ตอนที่ 121 เจ้ากำลังสอนมารยาทข้าหรือ ตอนที่ 122

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 121 เจ้ากำลังสอนมารยาทข้าหรือ / ตอนที่ 122 ไม่ควรยั่วโมโหพี่หญิงใหญ่จริงๆ
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 121 เจ้ากำลังสอนมารยาทข้าหรือ
หลายปีที่ผ่านมา ทุกๆ เทศกาลไหว้พระจันทร์ฉินหลิวซีฉลองเทศกาลกับบ่าวรับใช้ทั้งหมดที่บ้านเก่านี้ หรือไม่ก็ไปบำเพ็ญตนที่อาราม ไม่อย่างนั้นก็ออกไปรักษาคน แต่ไม่เหมือนปีนี้ที่คนทั้งบ้านอยู่ฉลองเทศกาลด้วยกัน
ฉินหลิวซีตื่นขึ้นนั่งสมาธิตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง หลังจากเดินทางเป็นสัปดาห์ นางจึงค่อยๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าและซักผ้า แล้วไปทักทายคารวะสะใภ้หวังตามธรรมเนียมมารยาท
ตอนที่นางไปถึง สะใภ้หวังก็ตื่นแล้วและกำลังถามอะไรอนุวั่นอยู่ ฉินหมิงฉุนกำลังนั่งหลังตรง สองตาดำขลับของเขามองไปที่ประตูเป็นระยะ เมื่อเห็นฉินหลิวซี เขาก็ลุกขึ้นโดยสัญชาตญาณ
ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา ก่อนจะเข้าไปคารวะทักทายสะใภ้หวังและอนุวั่น
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” สะใภ้หวังยิ้มพลางยกมือขึ้น
เมื่อฉินหมิงฉุนเห็นว่าฉินหลิวซีคารวะเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินมาตรงหน้านาง ประสานมือคารวะ “คารวะพี่หญิงใหญ่”
“อืม” ฉินหลิวซีพยักหน้า “ไปเอาสมุดคัดลายมือของเจ้ามา”
ร่างเล็กๆ ของฉินหมิงฉุนสั่นเทาทันที เขาหันไปมองสะใภ้หวัง แล้วก็มองอนุวั่น ช่วยลูกด้วย!
อนุวั่นหลบสายตาเขา ก้มหน้ามองมือของตนพลางถอนหายใจด้วยความสงสารตนเอง มือที่อ่อนนุ่มงดงามของนางแต่เดิมหยาบกระด้างขึ้นมาก น่าสงสารจริงๆ
สะใภ้หวังกลับยิ้ม “รีบไปเอามาให้พี่หญิงใหญ่ของเจ้าชี้แนะสิ”
ฉินหมิงฉุนก้มหน้างุด เฮ้อ ไม่มีทางหลบหนีได้เลย
เขาขยับก้าวสั้นๆ นั้นมาที่โต๊ะของตน หยิบสมุดคัดลายมือที่เพิ่งจะเขียนในช่วงนี้ออกมา แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปช้าๆ ก่อนจะยื่นให้ เขาเอ่ยเตือนขึ้น “พี่หญิงใหญ่ ปีนี้ข้าอายุห้าขวบ”
หรืออีกนัยหนึ่งคือ ประเดี๋ยวตอนลงไม้ลงมือก็ให้เบาๆ หน่อย
ฉินหลิวซีคว้าสมุดมาจากมือเขาทันทีก่อนจะกวาดตามอง “โบราณว่าไว้ เห็นลายมือก็เหมือนเห็นคน ตัวอักษรของเจ้าน่าเกลียดเช่นนี้ คิดว่ามันเข้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาของเจ้าหรือไม่”
ปุ่มที่ 4 ใน 4 ตอนถัดไป
ปุ่มที่ 3 ใน 4 ตอนก่อนหน้า
ปุ่มที่ 2 ใน 4 ความคิดเห็น
ปุ่มที่ 1 ใน 4 สารบัญ
1
ฉินหลิวซีคว้าสมุดมาจากมือเขาทันทีก่อนจะกวาดตามอง “โบราณว่าไว้ เห็นลายมือก็เหมือนเห็นคน ตัวอักษรของเจ้าน่าเกลียดเช่นนี้ คิดว่ามันเข้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาของเจ้าหรือไม่”
นางหยิกแก้มยุ้ยๆ ของเขา
ฉินหมิงฉุนเบ้ปากท่าทางราวจะร้องไห้ “ข้าเขียนทุกวัน เขียนจนมือจะเป็นตะคริวอยู่แล้ว ไม่เคยเขียนเยอะเท่านี้มาก่อนเลย”
“เหนื่อยหรือ” ฉินหลิวซีเยาะออกมาทันที “พี่ชายใหญ่ของเจ้าอยากจะนั่งเขียนหนังสือแบบเจ้ายังทำไม่ได้ เจ้ายังกล้าน้อยเนื้อต่ำใจอีกหรือ”
ฉินหมิงฉุนรู้สึกชาไปทั้งตัว เขาเงยหน้ามองท่านแม่ใหญ่ เมื่อเห็นนางตกตะลึงและปวดใจ จึงเอ่ย “ข้า ข้า…”
“ตัวอักษรของเจ้ายังน่าเกลียด ลายมือไก่เขี่ย แต่ก็มองออกกว่าก่อนหน้านี้ว่าเป็นตัวอันใด ฝึกอีก หากรู้สึกว่าลำบากก็ให้นึกถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ของข้า” ฉินหลิวซียัดสมุดกลับลงไปในมือเขา
