บทที่ 61 ร่างงามใต้ร่ม

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 61 ร่างงามใต้ร่ม

เมื่อตรวจสอบรอบหนึ่ง สวี่ชิงจึงก้มลงเก็บถุงเปื้อนเลือดของผู้บำเพ็ญกลางคนขึ้นมา จากนั้นก็โรยผงสลายศพไปบนร่างเขา ศพที่เลือดเนื้อเละเทะเข้ารวมกับน้ำฝนที่อยู่บนพื้นท่ามกลางการชะล้างของสายฝน

เมื่อจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงก็กลับมายังเรือเวท นั่งขัดสมาธิอยู่ในตัวเรือ เขาเปิดถุงของอีกฝ่ายดู หลังจากกวาดตามองก็ย่นคิ้ว ในถุงนี้นอกจากของสัพเพเหระบางส่วน ก็ไม่มีหินวิญญาณหรือทรัพยากรการฝึกบำเพ็ญอยู่เลย

เรือเวทเองก็ไม่มี มีแค่แผ่นหยกสีเลือดชิ้นหนึ่งกับป้ายฐานะเท่านั้น แต่จากการตายของคนผู้นี้ ป้ายฐานะจึงสิ้นประกายแสงไปแล้ว ส่วนเรื่องแต้มอุทิศด้านในมีอยู่เท่าไร สวี่ชิงมองไม่เห็น และไม่สามารถโยกย้ายได้ด้วย

สิ่งนี้ จำเป็นต้องให้เจ้าตัวดำเนินการให้

“สิ่งของของเขา น่าจะเก็บเอาไว้ที่อื่น…” สวี่ชิงลอบถอนหายใจ แต่ก่อนเวลาลงมือเขามักจะสังหารทิ้งเป็นหลัก จึงทำให้โยกย้ายแต้มอุทิศอีกฝ่ายมาลำบาก

“ครั้งหน้า ถ้าหากมีโอกาส ต้องทำให้เจ็บหนักก่อนหรือ” สวี่ชิงคิด แต่ก็รู้สึกว่าเช่นนี้มันไม่น่าเชื่อถือ จึงล้วงเอาแผ่นหยกชิ้นนั้นขึ้นมา หลังจากตรวจสอบดวงตาของเขาก็เผยประกายออกมาฉับพลัน

“ประกาศจับ?” นี่ไม่ใช่ตราหยกประกาศจับทั่วไป แต่เป็นสิ่งที่ใช้ประกาศกันแบบส่วนตัว ด้านในมีข้อมูลคนเป็นพรวน ล้วนเป็นศิษย์ของเจ็ดเนตรโลหิตทั้งสิ้น ด้านหลังยังมีราคาแสดงไว้อีกด้วย

แถวหนึ่งในนี้ ด้านในเขียนชื่อสวี่ชิงไว้ชัดเจน กระทั่งยังมีชื่อเล่นของเขาในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดอีกด้วย ราคาที่อยู่ด้านหลัง คือห้าสิบหินวิญญาณ

‘บรรพชนสำนักวัชระ!’ สวี่ชิงดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบ สามารถรู้ข้อมูลของเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังตั้งค่าหัวไว้ห้าสิบหินวิญญาณ ก็มีแต่บรรพชนสำนักวัชระเท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายหาร่องรอยตนเองพบแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้ข้อมูลของตนเองในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอีกด้วย

ถึงอย่างไรเมืองเขากวางแม้จะเป็นเมืองย่อยของเจ็ดเนตรโลหิต แต่ก็มีสายของสำนักวัชระอยู่ในพื้นที่ ตรวจสอบขึ้นมาคงไม่ยากเกินไปนัก

“บรรพชนสำนักวัชระรู้ข้อมูลได้เร็วขนาดนี้ อธิบายได้ว่ามีเส้นสายในเจ็ดเนตรโลหิตอยู่ด้วยเช่นกัน”

“แต่ติดที่กฎเกณฑ์ของเจ็ดเนตรโลหิต เขาไม่กล้าลงมือเอง ดังนั้นจึงตั้งค่าหัวขึ้นมา!”

