หวังซีเพ่งตาดู ระหว่างไผ่นางสนมมีไผ่สี่เหลี่ยมและไผ่ลำเดี่ยวปลูกแซมเอาไว้ เหมือนกับป่าไผ่ที่นางแอบมองมาจากบนกำแพงของสวนร่มหลิวที่จวนหย่งเฉิงโหวไม่มีผิด!

น้ำเสียงของนางหยุดไปครู่หนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่

ลู่หลิงถามอย่างไม่เข้าใจว่า พี่สาวหวัง เจ้าเป็นอะไรไปหรือ

หวังซีคล้ายกับมีแมวกำลังข่วนหัวใจของนางอยู่

ถ้าหากป่าไผ่ผืนนี้คือป่าไผ่ที่นางเห็นก่อนหน้าผืนนั้นจริง ก็อนุมานได้ว่านอกจากตำแหน่งที่ตั้งที่พวกนางอยู่ในตอนนี้จะใกล้กับศาลากวางร้องมากแล้ว ยังใกล้กับป่าไผ่ผืนนั้นมากอีกด้วยใช่หรือไม่

ในหัวของนางปรากฏภาพดาบเก้าห่วงเล่มใหญ่ผูกผ้าไหมสีแดงเล่มนั้นขึ้นมา

โบกสะพัดพึ่บพั่บท้าทายสายลมอย่างเกรี้ยวกราดหาใดเปรียบได้

นางอดไม่ได้บีบกำปั้นไปมา กระแอมไอเบาๆ เสียงหนึ่ง แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น กล่าวว่า ไม่มีอะไรๆ เมื่อครู่นึกถึงเรื่องอื่นขึ้นมา สมองจึงคิดไม่ทัน

คุณหนูรองตระกูลอู๋กลับเฉลียวฉลาดและตรงไปตรงมากว่าที่หวังซีคิดเอาไว้มาก นางครุ่นคิดแล้วกล่าวกับหวังซีว่า หรือว่าเจ้าพักอยู่ที่สวนร่มหลิว? มิใช่ว่าสวนนั้นปล่อยรกร้างมานานหลายปีแล้วหรอกหรือ พี่ชายรองลั่วโตขนาดนี้แล้ว ด้านนั้นก็เป็นเรือนชั้นใน เขาคงไม่ปีนกำแพงของจวนหย่งเฉิงโหวแล้วกระมัง

เห็นได้ชัดว่าท่านนี้ก็เป็นอีกคนที่รู้เรื่องในปีนั้นด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ผู้อื่นยังเรียกเฉินลั่วว่า ‘พี่ชายรองลั่ว’ เห็นได้ชัดว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับเฉินลั่ว และยังเป็นมิตรภาพที่ไม่เลวด้วย

จ่างกงจู่อยากให้นางมาเป็นบุตรสะใภ้ของตัวเอง…หวังซีคิดแล้วลอบเบ้ปาก

ถึงแม้เฉินลั่วจะหน้าตาดี แต่คุณหนูรองตระกูลอู๋นิสัยดี เมื่อเทียบกับเขาแล้วยิ่งกว่าดีเสียอีก

คุณหนูรองอู๋ถามอย่างตรงไปตรงมา ฉังเคอกลับกลัวว่าหากถ้อยคำนี้แพร่ออกไป จะทำลายชื่อเสียงของหวังซี ไม่รอให้หวังซีเอ่ยปากก็รีบอธิบายอย่างร้อนใจว่า สวนร่มหลิวปล่อยร้างเอาไว้หลายปีแล้วจริงๆ ก็อย่างที่เห็น หลังจากที่พี่สาวซือมาถึง สถานที่อยู่จึงค่อนข้างคับแคบ น้องสาวต่างสกุลมีเงินส่วนตัวมาก อีกทั้งเป็นคนกตัญญู จึงช่วยแก้สถานการณ์ให้ท่านย่า นำเงินมาซ่อมแซมปรับปรุงสวนร่มหลิวใหม่ เพียงแต่ว่าเพิ่งจะเริ่มดำเนินการได้ไม่นาน ทางด้านนั้นจึงยังซ่อมแซมไม่แล้วเสร็จ ปลายเดือนหกถึงจะย้ายเข้าไปอยู่ได้ นอกจากนี้มิใช่บอกว่าคุณชายรองเฉินย้ายออกไปแล้วหรอกหรือ อีกทั้งปัจจุบันเขาเป็นผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองพลม้าทะยาน เป็นนายทหารยศขั้นสี่บนที่น่านับถือ ไหนเลยจะยังเป็นเหมือนสมัยเด็กที่ถูกเจิ้นกั๋วกงไล่ตีเช่นนั้นอีก

