บทที่ 26 กระต่ายน้อยไร้เดียงสา

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 26 กระต่ายน้อยไร้เดียงสา

บทที่ 26 กระต่ายน้อยไร้เดียงสา

ทั้งสองเดินไปบนเขา

“เฉินซีซี ทำไมเธอถึงไม่ชอบจัดเตียงล่ะ?” ซูโย่วอี๋ถามขึ้น

หือ?

เฉินซีซีไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เธอถึงพูดเรื่องการจัดเตียงขึ้นมา “มันไม่จำเป็นนี่นา”

เธอพูดออกมาตามที่คิด

ราวกับว่าเธอมีความมั่นใจที่จะพูดออกมาอย่างนั้นจริง ๆ

“เธอไม่เห็นเหรอว่าไม่มีใครช่วยเธอจัดที่นอน หลังจากที่เธอออกจากหอพัก?”

เฉินซีซีขมวดคิ้วมุ่นและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่นะคะ พี่สาว อ๊ะ! พี่บอกว่าจะจัดเตียงให้ฉันเมื่อวานนี้นี่”

กึก!

ขว้างงูไม่พ้นคอจริง ๆ

“ที่ฉันพูดหมายถึง ที่บ้านเธออาจไม่ต้องทำ แต่อยู่ข้างนอกเธอต้องทำเองนะ อย่างถ้าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ตอนนี้เธอก็จะไม่มีใครช่วยจัดที่นอนใช่ไหม?”

เฉินซีซีถอนหายใจ “ไม่นี่คะ”

ฮะ???

“ฉันสามารถขอให้ทีมงานจัดเตียงให้ฉันได้นี่นา”

หลังจากหยุดพูดไปสักพัก เธอก็ตระหนักว่าในสายตาของเฉินซีซีมีคนคอยช่วยเหลือเธอในเรื่องแบบนี้อยู่เสมอ

เดิมที มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับเฉินซีซีที่จะไม่ทำ แต่สำหรับเธอที่ต้องทำภารกิจให้สำเร็จ…

เด็กนี่ชอบกินอาหารแบบไหนกันนะ?

“ถ้าเธอจัดเตียง เธอสามารถขออะไรฉันได้หนึ่งอย่าง อย่างนี้เป็นไง?”

เฉินซีซีกะพริบตาปริบ ๆ “ฉันอยากกินอะไรอร่อย ๆ”

อาหารอร่อย?

อาหารอร่อย!!

ซูโย่วอี๋แทบจะระเบิดเสียงหัวเราะ เหมือนกับหลับลงบนหมอน ปัญหานี้จะแก้ได้หรือเปล่า?

“งั้นฉันจะทำอาหารกลางวันให้เธอ และเธอก็ต้องเรียนรู้การจัดที่นอนจากฉัน คิดว่าไง?”

เฉินซีซีลังเลอยู่สักพัก “พี่สาว ถ้าฉันไม่ชอบฉันจะไม่เรียนนะ”

เธอกลัวว่าเด็กนี่จะไม่ตกลง

แต่ตอนนี้เธอยอมตกลงแล้วก็คงไม่มีปัญหาอะไร… มั้ง?

เมื่อพวกเธอกลับมาที่บ้านพัก ซูโย่วอี๋ก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เธอวางแผนที่จะทำข้าวหน้าเนื้อใส่มะเขือเทศ ซึ่งเธอชอบทำตอนยังอยู่กับเฉินเฉิน เธอชอบทำอาหารด้วยหม้อตุ๋นที่บ้าน

มันสะดวกและอร่อย

ส่วนเฉินซีซีนอนบนโซฟานอนดูโทรทัศน์อยู่กับเจ้าจิ้งจอกที่เธอมองไม่เห็น

หลังจากที่เธอล้างมะเขือเทศแล้ว ก็หั่นมันเป็นชิ้นเล็ก ๆ

และเงยหน้าขึ้นมามองเด็กสาวและสุนัขจิ้งจอกที่กำลังดูโทรทัศน์อยู่เป็นครั้งคราว

หลังจากนั้นไม่นาน กลิ่นหอมก็ลอยตลบอบอวล ทำให้เฉินซีซีน้ำลายไหล เธอรีบวิ่งไปที่ครัวแล้วถามว่า “พี่สาว พี่ทำอะไรกินคะ กลิ่นหอมจังเลย”

ซูโย่วอี๋จงใจเปิดฝาหม้อเพื่อส่งกลิ่นหอมลอยไปในอากาศ “จำสิ่งที่เธอสัญญากับฉันได้ใช่ไหม?”

เฉินซีซีพยักหน้ารัว ๆ “ได้ค่ะ ฉันจำได้ จัดเตียงใช่ไหม?”