สวี่ชิงครุ่นคิด เหลือบมองแผ่นหยกสีเลือดในมือ หลังจากดำเนินการบางอย่าง ก็รับภารกิจสังหารตนเองขึ้นมา

“ต้องรีบฝึกบำเพ็ญแล้ว จากนั้นก็จัดการบรรพชนสำนักวัชระทิ้งให้ไวที่สุด”

เวลาไหลผ่านไปหลายวัน

ฝนห่านี้ตกมาถึงสี่วันเต็ม

วันที่สามกลายเป็นลมพายุใหญ่ โหมพัดคลื่นยักษ์ขึ้นมา เหมือนจะพัดกวาดท่าเรือทิ้งทั้งหมด

แต่เมืองหลักที่อยู่ภายในของค่ายกล ไม่ว่าลมพายุจะน่าพรั่นพรึงเพียงใด ท่าเรือก็ยังเหมือนกับหินโสโครก ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย จนกระทั่งถึงเช้าตรู่วันที่ห้า ลมพายุที่ไม่อาจกำเริบเสิบสานต่อก็จำใจต้องเลือกถอยหนี ลมฝนค่อยๆ เบาบางลง

สวี่ชิงเงยหน้ามองท้องฟ้าด้านนอก แม้จะเป็นช่วงเช้าตรู่ แต่ฟ้าก็ยังเทาทะมึนเต็มไปด้วยแรงกดดัน

เขาจัดเรียงยาลูกกลอนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงเดินออกจากเรือเวท เพิ่งจะได้เหยียบขึ้นฝั่ง กลิ่นคาวของทะเลแผ่ซ่านมา ผสมความกระหายเลือดจางๆ เดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือนในลมฝนด้านนอก

สี่วันนี้แม้ลมพายุกระหน่ำไปทั่ว แต่สำหรับกรมปราบพิฆาต ลมฝนไม่อาจสกัดกั้นภารกิจได้ เพียงแต่นอกเหนือจากงานของทุกวันอย่างการค้นหาร่องรอยของนกเขาราตรีแล้ว ก็ยังมีอีกอย่างหนึ่งเพิ่มเข้ามา

นั่นก็คือจับตัวคนร้าย

ทุกครั้งที่มีลมพายุเข้าเจ็ดเนตรโลหิต เนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้ายรวมไปถึงหน่วยงานต่างๆ หยุดทำการ ประกอบกับการที่ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ไม่ออกไปไหน ดังนั้น…การลอบแย่งชิงกับลอบสังหารกันจึงปะทุขึ้นมาอย่างฉับพลัน

เอาแค่สี่วันนี้ จากสถิติของกรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ด พื้นที่ท่าเรือมีศิษย์ตายไปกว่าแปดสิบคน ในนี้มีศิษย์ของกรมปราบพิฆาตตายไปถึงเจ็ดคน

ส่วนจำนวนคนที่ตายไปในหกพื้นที่ที่เหลือ คนนอกไม่มีใครล่วงรู้ แต่ไม่มีทางน้อยกว่ากันเท่าไรเป็นแน่

ในลมฝนพายุ ออกไปหาเบาะแสได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ในเจ็ดเนตรโลหิต กรมปราบพิฆาตเองก็เห็นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว จึงแค่ออกมาตรวจสอบคร่าวๆ เท่านั้น

ต่อให้ในกองที่หกจะมีสมาชิกเก่าแก่ตายไปคนหนึ่ง ก็ไม่มีใครออกมาสอบถาม

สวี่ชิงหลายวันนี้ก็หาโอกาสสอบถามนายกองเกี่ยวกับเรื่องของเถ้าแก่ในโรงเตี๊ยมถนนทองผุดเช่นกัน ถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่เผ่ามนุษย์ มีเส้นสายอยู่ในยอดเขาลำดับหนึ่งจนได้รับสิทธิ์เข้าพักในเมืองหลักมา

ในวันปกติก็ไม่มีเรื่องราวอะไร ส่วนเรื่องไม่ดีที่ซ่อนไว้ในโรงเตี๊ยม เห็นแก่หน้าของยอดเขาลำดับหนึ่ง ขอแค่ไม่ล้ำเส้น กรมปราบพิฆาตก็จะไม่ไปสนใจ

สวี่ชิงเองก็รู้ว่าบนโลกใบนี้เผ่ามนุษย์ไม่ใช่ชนเผ่าเพียงหนึ่งเดียว แต่ยังมีอมนุษย์อยู่อีกมากมาย

แต่เขาก็เคยเห็นชายชราโรงเตี๊ยมเพียงแค่คนเดียว ดังนั้นจึงพับเรื่องนี้เก็บไว้ใจก่อน