คุณหนูรองอู๋ฟังแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า เป็นข้าที่เข้าใจผิดไป หลายวันก่อนข้าได้พบพี่ชายรองลั่ว แข่งม้ากับองค์ชายห้าอยู่ที่ชานเมืองทางตะวันตก องค์ชายห้าแพ้ พี่ชายรองลั่วยังเอาแส้ทองดำขององค์ชายห้าไปด้วย นั่นเป็นของที่ฮ่องเต้พระราชทานให้เขาตอนวันคล้ายวันเกิดของเขา ปกติเขารักมันเสมือนสมบัติล้ำค่า

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เฉินลั่วยังเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต

ในหัวของหวังซีมีภาพที่เฉินลั่วยิ้มน้อยๆ ขณะประคองนางเอาไว้ปรากฏออกมา

ดูไม่เหมือนนี่นา!

ขณะที่นางพึมพำอยู่ในใจ ก็ได้ยินคุณหนูรองอู๋กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม น้องสาวสี่ตระกูลฉังคงไม่ได้ออกจากบ้านมาระยะหนึ่งแล้วกระมัง พี่ชายรองลั่วมิใช่ผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองพลม้าทะยานยศขั้นสี่บนแล้ว บัดนี้เขาได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดกองพลม้าทะยานซ้าย เป็นนายทหารยศขั้นสามบนแล้ว

ความจริงแล้วกองพลม้าทะยานมีชื่อเรียกว่า ‘กองพลสี่ม้าทะยาน’ ประกอบไปด้วย กองพลม้าทะยานซ้าย กองพลม้าทะยานขวา กองพลอาชาหาญซ้าย และกองพลอาชาหาญขวา ทั้งหมดมีผู้บังคับบัญชาสูงสุดหนึ่งคน ผู้บังคับบัญชากองพลสามคน ยังมีผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาและรองผู้บังคับบัญชาอีกจำนวนหนึ่ง ทุกคนก็แค่เรียกกองพลทั้งสี่ว่า ‘กองพลม้าทะยาน’ ด้วยความเคยชินเท่านั้น กองพลม้าทะยานทั้งไม่ขึ้นกับกรมกลาโหมและไม่ขึ้นกับกองบัญชาการทหารทั้งห้า แต่ขึ้นตรงกับฮ่องเต้ เป็นหนึ่งในกองพลส่วนพระองค์ของฮ่องเต้

แน่นอนว่าฮ่องเต้ไม่อาจไปจัดการดูแลรายละเอียดต่างๆ ของสี่กองพลนี้ด้วยตัวพระองค์เองจริงๆ มักจะให้ขันทีที่ฮ่องเต้ไว้วางพระทัยไปดูแลให้แทน และด้วยความพิเศษของมัน อาจมีบุตรหลานของผู้มีความดีความชอบที่ฮ่องเต้โปรดปรานมีชื่ออยู่ในกองพลทั้งสี่นี้ มีตำแหน่งงานและได้รับเบี้ยรายเดือนที่เหมาะสม แต่ไม่มีอำนาจจริงๆ

ด้วยสถานะบุตรชายของจ่างกงจู่ อายุสิบสองปีเฉินลั่วก็มีตำแหน่งทางทหารเป็นผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองพลยศขั้นสี่บนแล้วหนึ่งตำแหน่ง ก็น่าจะอยู่ในเงื่อนไขนี้