ซูโย่วอี๋ไล่เฉินซีซีออกไปและพูดว่า “ไปที่โต๊ะอาหารกันเถอะ อาหารจะพร้อมแล้ว”

หลังจากออกไป เธอก็เอาฝาหม้อตุ๋นมาบังเพื่อหลีกเลี่ยงกล้อง จากนั้น เธอก็หยิบผงอาหารออกจากมิติของระบบแล้วเทมันลงไปในหม้อ

แต่เพียงครู่เดียวผงอาหารก็หายไป

เธอคนด้วยช้อนแล้วเอาไปวางบนโต๊ะ “กินสิ”

เฉินซีซีหิวมาก เธอหยิบช้อนขึ้นมาแล้วตักอาหารตรงหน้าใส่ปาก

ช้อนที่สอง ช้อนที่สาม

มันอร่อยจนหยุดกินไม่ได้!

เนื้อวัวมีไขมันแต่ไม่ได้มันเยิ้ม ชิ้นเนื้อไม่หนาเกินไปทำให้ไม่เหนียวเวลาเคี้ยว เมื่อรวมกับรสเปรี้ยวของมะเขือเทศ เธอรู้สึกว่ามือของเธอขยับไม่หยุดและประสาทสัมผัสทางรสชาติของเธอเปิดกว้างขึ้น

เฉินซีซีถึงกับลืมถามพี่สาวว่าทำไมเธอถึงไม่กิน เด็กสาวกินอาหารตรงหน้าหมดในไม่กี่นาทีและตามด้วยดื่มซุปจนหมด

[การแจ้งเตือนรายการโปรด: ความชอบของเฉินซีซีสำหรับคุณคือ +8 และความชอบในปัจจุบันคือ 88]

ซูโย่วอี๋อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจว่ากระต่ายไร้เดียงสาของเธอชอบอาหารที่เธอทำมาก แค่เธอทำอาหารให้เด็กสาวกินภารกิจก็จะเสร็จสิ้นในไม่ช้า

“พี่สาว แม้แต่เชฟระดับห้าดาวก็ยังทำอาหารไม่อร่อยเท่าพี่เลย”

ซูโย่วอี๋ได้กลิ่นหอมของอาหารที่เธอทำไม่หยุดหย่อน แต่เธอไม่สามารถชิมได้และไม่รู้เลยว่ามันอร่อยแค่ไหน

“ต่อจากนี้ไปฉันอยากกินอาหารที่พี่ทำไปตลอดเลย เอาล่ะ ฉันสัญญาว่าจะเรียนวิธีจัดเตียงกับพี่ด้วย”

“ฉันทำอาหารให้เธอกินได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น และก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่ามันจะอร่อยทุกครั้ง” ซูโย่วอี๋กล่าวโดยไม่ให้สัญญากับเธอในทันที

ท้ายที่สุดแล้ว ผงอาหารก็มีอยู่จำกัด ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถใช้มันได้ทุกวัน ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เธอต้องกินนั้นแตกต่างจากสิ่งที่เฉินซีซีกินอย่างสิ้นเชิง ถ้าเฉินซีซีกินผงอาหารหมด แล้วเธอจะทำยังไงล่ะ?

“มันขึ้นอยู่กับเธอ ถ้าเธอทำตัวดี ฉันจะทำอาหารให้เธอบ่อย ๆ”

เฉินซีซีวางหม้อตุ๋นลงอย่างไม่เต็มใจ

ซูโย่วอี๋ก็เคาะโต๊ะแล้วพูดว่า “ไปล้างจาน”

เฉินซีซีหน้ามุ่ยและไปที่ห้องครัวอย่างไม่เต็มใจ

[เวลาที่พวกเธออยู่ด้วยกัน ฉันรู้สึกว่ามันอบอุ่นมากเลย]

[ดูเหมือนไม่ใช่รายการวาไรตี้เลย แต่เป็นชีวิตประจำวันของพี่สาวน้องสาว]

[เห็นแล้วหิวเลย!]

[ฉันสั่งอาหารแบบกลับบ้านเพื่อมากินอาหารกลางวันกับกระต่ายน้อยเลยนะ ฉลาดไหมล่ะ!]

[อยากให้กระต่ายขาวตัวน้อยมาเห็นคอมเมนต์พวกนี้จัง!]

