ตอนที่ 59 หยุนเคอลงจากภูเขา

สามีข้า คือพรานป่า

เฉินเฉินพยักหน้ารับเบา ๆ อีกครั้งและจดจำสิ่งที่พี่สาวสอนสั่งไว้ในใจ

ในคัมภีร์สามอักษรมีเพียงไม่กี่ตัวอักษรให้เรียนรู้แต่ก็ยังต้องฝึกเขียน แต่เนื่องจากพู่กันและกระดาษในสมัยนั้นค่อนข้างใหญ่และแพง จึงทำให้เปลือง อีกทั้งกระดาษแผ่นเดียวคงเขียนไม่พอ

เฉินเถียนเถียนหยิบพู่กัน หมึกและกระดาษออกมาจากเถาเป่า ก่อนจะยื่นให้เฉินเฉิน เด็กน้อยดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจระคนตื่นเต้น

“ไม่ต้องถามหรอกว่าข้าได้มันมาจากไหน การฝึกเขียนด้วยกิ่งไม้อาจทำให้ลายมือของเจ้าแย่ แต่ไม่ว่าอย่างไรอย่าบอกเรื่องนี้ให้พ่อฟังเด็ดขาด หากปีหน้าเจ้าสอบผ่านได้จึงค่อยบอก!”

เฉินเฉินพยักหน้าอย่างหนักแน่น ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็จะไม่บอกเรื่องนี้กับพ่อเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของพี่สาวและตัวเขาเอง!

หลังจากเด็กน้อยรับปากแล้ว เฉินเถียนเถียนจึงตั้งใจสอนเขาอย่างรวดเร็ว แม้เฉินเฉินจะเกิดและเติบโตในครอบครัวที่ไม่ดี แต่เขาก็มีสติปัญญาและความเข้าใจที่ยอดเยี่ยมมาก อีกไม่นานการใช้เพียงคัมภีร์สามอักษรคงจะไม่พอ

เฉินผิงอันออกจากบ้านตั้งแต่เช้าและกลับมาในตอนเย็น หลินชวนฮวาก็มักจะออกไปข้างนอกเช่นกัน ส่วนเฉินเฉิงเยี่ย… ตราบใดที่ไม่มีใครรบกวนหรือมีธุระที่ไหน เขาก็จะไม่ออกจากห้องเด็ดขาด!

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เฉินเฉิงเยี่ยก็ค่อนข้างกังวลมากเช่นกัน

แม้ว่าขุนนางจะเคยชื่นชมเขาเมื่อยังเด็ก แต่เขาก็ยังไม่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนนัก มีเพียงคำชมที่ลอยมาตามลมตั้งแต่ปีก่อน… ที่ทำให้เขายังพอภูมิใจในตัวเองได้บ้าง

หลายปีมานี้นอกจากสิ่งที่ขุนนางบังคับให้เขียน เขาก็ยังไม่คืบหน้าอะไรเลย…

ในอดีตเฉินเฉิงเยี่ยมักจะถูกเพื่อนร่วมชั้นกลั่นแกล้งอยู่เสมอ เขาถูกริบเงินไปทั้งหมดและสิ่งเหล่านี้ก็ส่งผลให้การเรียนของเขาแย่ลงมาก

แม้เขาจะใฝ่รู้แต่กลับไม่มีวินัย หนังสือที่ต้องอ่านเพื่อสอบเลื่อนระดับนั้นน่าเบื่อยิ่ง บวกกับความไม่เอาใจใส่ เขาจึงไม่พัฒนาไปไหน!

แม้เฉินเฉิงเยี่ยจะอยากเป็นจักรพรรดิ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่อ่านหนังสือเหล่านั้น มันกลับทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายและง่วงนอน

เฉินเฉิงเยี่ยขังตัวเองไว้ในห้องและพยายามบังคับตัวเองให้ตั้งใจอ่านหนังสือ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ทำไม่ได้!

แต่เฉินเฉินได้รับการสอนและรับฟังเรื่องราวที่น่าสนใจจากเฉินเถียนเถียน การแหวกว่ายในมหาสมุทรแห่งความรู้สำหรับเขาจึงไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อหน่าย!