ด้วยเหตุนี้เวลาทุกคนกล่าวแนะนำตัวเขามักจะเรียกเขาว่า ‘ผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองพลม้าทะยาน’ แต่ไม่อาจระบุได้ว่าเขาเป็นผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาของกองพลไหนกันแน่ คนที่รู้แค่ฟังก็เข้าใจแล้วว่าเขามีตำแหน่งเพียงในนามเท่านั้น แต่ไม่ได้มีอำนาจควบคุมจริงๆ ส่วนคนที่ไม่รู้ก็ไม่จำเป็นต้องรู้

แต่ตำแหน่งที่มียศบอกอย่างชัดเจนว่าควบคุมดูแลกองพลไหนอย่าง ‘ผู้บังคับบัญชาสูงสุดกองพลม้าทะยานซ้าย’ นั้นหมายความว่ามีอำนาจควบคุมดูแลจริงๆ

ฉังเคอตกตะลึงงัน

หวังซีกลับไม่ยี่หระ

หลานชายของฮ่องเต้ ย่อมได้เปรียบกว่าผู้อื่นเล็กน้อยอยู่แล้ว

ไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งทางทหารยศขั้นสามบนที่มีอำนาจจริงๆ หนึ่งตำแหน่ง ใช้เวลาฝึกฝนอีกสักหน่อย การหาตำแหน่งทางทหารยศขั้นสองบนให้เขาอีกหนึ่งตำแหน่งก็มิใช่เรื่องยากอะไร

ราชสำนักมีกฎมนเทียรบาลว่า ‘ไม่สร้างคุณงามความดีให้สังคมไม่อาจแต่งตั้งบรรดาศักดิ์’ หากฮ่องเต้ให้ท้ายเขาอีกสักหน่อย อาจจะถึงขั้นเปิดสนามรบให้เขาสักครั้ง เพื่อแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้เขาก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นแล้ว

เป็นคนละเรื่องกับคนที่สร้างคุณงามความดีในสนามรบจริงๆ อย่างจวนชิงผิงโหวเหล่านี้

อาจถึงขั้นไม่มีอะไรเทียบกันได้ด้วยซ้ำ เกรงว่าตำแหน่งทางทหารยศขั้นเจ็ดเล็กๆ ของจวนชิงผิงโหวตำแหน่งหนึ่งอาจจะมีผลงานดีกว่าเฉินลั่วที่มียศขั้นสามบนผู้นี้เสียอีกก็เป็นได้

ฉังเคอกลับถามขึ้นอย่างผิดหวังว่า เช่นนั้นคุณชายใหญ่เฉินเล่า

สามปีก่อน เฉินอิงเป็นหัวหน้ากองธงเล็กยศขั้นเก้าบนของกองพลขนนก ถึงแม้ยศต่ำ ทว่ามีอำนาจจริงๆ หากว่ากันตามนี้ ก็ถือได้ว่าสองพี่น้องไม่แตกต่างกัน

คุณหนูรองอู๋มองฉังเคอด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยครั้งหนึ่ง กล่าวว่า พี่ชายใหญ่อิงเข้าพิธีสวมกวนแล้วเมื่อสองปีก่อน เป็นธรรมดาที่ไม่อาจเป็นหัวหน้ากองธงเล็กต่อไปได้แล้ว บัดนี้เขาดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับบัญชากองพลขนนกซ้ายยศขั้นสี่บน

กองพลขนนกเองก็แบ่งเป็นกองพลซ้ายและกองพลขวา

ได้ยินคุณหนูรองอู๋กล่าวเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเฉินอิงเองก็เป็นนายทหารที่มีอำนาจจริงๆ ผู้หนึ่ง

ฉังเคอโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง

คุณหนูรองอู๋อดไม่ได้กล่าวเจือรอยยิ้มว่า ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีภาพจำเกี่ยวกับพี่ชายใหญ่อิงดีมากขนาดนี้!

