ตอนที่ 58 เจ้าหญิงน้อยของฉัน
หลังจากที่เย่ว์จือกวงสั่งงานกับหยางอวี่แล้ว ก็นั่งเครื่องบินส่วนตัวกลับไปที่เผ่า
กล่องของขวัญมากมายถูกอุ้มผ่านสวนที่ได้รับการดูแลอย่างดีแล้วเข้าประตูไป
คนขับรถจะช่วยเขายก หรือพ่อบ้านแม่บ้านจะขอ เขาก็ไม่ยอมให้แตะต้องกล่อง
นี่เป็นของจากหมู่บ้านน้องสาว เป็นของๆ น้องสาวเขา! เขาจะปล่อยให้คนอื่นสัมผัสได้อย่างไร!
เขาถือกล่องของขวัญขนาดใหญ่เล็กและถุงพลาสติกสีแดงแบบธรรมดาๆ ด้วยตัวเอง เดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยพรมลวดลายประณีต จากนั้นเข้าไปในห้องโถงอันกว้างขวาง สว่างสดใส และแปลกตา
คนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายหนุ่มรูปหล่อกำยำที่มีรัศมีแบบนักพรต เขาละสายตาจากแท็บเล็ตในมือแล้วมองออกไปข้างนอกหลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคย
“พี่ใหญ่”
หลังจากทักทายชายหนุ่มแล้ว เย่ว์จือกวงก็วางกล่องของขวัญเล็กใหญ่ลงบนโต๊ะ แล้วนั่งลงตรงข้ามกับพี่ชายของเขา
“คราวนี้นายกลับมาช้าไปครึ่งเดือน” เย่ว์จือเหิงวางแท็บเล็ตลงแล้วพูดกับเย่ว์จือกวงด้วยความสงสัย
“อืม ติดธุระบางอย่างน่ะ”
หลังจากเย่ว์จือกวงตอบคำถามพี่ชายสุดที่รักของเขาแล้ว เขาก็คุ้ยหาของจากกองกล่องของขวัญ
สายตาของเย่ว์จือเหิงมองตามการกระทำน้องชาย ก่อนจะมองไปยังไปที่กองสิ่งของบนโต๊ะ
“นายนำมันกลับมาจากแคว้นเหยียนหวงเหรอ”
“ใช่!”
เย่ว์จือกวงหยิบห่อเนื้อตากแห้งที่ด้านนอกพิมพ์โลโก้ว่า ‘เถาหยวน’ ออกมาจากถุงพลาสติกสีแดง ฉีกผนึกออกแล้วยื่นส่งให้เย่ว์จือเหิง
“พี่ใหญ่ลองชิมสิ อร่อยนะ!”
เย่ว์จือเหิงไม่ได้รับไป คิ้วคมขมวดเล็กน้อย
ทำไมน้องชายเขากลับมาจากข้างนอกคราวนี้ดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน? อีกฝ่ายไม่เคยกินของว่างแบบนี้มาก่อน
“พี่ใหญ่ พี่ไม่กินแล้วจะเสียใจ!”
เย่ว์จือกวง วางถุงเนื้อแห้งที่เปิดแล้วตรงหน้าเย่ว์จือเหิงจากนั้นก็ลุกขึ้น หยิบกล่องของขวัญสองกล่องและถุงพลาสติกสีแดง หันไปพูดกับเย่ว์จือเหิงว่า “ผมจะขึ้นไปหาแม่และอาที่ชั้นบนนะ”
“นายจะเอาของพวกนี้ไปให้แม่และอาเหรอ”
“อืม”
“อากวง วางลง” เยว่จือเหิงไม่พอใจเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ไม่วุ่นวาย ผมจะไปหาแม่และอาก่อน แล้วค่อยลงมาคุยกันดีๆ!”
พูดถึง ‘สิ่งดีๆ’ เย่ว์จือกวงจึงอารมณ์ดีมาก
คิ้วที่ขมวดแน่นของเย่ว์จือเหิงผ่อนคลายลง
น้องชายเขารู้ขอบเขตมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเขาจึงควรไว้วางใจเขา
“ไปเถอะ”
“อื้ม พี่ พี่รีบกินเนื้อตากแห้งเร็วๆ มันอร่อยจริงๆ นะ”
เย่ว์จือเหิงมองดูเย่ว์จือกวงที่จากไป เดินขึ้นไปชั้นบนจากมุมห้อง จากนั้นก็ละสายตากลับมายังถุงบรรจุภัณฑ์ที่ปิดสนิทตรงหน้าเขา ลังเลอยู่สองสามวินาทีก่อนที่จะหยิบขึ้นมาดู
พ่อบ้านวางจานและตะเกียบลงบนโต๊ะพร้อมกับขยิบตาให้ จากนั้นหยิบถุงบรรจุภัณฑ์จากมือของเย่ว์จือเหิงแล้วค่อยๆ เทเนื้อด้านในลงในจาน ก่อนจะยื่นตะเกียบให้เย่ว์จือเหิง
เขาเป็นพ่อบ้านมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมา ผ่านขั้นตอนมากมาย เขาจึงเตรียมทุกอย่างล่วงหน้าก่อนที่เจ้านายจะพูด!
