาทั่วทั้งตำหนักอ๋องมาอยู่ในสายตาได้หมด อีกอย่างก็สามารถมองดูได้อย่างชัดเจนด้วย
ในหัวสมองของเฟิ่งชิงหัวคิดไปถึงขั้นว่า งั้นก็ต้องเป็นเช้นวันนี้ จ้านเป่ยเซียวก็ต้องนั่งอยู่ที่นี่เห็นท่าทางที่ยากเย็นแสนเข็ญของนางมาตลอดอยู่ในสายตา จนกระทั่งแม้แต่เมื่อครู่ที่นางจ้องดูหน้าผีหน้านี้ไปหาใครต่อใครทุกที่ เขาก็คงจะเห็นอยู่ในสายตาหมดแล้ว
สารเลวคนนี้!
ตามหามารอบหนึ่ง คอก็แห้งจนจะสำลักแล้ว เฟิ่งชิงหัวจึงยกกาน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะเล็กๆ นั้นเทเข้าปากไปเลย นี่ก็เลยค่อยดับกระหายได้บ้าง กำลังเตรียมที่จะวางกลับไปที่เดิม ก็พบว่ากาน้ำชาอันนั้นด้านล่างมีเศษกระดาษแผนหนึ่งทับไว้อยู่
“ดีมาก็ดีตอบ”
“ดีมาก็ดีตอบ! ข้าก็แค่ถักเปียให้เจ้าเท่านั้นเอง เจ้าทำให้ข้าต้องขายหน้ากับคนทั้งตำหนักอ๋องเช่นนี้!มันจะทำเกินไปหน่อยแล้วนะ!”
จ้านเป่ยเซียว 3พยางค์นี้ในใจของเฟิ่งชิงหัวได้ปรากฏเป็นส้อมใหญ่อันหนึ่งขึ้นมา
ใช้ชีวิตมาสองภพชาติ นางยังไม่เคยโดนกลั่นแกล้งเช่นนี้มาก่อนเลย!
เฟิ่งชิงหัวลุกขึ้นยืนกำลังเตรียมจะลงจากอาหารไป ก็เห็นด้านข้างบันไดมีประตูไม้แห่งหนึ่ง ซ่อนไว้ค่อนข้างลึกลับ เมื่อครู่นางก็ไม่ได้สังเหตเห็นอย่างไม่น่าเชื่อ
ผลักประตูออกไปดู นี่ถึงพบว่าด้านในประตูไม้แห่งนี้คิดไม่ถึงว่าจะเป็นการตบแต่งที่เรียบง่าย นั่งลิฟต์ตัวนี้ไปก็สามารถขึ้นลงไปอย่างสบาย
เจ้าสารเลวผู้นี้ต้องเป็นไปได้อย่างมากว่าเมื่อเห็นตนขึ้นมาแล้วก็เลยจงใจนั่งสิ่งนี้หนีไปแน่
ความโมโหของเฟิ่งชิงหัวก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง เข้าไปด้านในลิฟต์ก็ออกมาจากอาคารสูงได้ไวมาก แล้วก็เจอกับหลิวหยิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างอีกครั้ง
“พระชายา เมื่อครู่ท่านอ๋องมีธุระเข้าวังไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต้องให้กระหม่อมเตรียมรถม้าให้ท่านหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” หลิวหยิ่งกล่าวด้วยท่าทีที่ค่อนข้างนอบน้อมเป็นพิเศษ ราวกับว่าไม่ได้เห็นร่องรอยดำมืดบนใบหน้าของเฟิ่งชิงหัวเลยก็ว่าได้
สายตาของเฟิ่งชิงหัวจ้องมองไปหลิวหยิ่งครู่หนึ่งอย่างเรียบเฉย
การตวัดสายตาที่เรียบเฉยนี้กลับทำให้หลิวหยิ่งใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลยทีเดียว ร่างก็ยังแน่นิ่งไปอีกด้วย
“เจ้าแน่ใจนะว่านายท่านของพวกเจ้าเข้าวังไปแล้ว?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยท่าทีเย็นชา และแฝงไว้ด้วยแรงกดดันที่น่าเกรงขาม