การที่หญิงสาวถามคำถามเช่นนี้ออกมา ก็เท่ากับมีความนัยแฝงอยู่บ้างแล้ว

หวังซีคิดไม่ถึงว่าฉังเคอจะเปิดเผยและตรงไปตรงมากว่าที่นางคิดเอาไว้ นางกล่าวด้วยดวงหน้าแดงเล็กน้อยว่า เมื่อก่อนคุณชายใหญ่เฉินดีต่อพวกข้าเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เขาอายุมากกว่าพวกข้ามาก ข้าเองก็หวังว่าต่อไปเขาจะมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นไป

เผยความหมายว่าหวังแค่ได้มองดูอยู่ไกลๆ แต่ไม่อาจหยอกเอินได้

คุณหนูรองอู๋กับหวังซีต่างคาดไม่ถึงเล็กน้อย คุณหนูรองอู๋ถึงขั้นทำปากขมุบขมิบ ไม่รู้จะพูดอะไรดี ครู่ใหญ่ก็ยังพูดอะไรไม่ออก

หวังซีรู้สึกประทับใจในตัวคุณหนูรองอู๋เป็นอย่างมาก ฉังเคอยิ่งแล้วใหญ่เป็นพี่สาวที่ดีของนาง นางจึงหยิบเอาเรื่องของตัวเองมากล่าวแก้สถานการณ์ให้คนทั้งสอง พูดถึงป่าไผ่ผืนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ข้าบังเอิญเห็นเข้าตอนที่ไปเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ด้านหลังของจวนหย่งเฉิงโหว ตอนนั้นก็รู้สึกแล้วว่าต้นไผ่เหล่านั้นช่างปลูกได้ดียิ่ง แล้วก็ปลูกได้อย่างชาญฉลาดด้วย ไผ่นางสนมแข็งแรง ไผ่สี่เหลี่ยมสูงใหญ่ และไผ่ลำเดี่ยวยืดหยุ่น เว้นระยะปลูกได้สมบูรณ์แบบ จึงมองอยู่หลายครั้ง น่าเสียดายที่อยู่ไกลเกินไป ไม่อย่างนั้นข้ายังอยากจะดูดีๆ อีกสักหน่อย!

คุณหนูรองอู๋ได้ยินแล้วหันไปยิ้มให้หวังซี รอยยิ้มนั่นเผยความเข้าใจออกมาให้เห็นหลายส่วน ยิ่งไปกว่านั้นท่าทีที่นางมีต่อหวังซีก็สนิทสนมใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นด้วย นางยังกล่าวคล้อยไปตามคำพูดของหวังซีว่า เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดสวนดีมาก ตอนเป็นเด็กข้าเองก็เคยศึกษาป่าไผ่ผืนนี้มาก่อนเช่นกัน รู้สึกเพียงว่ามันก็แค่ดูดีกว่าของบ้านอื่นเท่านั้น แต่ดีกว่าอย่างไรนั้น ข้าอธิบายออกมาไม่ได้จริงๆ อย่างไรก็ตาม วันนี้มีแขกจำนวนมาก รอให้ถึงเดือนเจ็ดเดือนแปด จ่างกงจู่ต้องจัดงานชมบุปผาอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นจะเชิญเฉพาะสตรีเท่านั้น คนในวังหลวงส่วนมากก็จะไปหลบร้อนที่อุทยานประจิม ไม่ค่อยออกจากบ้านกัน พวกเราจะได้เล่นสนุกกันได้ตามสะดวก น่าสนุกกว่า อย่างไรเสียพี่ชายรองลั่วก็ไม่ค่อยมาพักที่ศาลากวางร้องเป็นระยะยาวอยู่แล้ว พวกเราไปขออนุญาตจ่างกงจู่ ถึงเวลาไปเล่นทางด้านนั้นกัน สายลมพัดเอื่อยๆ เย็นสบายกว่าที่ศาลาริมน้ำเสียอีก!

ดูแล้วคุณหนูรองอู๋กับสองพี่น้องสกุลเฉินมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก!