“ลุงหลาน อากวงเน้นย้ำความอร่อยอยู่สองถึงสามครั้ง ลุงไปหยิบตะเกียบมาเพิ่มอีกคู่เถอะ แล้วมาลองชิมด้วยกัน”
“คุณชายใหญ่ คุณกินก่อนเถอะครับ” ลุงหลานโค้งคำนับเล็กน้อยและยิ้ม
คุณชายรองนำสิ่งนี้กลับมาด้วยตัวเอง และไม่ให้ผู้อื่นแตะต้อง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ากินด้วย
“เมื่อกี้อากวงบอกว่ามีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น เขาหาแฟนได้แล้วเหรอ” ไม่งั้นจะอธิบายเรื่องข้าวของกองนี้อย่างไรได้ ซ้ำยังย้ำว่าอร่อยหลายรอบ! ถึงกับบอกว่าถ้าไม่กินจะเสียใจ!
“เอ่อ…คุณชายรองเพิ่งออกไปไม่นานนะครับ นอกจากนี้คุณชายรองยังบอกว่าเขาต้องหาเจ้าหญิงน้อยให้พบก่อน…”
จู่ๆ ใบหน้าของเย่ว์จือเหิงก็เปลี่ยนไป เขาวางตะเกียบลงแล้วรีบขึ้นไปชั้นบนทันที
เมื่อเขาขึ้นไปที่ชั้นบนก็อดไม่ได้ที่จะก้าวเดินช้าลง รวมถึงหายใจช้าลงด้วย เมื่อเดินไปที่ห้องตรงกลางที่เปิดประตูค้างไว้ ก็ได้ยินเย่ว์จือกวงเกลี้ยกล่อมแม่ให้กินข้าว
“แม่ครับ ดูเนื้อตากแห้งที่ผมนำกลับมาจากแคว้นเหยียนหวงสิ แม่กินเยอะๆ หน่อยนะ”
เป่ยซีดูเหมือนจะไม่ได้ยิน เธอไม่แม้แต่จะมองลูกชายของเธอ เอาแต่จ้องไปที่เปลข้างหน้าเธอด้วยสายตาเหม่อลอย
“อากวง” หญิงงามที่นั่งถัดจากเป่ยซีร้องเรียก จากนั้นก็ส่ายหัวให้เขา
“อา กินด้วยกันสิครับ”
“ฉันไม่ชอบกินของพวกนี้ พวกเธอพี่น้องแบ่งกันกินเถอะ” เมื่อเร็วๆ นี้เย่ว์เลี่ยงรู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่มีสาเหตุและไม่อยากอาหารเลย
“แม่ อา นี่คือผลิตภัณฑ์จากหมู่บ้านของสาวน้อยวัยสิบแปดปีคนหนึ่ง รสชาติอร่อยมาก ได้กินแล้วจะหลงรักแน่นอน”
“อายุสิบแปดปี! อากวง เธอบอกว่าเธออายุสิบแปดปี?”
ทันทีที่เป่ยซีได้ยินว่าเธออายุสิบแปดปีก็มีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงทันที ดวงตาของเป่ยซีมุ่งมั่นขึ้นมา
เธอเขย่าแขนของเย่ว์จือกวง เขย่าจนบรรจุภัณฑ์ที่เปิดอยู่ตกลงไปที่พื้น เนื้อตากแห้งกระจัดกระจายไปทั่ว
“อากวง บอกแม่เร็ว ลูกหาน้องเจอแล้วใช่ไหม เธออยู่ที่ไหน แม่จะไปรับเธอกลับมาเดี๋ยวนี้!”