หลังจากไปขานชื่อที่กรมปราบพิฆาต สวี่ชิงจึงกางร่ม เดินไปบนถนน

เขาเตรียมจะไปร้านยารอบหนึ่ง นำเอาลูกกลอนขาวที่ตนเองหลอมออกมาช่วงนี้ไปขายเสียหน่อย แล้วเปลี่ยนเป็นสมุนไพรที่มากยิ่งกว่า ดังนั้นพอบนตัวมีลูกกลอนขาวอยู่มากมายเช่นนี้ ความระแวดระวังของสวี่ชิงจึงยิ่งมากขึ้นไปอีก

บางทีคงเป็นเพราะฝนบางเบาลงแล้ว ดังนั้นกลุ่มคนในเมืองวันนี้จึงพลุกพล่านกว่าหลายวันก่อนอยู่บ้าง ในขณะที่สวี่ชิงระมัดระวังตัว เพียงไม่นาน เขาก็มาถึงร้านขายยาที่ไปบ่อยๆ

คนในร้านไม่เยอะมาก แต่สวี่ชิงก็มองเห็นเงาที่คุ้นเคยคนหนึ่ง โจวชิงเผิงที่เข้าสำนักมาพร้อมกับเขานั่นเอง

โจวชิงเผิงเองก็เห็นสวี่ชิง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองไม่ออกในทีแรก เพียงแค่รู้สึกว่าคนตรงหน้านี้คุ้นหน้าคุ้นตา ถึงอย่างไรการทดสอบวันนั้น สวี่ชิงก็เนื้อตัวสกปรกมอมแมมอีกทั้งแต่งตัวเป็นคนเก็บกวาดด้วย

สวี่ชิงไม่พูดอะไร เถ้าแก่ที่อยู่ข้างๆ พอเห็นเขาเข้ามาก็คลี่ยิ้มบาง เขาจำสวี่ชิงได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่ศิษย์ยอดเขาลำดับสอง แต่กลับเข้าใจยาสมุนไพรดีถึงเพียงนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้บ่อย

“เจ้ามาได้เวลาพอดี วันนี้ข้ามีของดีด้วย” เถ้าแก่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นหยิบถุงหนังปิดผนึกใบหนึ่งออกมาจากด้านหลัง พอเปิดออกก็เผยให้เห็นซากแมลงสีน้ำเงินที่แห้งแล้วห้าตัวด้านใน

แมลงนี้หน้าตาดูดุร้าย ปากยาว มีขาสี่คู่ แผ่นหลังมีลวดลายตามธรรมชาติที่ดูเหมือนหน้าผีอยู่ และลวดลายหน้าของแต่ละตัวยังแตกต่างกัน บ้างก็เหมือนร้องไห้ บ้างก็เหมือนยิ้ม บ้างก็เหมือนกำลังโกรธ

ถึงแม้ทั้งตัวจะใหญ่แค่ฝ่ามือ แต่ก็มีหนามอยู่ทั่วตัว โดยเฉพาะที่หาง ยังมีปากอีกปากหนึ่ง

พอมองอย่างละเอียดก็จะเห็นว่าฟันแหลมคมมาก

ถึงแม้เวลานี้จะตายและถูกตากแห้งจนลำตัวแห้งเหี่ยว แต่พอกวาดตามองก็ยังคงถูกรูปร่างที่น่าสะพรึงของมันทำให้จิตใจสั่นสะเทือนอยู่ดี

“แมงดาพรายปรารถนา!” สวี่ชิงสีหน้าตะลึงเล็กน้อย รีบเดินขึ้นหน้าแล้วสังเกตอย่างละเอียด เขาเคยได้ยินปรมาจารย์ไป่พูดถึงแมงดาพรายปรารถนานี้ก่อนหน้า มันจะดำรงชีวิตอยู่ในทะเลลึกเท่านั้น ปกติพบเห็นในเมืองได้น้อยถึงน้อยมาก เป็นแมลงพิษ

เลือดของมันเป็นสีน้ำเงิน มีความเป็นพิษสูง แต่พอนำมาประกอบกรรมวิธีปรุงแบบพิเศษบางอย่าง สามารถสร้างออกมาเป็นยาศักดิ์สิทธิ์รักษาบาดแผลได้

โจวชิงเผิงที่กำลังดูยาลูกกลอนในร้าน พอได้ยินก็กวาดตามองมา

“เจ้ารู้จักจริงด้วย” เถ้าแก้เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็มองสวี่ชิงสูงส่งขึ้นไปอีก เขารู้จักแมลงพิษนี้เป็นอย่างดี ต่อให้เป็นศิษย์จากยอดเขาลำดับสอง คนที่รู้จักก็มีอยู่น้อยมาก