พวกฉังเคอเรียกสองพี่น้องนี้ว่า ‘คุณชายใหญ่’ กับ ‘คุณชายรอง’ แต่คุณหนูรองอู๋เรียก ‘พี่ชายใหญ่อิง’ กับ ‘พี่ชายรองลั่ว’ ได้เลย แทบจะมองไม่เห็นรอยร้าวที่เกิดจากการปฏิเสธการเกี่ยวดองกันเลย ไม่รู้ว่าข่าวลือนี้เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ ตกลงเป็นผู้ใดกันแน่ที่ไม่เห็นด้วยกับการเกี่ยวดองของทั้งสองตระกูล

สมองของหวังซีขบคิดอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่เผยออกมาให้เห็นทางสีหน้าแม้แต่นิดเดียว นอกจากขานรับยิ้มๆ ว่า ได้ แล้ว ยังกล่าวอีกว่า ป่าไผ่ผืนนี้ใหญ่หรือไม่ ตรงไปถึงกำแพงบ้านของทั้งสองบ้านเลยหรือเปล่า

คุณหนูรองอู๋พยักหน้า ยิ้มกล่าว ติดกับจวนหย่งเฉิงโหวพอดี แต่ไม่ได้ใหญ่มาก น่าจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เดินจากด้านนี้ไปถึงกำแพงบ้านของจวนหย่งเฉิงโหว สำหรับข้าใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา แต่พวกเจ้าอาจต้องใช้เวลานานขึ้นอีกสักหน่อย

หวังซีฟังแล้วพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ประจวบเหมาะกับที่ฉังเคอได้สติกลับคืนมาแล้ว ทุกคนจึงตัดสินใจเข้าไปดูในห้องอุ่นสักหน่อย เบนเข็มออกจากหัวข้อสนทนานี้ไป

แต่หวังซีกลับไม่ลืม นางเดินตามคุณหนูรองอู๋และคนอื่นๆ ด้วยอาการใจลอยอยู่ในห้องอุ่นไปหนึ่งรอบ อากาศในห้องอุ่นร้อนและชื้นเกินไปทำให้พวกนางรู้สึกทนไม่ได้เล็กน้อย จึงเดินตามทางออกมาจากห้องอุ่น

คุณหนูรองอู๋ชี้ไปยังมุมหลังคาสีแดงที่โผล่พ้นออกมาจากพุ่มไม้เขียวขจีที่อยู่ไม่ไกลพลางกล่าว เห็นหรือไม่ ที่นั่นคือหอนกกระจ้อยขับขาน ประเดี๋ยวพวกเราจะไปชมงิ้วที่นั่นกัน ได้ยินว่าเปิดการแสดงด้วยเรื่อง ‘คุณชายสี่ออกตามหามารดา’ ของคณะหลีฮวา ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จเหมือนกัน ข้ากลับรู้สึกว่าเรื่อง ‘เขาติ้งจวิน’ ของคณะเหลียนจูแสดงได้ดีกว่าเรื่อง ‘คุณชายสี่ออกตามหามารดา’ ของคณะหลีฮวา เรื่องเปิดการแสดงควรแสดงเรื่อง ‘เขาติ้งจวิน’ มากกว่า

หวังซีพูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรว่า บางทีอาจเป็นความต้องการของคนในวัง?

นี่ก็เป็นไปได้ คุณหนูรองอู๋กล่าว ฮ่องเต้โปรดปรานตัวละครชายชาติทหาร ซูเฟยเหนียงเหนียงย่อมได้รับอิทธิพลความชอบมาด้วย

นางกล่าวขณะเดินนำพวกนางมุ่งหน้าไปทางห้องโถงรับรองของจวนชิงผิงโหวช้าๆ

หวังซีหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน กล่าวว่า ข้านึกอะไรขึ้นมาได้ ต้องการย้ำกำชับกับสาวใช้ของข้าสักคำหนึ่ง

นี่เป็นเรื่องปกติ

หญิงสาวมาเป็นแขกอยู่ในบ้านของผู้อื่น ยามมีอะไรไม่สะดวก ย่อมต้องให้สาวใช้วิ่งไปทำให้

คนอื่นๆ รีบเดินไปด้านหน้าโดยเว้นระยะช่วงหนึ่งไว้อย่างมีมารยาท ให้หวังซีได้มีพื้นที่และระยะในการสั่งการ

หวังซีจึงกวักมือเรียกชิงโฉวที่สุขุมรอบคอบกว่าให้ก้าวออกมา กระซิบกล่าวว่า เจ้าได้ยินที่คุณหนูรองตระกูลอู๋กล่าวมาแล้วใช่หรือไม่ หากข้าให้เจ้าแอบไปดึงดาบเล่มใหญ่ที่อยู่ในป่าไผ่เล่มนั้น เจ้ามีความมั่นใจหรือไม่ว่าจะไม่ถูกคนจับได้?

ชิงโฉวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กระซิบกล่าว ให้ดึงนั้นย่อมดึงได้ แต่หลังจากดึงออกมาแล้วให้ทิ้งไว้ที่ไหนดีเจ้าคะ

จากธรรมเนียมปฏิบัติของหัวหน้าเผ่าอวิ๋นกุ้ยของพวกเขาแล้ว การทำเช่นนี้เท่ากับการเปิดศึกกับอีกฝ่าย

ชิงโฉวรู้สึกว่าหวังซีไม่จำเป็นต้องมีเรื่องกับเฉินลั่วอย่างเอาจริงเอาจังเช่นนี้

พวกนางแอบดูก่อน เฉินลั่วเตือนทีหลัง ถอยหนึ่งก้าวทะเลกับท้องฟ้าก็กว้างขึ้นแล้ว

เหตุใดหวังซีจะไม่เข้าใจเหตุผลข้อนี้ แต่นางอดกลั้นโทสะนี้ไว้ไม่ได้

ทุกครั้งที่นึกถึงใบหน้าที่หล่อเหลากว่าผู้อื่นหลายส่วนของเฉินลั่วใบหน้านั้นขึ้นมา ผ้าไหมสีแดงแวววาวจับตาผืนนั้นก็ราวกับโบกสะบัดอยู่ตรงหน้านาง ทำให้นางหน้าร้อนผ่าว

หวังซีกล่าว ดึงดาบเล่มนั้นแล้ว ข้ากับเขาก็ไม่ติดค้างกันอีก จะตีฆ้องถอยทัพแล้ว ต่อให้เขายั่วยุข้าอีก ข้าก็จะทำเป็นมองไม่เห็น ทำเป็นไม่รับรู้

ชิงโฉวโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กล่าวว่า เพียงแต่ว่าดาบเล่มนั้นยาวและหนักมากเกินไป เกรงว่าจะซ่อนไม่ง่ายนัก

หวังซีกล่าว ซ่อนอะไรกัน ถึงเวลาเจ้าโยนทิ้งลงไปในสวนร่มหลิวที่อยู่ข้างๆ ได้เลย ทางนั้นไม่ค่อยมีคนไป อีกทั้งมีชั้นดอกไม้บังเอาไว้ ตอนเย็นพวกเราก็กลับไปแล้ว ค่อยเอามันไปฝังโดยไม่ให้เทพเซียนหรือผีสางได้รับรู้ก็ได้แล้ว ต่อให้เฉินลั่วค้นพบ พวกเราล้วนเป็นแขกอยู่ทางด้านนี้ เขาไม่มีหลักฐาน ก็ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าพวกเราเป็นคนทำ สิ่งสำคัญคือเจ้าอย่าให้ผู้อื่นจับได้เป็นอันขาด เพราะฉะนั้นข้าถึงได้ถามเจ้าว่าเจ้ามั่นใจหรือไม่

มั่นใจเจ้าค่ะ! ชิงโฉวตอบอย่างหนักแน่น

เรื่องเล็กน้อยแค่นี้นางทำได้อยู่แล้ว

หวังซีพยักหน้าอย่างพึงพอใจ กล่าวว่า ครั้งนี้ถือว่าข้าผิดต่อเขา ต่อไปข้าจะเลี่ยงจากเขาให้ไกลอย่างแน่นอน

ชิงโฉวรีบขานรับคำ

หวังซียังคงรู้สึกเสียดายใบหน้าของเฉินลั่วเล็กน้อย

นางเคยเห็นจ่างกงจู่แล้ว เฉินลั่วกับจ่างกงจู่ไม่ค่อยเหมือนกันนัก

หรือว่าเขาจะเหมือนเจิ้นกั๋วกง?

ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เจิ้นกั๋วกงก็เป็นบุรุษรูปงามที่หาได้ยากผู้หนึ่งแล้ว

หวังซีอยากเห็นว่าเจิ้นกั๋วกงหน้าตาเป็นอย่างไรเล็กน้อย

…………………………………………………………………

ตอนต่อไป