แผ่นหลังของหลิวหยิ่งเย็นวาบขึ้นมาทันที และสั่นอย่างหนาวเย็นสะท้านไปตามสัญชาตญาณ
“หากเจ้ากล้าพูดเท็จละก็……” เสียงของเฟิ่งชิงหัวเรียบเฉย แต่แฝงไว้ด้วยความเป็นอันตรายที่ทำให้คนสำลักได้
หลิวหยิ่งกลืนน้ำลายลงไปในลำคอตามสัญชาตญาณ ชาทั้งสองข้างอ่อนยวบไปเล็กน้อย: “พ่ะย่ะค่ะ เป็นความจริง นายท่านเข้าวังไปแล้ว ก็เมื่อครู่นี้เองพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งชิงหัวเก็บเอาเส้นสายตาที่จับสังเกตกลับมา ยื่นมือไปตบบ่าของหลิวหยิ่งทีหนึ่ง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความผ่อนคลายว่า: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเจ้าก็เตรียมรถม้าให้ข้าคันหนึ่ง แต่ไม่ใช่จะไปกรมคลัง ข้าจะเข้าวัง!”
หลิวหยิ่งแค่รู้สึกว่าย่าหนักอึ้งไป ไม่กล้าขัดคำสั่งตามสัญชาตญาณ แล้วก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง
เฟิ่งชิงหัวเปลี่ยนเป็นชุดที่เหมาะสมทั้งตัว อีกทั้งยังหยิบเอาหมวกไม้ไผ่สีขาวใบหนึ่งเพื่อปิดบังใบหน้าของตนเอาไว้ นั่งขึ้นไปบนรถม้าเพื่อเข้าวัง
จ้านเป่ยเซียวในตอนนี้กำลังเล่นหมากเป็นเพื่อนฮ่องเต้เซวียนถ่ง พ่อลูกสองคนท่าทางเคร่งขรึม ต่างฝ่ายต่างตั้งใจอย่างมาก วางหมากแต่ละตัวลงไปต่างก็ใช้ความระมัดระวังไว้มาก
และหลังจากที่ฮ่องเต้เซวียนถ่งวางหมากลงไปหนึ่งตัว จ้านเป่ยเซียวก็กล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นชาว่า “เสด็จพ่อ ท่านแพ้แล้ว”
ในขณะที่พูดอยู่หมากก็วางไปตรงตำแหน่งจุดชีพจรของฮ่องเต้เซวียนถ่งแล้ว
ฮ่องเต้เซวียนถ่งมีอาการขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจขึ้นมาก่อน ในตอนที่ก้มศีรษะเพื่อสังเกตอย่างรอบคอบสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมาก จากนั้นกล่าวออกมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานว่า: “เจ้าเด็กนี่ เจ้าเล่ห์เช่นนี้เหมือนเคยเลยนะ คิดไม่ถึงว่าจะล่อข้าให้หลงกลได้”
สีหน้าท่าทางของจ้านเป่ยเซียวไม่ได้เปลี่ยนไปเลย และก็ไม่ได้มีท่าทางที่หยิ่งผยองอย่างเต็มเปี่ยมที่ชนะหมากตรานี้ได้เลย และก็ไม่ได้เป็นเพราะว่าเอาชนะฮ่องเต้ได้แล้วก็เลยเกิดเป็นความกังวลขึ้นมาในใจ
ฮ่องเต้เซวียนถ่งมองดูลูกชายที่มีพรสวรรค์ที่สุดของตน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกพอใจ
จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างสงสัยว่า: “ทำไมวันนี้เจ้ามีเวลาว่างเข้าวังมาหาข้าได้ล่ะ?”