ดังนั้นในใจจึงอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ว่าเด็กหนุ่มหล่อเหลาตรงหน้าไปร่ำเรียนความรู้ตัวยาไม่ธรรมดาพวกนี้มาจากที่ใดกันแน่

“ขายอย่างไรหรือ” สวี่ชิงตื่นเต้น ถามกับเถ้าแก่

“ไม่กล้าขายหรอก” เถ้าแก่กระแอมขึ้นเสียงหนึ่ง เก็บแมงดาพรายปรารถนาลง มองเห็นสายตาสวี่ชิงที่จ้องถุงหนังแมลงพิษไม่วางตาก็ยิ้มอธิบายออกมาว่า

“นี่คือสิ่งที่เจ้าของร้านให้คนลงทุนลงแรงไปมากจึงหามาได้ วันนี้เพิ่งส่งมา อีกครู่เจ้าของร้านจะเข้ามารับเอง แล้วข้าจะกล้าขายได้อย่างไร…แค่เอามาให้เจ้าได้เชยชมหน่อยเท่านั้น ถึงอย่างไรเจ้าสิ่งนี้ก็หาได้ยากมากอยู่ดี”

สวี่ชิงเสียดายเล็กๆ ถอนสายตากลับ ไม่ได้ล้วงเอาลูกกลอนขาวออกมาทันที แต่รออยู่ครู่หนึ่ง จนหลังจากที่โจวชิงเผิงจ่ายเงินแล้วเดินออกไป สวี่ชิงจึงค่อยหยิบถุงหนังลูกกลอนขาวของตนเองออกมาวางไว้บนโต๊ะ

“วันนี้ไม่ซื้อสมุนไพร แต่มาขายลูกกลอน“”

“หืม” เถ้าแก่จ้องเขม็ง เปิดถุงหนังออกชำเลือง สีหน้าแสดงอารมณ์ออกมาทันที

“ลูกกลอนขาวเยอะขนาดนี้เชียว” เขาไม่ได้ตรวจสอบทันที แต่ไปข้างๆ ล้างมือทั้งสองอย่างตั้งใจ จากนั้นก็สวมถุงมือ พอแสดงให้สวี่ชิงเห็นว่าไม่มีฝุ่น จึงเปิดถุงหนังออก ล้วงลูกกลอนขาวด้านในออกมา

เมื่อวางลงบนโต๊ะ ในดวงตาเขาก็เผยความตกตะลึง ลูกกลอนขาวราวๆ ห้าร้อยกว่าเม็ดเป็นที่จำนวนมากเสียจริง และทุกเม็ดล้วนอิ่มเอิบ กลิ่นสมุนไพรโถมเข้าหน้า แผ่กำจายไปทั่วร้านขายยา

ทำให้ลูกค้าด้านในไม่น้อยที่ได้กลิ่นแล้วมองมาทางนี้ สวี่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มือขวาก็เหมือนจะไปแนบอยู่ที่เหล็กแหลมสีดำข้างถุงหนังอย่างเป็นธรรมชาติ

เวลานี้เถ้าแก่ตรวจสอบยาลูกกลอนนี้อย่างละเอียด ในใจก็ตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มตรงหน้านี้อย่างลึกซึ้ง เขาเดิมทีเข้าใจว่าความรู้สมุนไพรของอีกฝ่ายยอดเยี่ยมแล้ว แต่เวลานี้กลับรู้ว่าวิชาหลอมยาของอีกฝ่ายกลับยอดเยี่ยมยิ่งกว่า

ลูกกลอนเหล่านี้สมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง แค่มองก็รู้ว่าทำสำเร็จในคราเดียว ตลอดขั้นตอนไม่มีความผิดพลาดจนต้องหลอมรอบเป็นครั้งที่สอง ยิ่งไปกว่านั้นทุกเม็ดยังขาวนวลกลืนกันหมด และยังมีน้ำมันตัวยาเป็นธรรมชาติบางส่วนแฝงไว้อีก คล้ายกับหยกไขมันแพะอย่างไรอย่างนั้น

วิธีการนี้ ในบรรดาศิษย์ยอดเขาลำดับสองเองก็ใช่ว่าจะมีกันทุกคน หลังจากที่นับอย่างละเอียดแล้ว เถ้าแก่ก็สูดลมหายใจลึก ขานราคาออกมา

“สิบหินวิญญาณเป็นอย่างไร”