“แม่ครับ แม่ อย่าตื่นเต้น ผมสัญญาว่าผมจะรับน้องสาวกลับมาอย่างแน่นอน” เย่ว์จือกวงกำเนื้อตากแห้งในมือของเขาลงแล้วกอดแม่อย่างปลอบโยน
“แม่จะไปรับเสี่ยวอิ๋งเอ๋อร์ แม่ต้องการไปหาเจ้าหญิงน้อยของแม่!” เป่ยซีไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมากจากไหน เธอดิ้นออกจากอ้อมแขนของลูกชายคนเล็กและวิ่งออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เย่ว์จือเหิงที่อยู่ตรงประตู กอดเป่ยซีไว้ทันที
“แม่ครับ ฟังที่อากวงพูดก่อน แม่จะทำให้น้องสาวตกใจถ้ายังเป็นแบบนี้”
เป่ยซีที่ตื่นเต้นอย่างมากยอมเงียบลง
“ใช่ๆๆ ตอนนี้แม่ต้องน่าเกลียดมากแน่ๆ จะทำให้เจ้าหญิงน้อยของเราตกใจ แม่ต้องแต่งตัวไม่ให้อิ๋งเอ๋อร์ตัวน้อยของเราตกใจ” เป่ยซีผลักลูกชายคนโตออกแล้ววิ่งเข้าไปในห้องนอน
“ครีมดูแลผิวของฉันอยู่ที่ไหน” เป่ยซีมองดูความว่างเปล่าของโต๊ะเครื่องแป้งด้วยความงุนงงเล็กน้อย
“แม่ครับ แม่ไม่ได้แต่งตัวมาหลายปีแล้ว ครีมดูแลผิวแม่หมดอายุไปนานแล้ว พ่อคงทิ้งไป ผมเลยเอาอันใหม่มาให้ครับ”
เย่ว์จือกวงรีบนำกล่องของขวัญมาเปิดออกหยิบขวดออกมาวางบนโต๊ะ
“พี่สะใภ้ ฉันช่วยพี่ล้างหน้าก่อนแล้วเราค่อยมาแต่งหน้ากัน” เย่ว์เลี่ยงช่วยประคองเป่ยซี เข้าไปในห้องน้ำ
“อากวง…”
แม้ว่าเย่ว์จือเหิงจะเรียกชื่อเขาตามปกติ แต่ในฐานะน้องชาย เย่ว์จือกวงจึงเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดออกมา
เหลือบมองไปทางห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอน เขาจึงโบกมือให้ออกไปพูดกันข้างนอก
สองพี่น้องเดินออกจากห้องนอนแล้วนั่งลงในห้องนั่งเล่นขนาดเล็กด้านนอก
“อากวง นายพบน้องสาวแล้วเหรอ” เยว่จือเหิงรู้สึกตื่นเต้นมาก
เมื่อตอนที่น้องสาวเกิด เขาอายุได้แปดขวบ และเขาก็มีเหตุผลมากกว่าเย่ว์จือกวงที่อายุเพียงห้าขวบที่จะทำให้หัวใจของเขายิ่งปวดร้าวมากขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ไปโรงเรียนเป็นเวลาสองปีเต็มเพื่อไปตามหาน้องสาว
เย่ว์จือกวงเหลือบมองไปทางห้องนอน จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยให้พี่ชายของเขา
เย่ว์จือเหิงลุกพรวดขึ้นยืนอย่างแรง
เย่ว์จือกวงรั้งเขาไว้
“พี่ใหญ่ อย่าเพิ่งตื่นเต้น พี่ฟังผมพูดก่อน”
เย่ว์จือเหิงที่อ้าปากค้างอย่างกระวนกระวาย ค่อยๆ สงบอารมณ์ที่ตื่นเต้นของเขาลง
“นายพูด”
“ของพวกนี้ที่ผมนำกลับมาผลิตขึ้นในหมู่บ้านน้องสาวของเรา… ”
“หมู่บ้าน! น้องสาวใช้ชีวิตอย่างยากลำบากหรือไม่ ทำไมนายไม่พาเธอกลับมาด้วย”
“พี่ใหญ่ๆ ใจเย็นก่อน!”
เย่ว์จือเหิงสูดหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง “นายพูดต่อ”
เย่ว์จือกวงใช้คำที่กระชับที่สุดเพื่อบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เขาได้พบกับมู่เถาเยา การไปหมู่บ้านเถาหยวนซานและอื่นๆ
เดิมทีเขาอยากจะปิดไว้สักพัก รอให้น้องสาวของเขายอมรับจากก้นบึ้งของหัวใจก่อนจะบอกทุกคน แต่ครอบครัวเขาต้องทนทุกข์ทรมานมาสิบแปดปีแล้ว เขาจึงทนมองต่อไปไม่ไหว