ชั้นเรียนของเฉินเถียนเถียนนั้นน่าสนใจเป็นอย่างมาก จึงทำให้เฉินเฉินต้องการใช้ความสำเร็จของตนเพื่อเปลี่ยนสถานะในครอบครัว เขาเอาใจใส่ต่อการเรียนมากจนคนสอนปลาบปลื้ม ส่วนหลินชวนฮวา… ไม่ว่าอย่างไรนางก็คือแม่ เด็กน้อยเฉินเฉินจึงปฏิญาณที่จะดูแลนางด้วยเช่นกัน!

ต่อจากนี้เฉินเฉินตั้งใจจะไม่พูดอะไรอีก เขาตั้งใจจะซ่อนตัวอยู่ในถ้ำนี้ทั้งวันโดยใช้พู่กัน ปากกาและกระดาษเพื่อฝึกเขียน ตั้งใจเรียนรู้จนกว่าจะเรียนคัมภีร์สามอักษรจนจบ คำปฏิญาณเหล่านั้นถูกประทับอยู่ในใจของเขาอย่างลึกซึ้งและจะไม่มีวันหายไป

เฉินเถียนเถียนซ่อนตัวอยู่ในถ้ำและนอนหลับอย่างสบายใจโดยไม่มีใครมารบกวน ส่วนเฉินเฉินฝึกเขียนต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนไม่ยอมนอนกลางวัน

เฉินเถียนเถียนต้องการให้เฉินเฉินออกไปเล่นสนุกเหมือนเด็กคนอื่นจึงกล่าวกระตุ้นเขาทันที “เอาล่ะ… เด็กน้อย ออกไปเล่นบ้างเถอะ หากเจ้าเอาแต่จ้องตัวหนังสือมาก ๆ ดวงตาของเจ้าจะอ่อนล้าได้!”

เฉินเฉิงเยี่ยยังคงจมอยู่ในกองหนังสือด้วยความว่างเปล่า แน่นอนว่าเด็กที่ตั้งใจเรียนอย่างหนักจะต้องเป็นที่ถูกใจของนักปราญช์ใดเข้าในสักวัน!

แม้เฉินเถียนเถียนจะไม่รู้ถึงสถานะปัจจุบันของเฉินเฉิงเยี่ย แล้วก็มั่นใจว่าหากเทียบเฉินเอ๋อแล้ว… เฉินเฉิงเยี่ยนับว่าด้อยลงมาก!

อีกด้านหนึ่ง หยุนเคอเดินทางไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน

หัวหน้าหมู่บ้านก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าเหตุใดคนป่าเถื่อนจึงลงมาหาเขา?

“หัวหน้าหมู่บ้าน… ข้าตั้งใจจะตั้งรกรากในหมู่บ้านนี้ ข้าต้องการสร้างบ้านของตัวเอง โปรดช่วยข้าด้วย!”

เป็นเรื่องดีที่จะมีประชากรต่างชาติต้องการตั้งถิ่นฐานในหมู่บ้าน เพราะจะช่วยให้การเติบโตของประชากรในหมู่บ้านจะประสบความสำเร็จตามรายงาน!

หัวหน้าหมู่บ้านเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “พ่อหนุ่ม… เจ้าสามารถอยู่ในหมู่บ้านได้แน่นอนแต่ในฐานะหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของชาวบ้านด้วย… จึงต้องขอถามว่าเจ้ามาจากไหน?!”

จากนั้นหยุนเคอจึงเริ่มเล่าเรื่องให้หัวหน้าหมู่บ้านฟัง “ข้าชื่อหยุนเคอ พ่อของข้า… แต่เดิมเป็นนายพรานในภูเขา แม้จะไม่เคยอยู่บนยอดเขาเทพธิดามาก่อนแต่ก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก ต่อมาพ่อได้เดินทางออกจากภูเขาและเข้าเมืองเพื่อรับราชการทหาร หลังจากที่หมดอายุราชการและกำลังจะกลับบ้าน เขาก็เจอแม่บนถนนระหว่างทางกลับ…”

“แต่หลังจากที่ข้าเกิดได้ไม่นาน พ่อของข้าก็ตกหน้าผาขณะล่าสัตว์และตายตกไป แม่ของข้าตรอมใจและล้มป่วย ไม่นานก็จากไป จึงเป็นเหตุให้ข้าต้องดิ้นรนอยู่บนภูเขาตามลำพัง แล้วในที่สุด… ข้าก็เก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง จึงตัดสินใจที่จะลงมาตั้งหลักปักฐานในหมู่บ้านนี้!”

หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้าและพูดว่า “เจ้าสามารถอยู่ในหมู่บ้านได้! แต่ที่ดินที่เจ้าต้องการ มีชาวบ้านเป็นเจ้าของ เจ้าต้องซื้อที่ดินจากมือของชาวบ้าน นอกจากนี้หากวันหนึ่งเจ้าก่ออาชญากรรมร้ายแรง ทุกคนในหมู่บ้านมีสิทธิ์ที่จะขับไล่เจ้าออกไป!”

หยุนเคอพยักหน้ารับ “ตอนที่เกิดมาข้ายังไม่เคยไปที่หน่วยงานราชการเพื่อขอเอกสารใด ๆ เลย ดังนั้นข้าคิดว่าข้าต้องขอรบกวนท่านหัวหน้าหมู่บ้านเสียแล้ว!”

หัวหน้าหมู่บ้านเผยสีหน้าลังเลออก หยุนเคอจึงวางเงินปึกใหญ่ลงบนโต๊ะ…

“ขอท่านหัวหน้าหมู่บ้านโปรดช่วยข้าด้วย…”

หัวหน้าหมู่บ้านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อมือของเขาสัมผัสกระเป๋าเงิน เขาก็ต้องตกใจกับน้ำหนักข้างใน พรานป่าผู้นี้ช่างมีน้ำใจเสียจริง เงินกว่าห้าสิบตำลึงอยู่ตรงหน้าของเขา!

“ไม่ต้องห่วงเรื่องขอเอกสารต่าง ๆ หรอกหยุนเคอ เพราะไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็จะเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านนี้อยู่ดี อ้อ งั้นอยู่ร่วมทานอาหารกับข้าก่อนสิ”

เดิมทีหยุนเคออยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อคิดดูแล้ว เขายังต้องการอยู่ในหมู่บ้านนี้ ดังนั้นการรักษาสัมพันธ์ก็ไม่เลว เช่นนี้จึงตอบตกลงอย่างว่าง่าย

ลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านเดินไปที่โต๊ะอาหาร พลางเห็นชายหนวดเครารุงรังผู้นี้ นางพลันตื่นตระหนกกระโดดตัวโยนและวิ่งกลับไปที่ห้องพร้อมปิดประตูเสียงดัง!

หยุนเคอยิ้มแห้งอย่างขมขื่น หัวหน้าหมู่บ้านเองก็รู้สึกอับอายไม่น้อย

“หยุนเคอ… เจ้าลองโกนเคราอันรุงรังนี้เถิด ไม่เช่นนั้น… ทุกคนจะตกใจเมื่อพบเจอเจ้า ผู้คนในหมู่บ้านนั้นขี้กลัวโดยเฉพาะเหล่าสตรี!”

หยุนเคอไม่เต็มใจจึงยกมือปิดหน้าและหนวดเคราของตนเองทันที

“แต่ข้าเคยชิน… มันอยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว!”

เมื่อได้ยินดังนั้นหัวหน้าหมู่บ้านจึงไม่คิดบังคับเขาอีกต่อไปและเริ่มถามไถ่แผนในอนาคตของเขาทันที

“หยุนเคอ… การอยู่ในหมู่บ้านนี้ก็เป็นเรื่องดี แต่สำหรับผู้ชาย… การแต่งงานก็เป็นเรื่องสำคัญ!”

“ข้าคิดว่าเฉินเถียนเถียนก็ไม่ได้แย่ แม้จะมีข่าวลือไม่ดีในหมู่บ้านแต่เด็กคนนี้บริสุทธิ์และไร้เดียงสา เป็นการดีที่จะไปสู่ขอนางที่บ้าน …เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย!”

ขณะพูดอย่างนั้นหัวหน้าหมู่บ้านรู้สึกว่าความคิดของตนนั้นยอดเยี่ยมยิ่ง เขาพยักหน้าให้กับความคิดของตัวเองอย่างพึงพอใจ