สวี่ชิงนั้นรู้ดีว่าลูกกลอนขาวของเมืองหลักปกติราคาขายคือประมาณสามสิบเหรียญวิญญาณ และหินวิญญาณหนึ่งก้อนมีค่าเท่ากับหนึ่งพันเหรียญวิญญาณ

ดังนั้นหลังจากคิดไปมา ก็พยักหน้าตกลง

เถ้าแก่รีบร้อนหยิบหินวิญญาณส่งให้สวี่ชิง จากนั้นก็จัดระเบียบยาลูกกลอนบนโต๊ะ สวี่ชิงชำเลืองตามองคนรอบๆ หรี่ตาลง จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป

ตอนเดินมาถึงประตู ก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก คนยังไม่ทันถึง กลิ่นหอมก็ปะทะเข้ามาก่อนแล้ว

เด็กสาวคนนี้อายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี กางร่มขาวคันหนึ่ง สวมชุดนักพรตสีส้มอ่อน!

ต้องรู้ด้วยว่าทั้งเมืองเจ็ดเนตรโลหิต ศิษย์ของยอดเขาทุกคน ล้วนสวมชุดนักพรตสีเทาทั้งสิ้น มีเพียงศิษย์คนสำคัญจึงสามารถสวมที่มีชุดสีสันได้

อย่างสีม่วงอ่อนของยอดเขาลำดับเจ็ดก็เป็นเช่นนั้น

ชุดนักพรตนี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงฐานะสูงส่งของอีกฝ่าย!

สวี่ชิงสายตาแข็งค้าง เบี่ยงตัวเลี่ยง ชำเลืองมอง

ใต้ร่มกระดาษสีขาว เด็กสาวมีผมยาวกลางๆ สีดำสนิทเคลียคลออยู่บนบ่า ผมหน้าม้าปัดข้างอยู่บนเปลือกตาพอดี

ใต้ขนตาเรียวยาวเป็นสองตาที่ปริ่มน้ำ ชุดคลุมสีส้มอ่อนบนตัวนางเหมือนกลายเป็นกระโปรงยาวไปแล้ว

เอวบางร่างระหง งดงามไร้ตำหนิ เหมือนไม่ใช่คนบนโลกมนุษย์

โดยเฉพาะลมฝนพัดมาเวลานี้ ทำให้ปอยผมสองด้านข้างแก้มระผ่านหน้าเบาๆ เผยให้เห็นผิวขาวนวลราวหยก อิ่มเอิบนุ่มนวล

นางเองก็เห็นสวี่ชิงเช่นกัน หลังจากที่ชำเลืองมองหน้าเขา ก็ไม่มีท่าทีจองหองของศิษย์คนสำคัญเลย แต่กลับยิ้มอย่างสูงส่งแล้วให้เขาผ่านไปก่อน

สวี่ชิงพยักหน้า ถอนสายตากลับมาแล้วเดินออกไป และหลังจากที่เขาออกไป เด็กสาวที่เดินเข้าไปในร้านยา ก็นำเอากลิ่นหอมจรุงใจแผ่ซ่านไปทั่วร้าน และค่อยๆ แผ่ซ่านเข้าไปในจิตใจของคนทุกคนด้านใน

“เจ้าของร้าน ท่านมาแล้ว อันที่จริงไม่จำเป็นต้องมาเองเลย ข้าส่งไปให้ก็ได้” เถ้าแก่รีบร้อนวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเคารพนอบน้อม

“ท่านลุงเผิง ท่านไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น ข้าก็หลอมลูกกลอนอยู่ในเขาจนเบื่อแล้ว ออกมาเดินเล่นเสียบ้าง” เด็กสาวเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเดินไปยังโต๊ะขายของ

“เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้น” เถ้าแก่ยังคงนอบน้อม รีบเดินตาม แล้วหยิบเอาถุงหนังที่ใส่แมงดาพรายปรารถนาออกมาให้แก่หญิงสาว

เมื่อเห็นเถ้าแก่ยังคงเกรงใจเช่นนี้ เด็กสาวจึงส่ายหัวอย่างจำใจ พอรับของมาแล้วกำลังจะออกไป จู่ๆ ตาคู่งามก็ชำเลืองไปอยู่ที่ลูกกลอนขาวที่ยังไม่ทันเก็บอย่างเรียบร้อยบนโต๊ะ