ฮ่องเต้เซวียนถ่งเพิ่งจะลงจากงานว่าราชการก็ได้ยินว่าเจ้าเจ็ดเข้าวังมา เดิมก็คิดว่ามีธุระอันใด แต่เขากลับไม่พูดอะไรเลย เพียงแค่พูดว่าอยากจะประลองหมากกับเขา
ต้องทราบให้แน่ชัดก่อนว่าลูกชายคนนี้หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บแล้ว นอกนอกจากเป็นเขาเรียกให้มาพบแล้ว มิเช่นนั้นก็จะไม่ยอมเข้าวังมาอย่างง่ายดาย
จ้านเป่ยเซียวยังไม่ทันได้เอ่ยปากขึ้น ก็ได้ยินเสียงรายงานจากด้านนอกตำหนักว่า: “เรียนฝ่าบาท พระชายาเจ็ดมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาของฮ่องเต้เซวียนถ่งตวัดไปทางลูกชายของตน คิดไม่ถึงว่าไม่ค่อยจะเห็นความไม่สบายใจเสียเท่าไรจากลูกชายคนนี้ที่ไร้ซึ่งรอยยิ้มมาโดยตลอด
ไม่ต้องเดา เป้าหมายที่พระชายาเจ็ดผู้นี้เข้าวังมาต้องเกี่ยวข้องกับลูกชายของตนแน่
“ให้เข้ามาเถอะ”
ใครจะไปคาดคิดว่าฝ่ายหญิงเพิ่งจะเข้ามาถึงหน้าประตูก็เริ่มร้องไห้ออกมา คราวนี้ ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้เซวียนถ่งที่ตกใจไปชั่วขณะ แม้แต่สีหน้าท่าทางบนใบหน้าเล็กๆ ของจ้านเป่ยต่างก็ประหลาดขึ้นมา เพียงแต่ว่าใส่หน้ากากปิดบังไว้ก็เลยไม่ได้ถูกใครเห็น
“สะใภ้เจ้าเจ็ด นี่เจ้าเป็นอะไรงั้นหรือ?” ฮ่องเต้เซวียนถ่งมองไปยังผู้หญิงที่ปิดผ้าบางๆ คุมหน้าเอาไว้แล้วคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้วยความสงสัย แล้วก็มองดูลูกชายที่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย
“เสด็จพ่อ ท่านจะต้องให้ความยุติธรรมแก่ข้า ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเขารังแกสะใภ้อย่างข้า!” เฟิ่งชิงหัวร้องห่มร้องไห้ไม่หยุดอยู่ภายใต้ผ้าปิดหน้านั้น ร้องไห้ไปพลางแล้วก็มองมายังฝ่ายชายด้านข้างผ่านผ้าบางๆ นั้นไปพลาง
และก็ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ที่มักจะรู้สึกว่าสายตาเฉียบแหลมของฝ่ายชายมองทะลุทะลวงผ่านผ้าบางๆ มาที่นางได้รู้ทันนางเช่นกัน
เฟิ่งชิงหัวรีบดึงสติกลับมาแล้วตั้งใจร้องไห้อย่างสิ้นหวัง
“เจ้าเจ็ดรังแกเจ้า?” ฮ่องเต้เซวียนถ่งราวกับว่าได้ยินหัวข้ออะไรที่ไม่กล้าจะเชื่อก็ว่าได้ ลูกชายคนนี้ของเขาดูเป็นผู้ใหญ่มาโดยตลอด ยังสามารถนำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ พูดตามตรงเขาไม่เชื่อเลยแม้แต่นิด
แต่ว่ามองดูลูกสะใภ้ของตนที่ร้องไห้อย่างน่าเวทนา เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า: “คนของเจ้าเจ็ด อย่าร้องไห้ไปเลย เล่าให้ข้าฟังดีๆ ว่าเจ้าเจ็ดรังแกเจ้ายังไงบ้าง? ยังมีผ้าคลุมหน้าของเจ้านี่อีก เวลาที่พบหน้าข้าทำไมไม่เผยให้เห็นหน้าตาที่แท้จริงออกมา? ไม่รู้เหรอว่านี่เป็นการไม่ให้ความเคารพยำเกรงแก่ข้าน่ะ!”