[ฉันสามารถดูชีวิตประจำวันของพวกเธอได้หนึ่งร้อยตอน]

ณ คฤหาสถ์หรูหราในเมืองไท่

คุณผู้ชายและคุณนายเฉินที่เพิ่งได้รู้จากเอินจีว่าลูกสาวของพวกเขาเข้าร่วมถ่ายทำรายการวาไรตี้โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทำให้คุณนายเฉินโกรธมาก เฉินซีซีไม่เคยขัดคำสั่งของพ่อแม่ตั้งแต่เธอยังเด็ก และคราวนี้กลับเกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงกล้าทำแบบนั้น

แม่ของเฉินซีซีกำลังจะติดต่อทีมงานของรายการเพื่อขอให้ยุติการเข้าร่วมของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน

แต่เมื่อพ่อของเธอให้เธอดูวิดีโอการแสดงของลูกสาวบนเวที เขาก็เกิดความลังเลขึ้นมา เนื่องจากเขาไม่เคยเห็นลูกสาวสุดที่รักมีความสุขขนาดนี้มาก่อน

หญิงสาวบนเวทีดูเปล่งประกายด้วยความสุขและเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ จนพวกเขาจำแทบไม่ได้…

และในท้ายที่สุด คุณผู้ชายและคุณนายเฉินจึงตัดสินใจที่จะรอ รอดูเฉินซีซีที่มีความสุขแบบนี้ในทุกวัน ดังนั้นทุกวันของการถ่ายทอดสด ทั้งสองมักจะเฝ้าติดตามเพื่อรอดูลูกสาว ซึ่งได้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว

เมื่อเห็นว่าเฉินซีซีไปล้างจานอย่างเชื่อฟัง คุณนายเฉินก็ตกใจมาก อันที่จริงเฉินซีซีไม่เคยต้องทำอะไรเลยตอนอยู่ที่บ้าน

แม้แต่องุ่นก็ยังถูกคนใช้ปอกแล้วป้อนเข้าปาก

ไม่ใช่ว่าเธอไม่ต้องการสอนเฉินซีซีเรื่องงานบ้านพื้นฐาน แต่เเป็นเพราะเธอไม่เชื่อฟังและไม่มีใครบังคับเธอได้ต่างหาก

จู่ ๆ เธอก็มีความคิดบางอย่าง

คุณนายเฉินเริ่มคิดว่าบางทีมันอาจจะดีสำหรับเฉินซีซี ในการเข้าร่วมรายการวาไรตี้นี้

…….

หลังจากกลับมาที่ห้องพัก เฉินซีซีก็ปล่อยมือของซูโย่วอี๋ แล้วทิ้งตัวลงบนเตียงและพยายามทำเป็นลืมเรื่องการจัดเตียงของเธอ

ซูโย่วอี๋จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเฉินซีซีคิดอะไรอยู่ในใจ เธอไม่ได้อารมณ์เสียหรือเกลี้ยกล่อมเหมือนเมื่อกี้นี้เธอแค่ถอดรองเท้าแล้วเข้านอนอย่างเงียบ ๆ

เฉินซีซีได้ยินกุก ๆ กัก ๆ แต่ต่อมามันก็เงียบไป เธอหันหน้าไปมอง และพบว่าพี่สาวของเธอหลับไปแล้ว

เฉินซีซีไม่รู้ว่าพี่สาวคิดอะไรอยู่ในใจและสงสัยว่าเธอโกรธหรือไม่ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอคิดว่าพี่สาวอาจจะลืมไปแล้วก็ได้

จากนั้นเธอก็ผล็อยหลับไป

ในตอนบ่าย แทนที่จะปลุกเฉินซีซี ตื่นซูโย่วอี๋กลับไปที่ห้องฝึกคนเดียว

ทันทีที่เธอเข้ามาหลินเจี้ยนก็ดึงเธอไว้ “นักร้องของเรา ในที่สุดเธอก็มาถึงแล้ว ผู้ติดตามตัวน้อยของเธออยู่ไหนล่ะ ทำไมไม่มาด้วยกัน?”

ซูโย่วอี๋ไม่ตอบ “มีอะไรเหรอ?”

หลินเจี้ยนดูประหลาดใจ “เธอลืมไปแล้วเหรอ เราคุยกันเมื่อเช้าว่าจะขอให้โคโค่มาสอนแรป”

หญิงสาวขยิบตาให้เธอ ซึ่งมีความหมายว่าเธอต้องไปสอนคนอื่นร้องเพลง

ซูโย่วอี๋เห็นว่าโคโค่มองมาที่เธอและยิ้ม “อืม ตกลง เริ่มเมื่อไหร่ล่ะ?”

โคโค่เป็นแรปเปอร์ เธอมีคิ้วและดวงตาที่เรียวยาว เธอมักสวมสร้อยคอโลหะ และไม่ชอบหัวเราะ ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกยากที่จะเข้าหา และมักจะทำเสียงต่ำเวลาพูด “เริ่มกันเลย ในความคิดของฉัน การแรปคือการพูดและร้องเพลงไปพร้อมกัน เพื่อจังหวะที่ชัดเจน คำแนะนำของฉันคือให้เธอฟังเพลงต้นฉบับให้มากขึ้น”