จู่ๆ ก็ร้องเอ๊ะขึ้น

จากนั้นจึงยกมือขวาขาวนวลเหมือนหยกหยิบมาเม็ดหนึ่ง ถือไว้ตรงหน้าใบหน้างามไร้ตำหนิของนาง จ้องเขม็งอย่างละเอียด ในดวงตาเผยความประหลาดใจขึ้นมาอย่างแจ่มชัด

“เจ้าของร้าน ลูกกลอนพวกนี้ทำไมหรือ มีปัญหาอะไรหรือไม่กัน” เถ้าแก่พอเห็นฉากนี้ก็รีบถามขึ้นอย่างระมัดระวัง

“ไม่มีปัญหาอะไร” เด็กสาวถือไว้จมูกแล้วสูดดม

“ยาลูกกลอนนี้ดีมาก ระดับความบริสุทธิ์สูง ลูกกลอนเช่นนี้หาไม่ค่อยได้เลย”

เถ้าแก่พอได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ่งรู้สึกประหลาดเข้าไปอีก

“เจ้าของร้าน ท่านเป็นศิษย์คนสำคัญของยอดเขาลำดับสอง อัจฉริยะแห่งวิถีลูกกลอน ท่านยังรู้สึกว่าระดับความบริสุทธิ์ของลูกกลอนนี้พบเห็นได้ไม่บ่อยอีกหรือ แต่ลูกกลอนขาวต่อให้ความบริสุทธิ์สูงเพียงใดก็ยังเป็นแค่ลูกกลอนขาวอยู่ดีไม่ใช่หรือ”

เด็กสาวพอได้ยินก็หัวเราะเบาๆ

“ท่านลุงเผิงพูดมาก็ถูกต้อง ลูกกลอนขาวเป็นแค่ยาลูกกลอนพื้นฐาน แม้ความบริสุทธิ์ยิ่งมากจะยิ่งดี แต่อันที่จริงในด้านคุณสมบัติแล้ว กินให้เยอะหน่อยก็ได้แล้ว

“แต่ระดับความบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่แสดงกรรมวิธีการหลอม จุดนี้ถึงทำให้ข้าสนใจขึ้นมา” เด็กสาวพิจารณายาลูกกลอนในมือ ในดวงตามีจิตวิญญาณบางอย่างอยู่

จึงให้เถ้าแก่หยิบลูกกลอนขาวชุดนี้ออกมาทั้งหมด หลังจากตรวจสอบแล้ว ความประหลาดใจในดวงตานางก็ยิ่งแรงกล้าขึ้น

“เป็นเช่นนี้หมดทุกเม็ดเลย ทั้งยังมีจำนวนตั้งมากมาย ดูจากอุณหภูมิของยาเป็นการหลอมแบบแยกชุด ชุดแรกสุดน่าจะเป็นเมื่อวานนี้

“นี่อธิบายว่าในขั้นตอนตัวยาเหลว อีกฝ่ายทำให้ยอดเยี่ยมที่สุด และในทุกชุดก็ไม่เกิดความผิดพลาดเลย” ระหว่างที่เด็กสาวงึมงำ ให้เถ้าแก่เก็บลูกกลอนขาวชุดนี้ทั้งหมด เตรียมจะนำกลับไปศึกษาอย่างละเอียด

ก่อนออกไป นางก็คิดถึงอะไรบางอย่าง สอบถามไปประโยคหนึ่ง

“ท่านลุงเผิง ลูกกลอนขาวชุดนี้ได้มาจากที่ใดหรือ”

“ศิษย์คนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าอยู่ยอดเขาลำดับใด เพิ่งจะออกไปเมื่อครู่ ท่านเจ้าของร้านตอนเข้ามาก็คงเห็นแล้ว” เถ้าแก่พูดจบ ก็มองไปด้านนอกร้าน ที่นั่นไม่เหลือเงาของสวี่ชิงนานแล้ว

เด็กสาวคิดทวนอยู่พักหนึ่ง ในสมองก็ปรากฏร่างเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามากเมื่อครู่นี้ขึ้น จึงพยักหน้า

“ท่านลุงเผิง ถ้าหากคนคนนั้นมาขายยาลูกกลอนอีก รบกวนอย่าขายลูกกลอนเหล่านั้นทั้งหมด เก็บเอาไว้ให้ข้าหน่อย”

พอได้ยินคำกำชับของเจ้าของร้าน เถ้าแก่ก็ตกตะลึงในใจ รีบร้อนขานรับ ขณะเดียวกันก็รู้สึกสนอกสนใจในตัวสวี่ชิงมากขึ้นอีกโข