ฉินหมิงฉุนดีใจขึ้นมาในชั่วขณะ “เช่นนั้นท่านชมข้าแล้ว จะไม่ตีข้าแล้วใช่หรือไม่”
ความประหลาดใจเกิดขึ้นกะทันหัน จนเขารู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
“ก้าวหน้าไปมาก ทั้งยังเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ จะยังไม่ตีเจ้าตอนนี้” ฉินหลิวซีเหล่มองเขา “แต่ถ้าต่อไปเขียนแบบนี้อีก เจ้าลองดูสิ”
นางกำหมัดแน่น กระดูกนิ้วดังลั่น
ฉินหมิงฉุนหน้าซีดลงทันที “ฮือๆ พี่หญิงใหญ่น่ากลัวจัง”
สะใภ้หวังยิ้มจางๆ “เอาล่ะ ซีเอ๋อร์เจ้าก็อย่าไปขู่เขาเลย อ่านเขียนหนังสือไม่ใช่สิ่งที่จะทำกันได้ในชั่วข้ามคืน ค่อยเป็นค่อยไปเถิด”
“ข้าเข้าใจ หากท่านแม่ว่างๆ ไม่มีอันใดทำและยินดีสอนเขาก็จะเป็นวาสนาของเขา หากไม่มีเวลาจริงๆ เราก็คอยระวังไม่ให้เขากลายเป็นคนพิการไปแล้วกัน หากไม่มีความสามารถ ใบหน้านี้ก็เป็นทางออกเดียวของเขาแล้ว”
น้ำเสียงของนางแสดงความรังเกียจมาก คำพูดพวกนี้ช่างโหดร้ายเสียนี่กระไร
สะใภ้หวังเอ่ย “เด็กผู้ชายจะให้โตมากับสตรีก็ไม่ไหว หลังปีใหม่คราวนี้ เราส่งเขาไปเรียนที่สำนักศึกษาในเมืองหลีดีกว่า”
พอถึงเวลานั้น คนตระกูลฉินออกไปข้างนอกก็อาจจะไม่สะดุดตาเท่าไรแล้ว
ฉินหลิวซีไม่มีความเห็น จะไปเรียนที่สำนักศึกษา หรือจะหาอาจารย์มาสอนที่บ้าน นางได้ทั้งนั้น
“ไปคารวะทักทายท่านย่าด้วยกันเถิด” สะใภ้หวังยืนขึ้น

เรือนของฮูหยินฉินผู้เฒ่าครึกครื้นมาก แน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากมายตั้งแต่เช้า หลานๆ กำลังคุกเข่าคารวะนางกัน
เมื่อกลุ่มของฉินหลิวซีปรากฏตัวขึ้น สายตาทุกคู่ก็หันไปมอง
สะใภ้เซี่ยเห็นนางแล้วก็หลบสายตาทันที นางลูบจมูกตนเอง รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอีกแล้ว
ผู้ใหญ่ที่เหลือเห็นนางแล้ว ก็นึกเปรียบเทียบกับเด็กๆ ที่อยู่ข้างกาย แล้วก็รู้สึกผิดหวังและสับสน
ตระกูลฉินล้มลงแล้ว ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ราวหล่นจากเมฆสู่โคลนตม จากหญิงสูงศักดิ์กลายเป็นหญิงยากจน จากเด็กสาวสูงศักดิ์กลายเป็นสาวชาวบ้าน
แต่เมื่อเห็นฉินหลิวซี พวกนางกลับรู้สึกเหมือนว่าตระกูลฉินไม่ได้พ่ายแพ้ ใบหน้าของนางไม่เคยมีความตื่นตระหนกโดยไม่มีเหตุผลมาก่อนเลย ไม่มีสีหน้าหวาดกลัวขี้ขลาดเหมือนเด็ก หลังของนางตั้งตรงมีสง่า สีหน้าสงบและผ่อนคลาย ท่าทางเหลือบมองคนด้วยหางตาทำให้คนไม่กล้าสบตานาง
ราวกับว่าแค่มองปราดเดียวก็รู้เช่นเห็นชาติหมดแล้ว
พวกนางไม่กล้าสบตาจึงได้แต่แอบมอง วันนี้นางสวมชุดสีเขียวอมฟ้าแบบสีน้ำทะเลสาบชุดใหม่ที่พวกนางไม่เคยเห็นมาก่อน ชายกระโปรงปักลวดลายเมฆมงคล ผมของนางมวยขึ้นกลางศีรษะแบบง่ายๆ ปักด้วยปิ่นหยกอันหนึ่ง หูทั้งสองข้าห้อยต่างหูคู่หนึ่ง บริสุทธิ์เรียบง่าย
ทั้งๆ ที่พวกนางต่างก็สวมใส่ชุดใหม่ แต่งตัวอย่างเหมาะสมเข้ามาคารวะทักทาย แต่เมื่อเทียบกับฉินหลิวซีแล้ว เหตุใดจึงรู้สึกเหมือนพวกนางเป็นเพียงใบไม้ประดับไปได้
สะใภ้หวังมองนางฉินผู้เฒ่าและทักทายคารวะก่อนจะเอ่ยคำอวยพรอันเป็นมงคลให้นาง
อนุวั่นเองก็ยอบกายลงคารวะเช่นกัน ท่าทางนางราวนกกระจอกตัวน้อย ยืนอยู่ข้างๆ ฉินเหมยเหนียง
ฉินหมิงฉุนก็คุกเข่าลงโขกศีรษะทำความเคารพ ท่าทางของเขาถูกต้องเหมาะสม เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับการฝึกมารยาทเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้มาจากสะใภ้หวังเป็นการส่วนตัว
นางฉินผู้เฒ่าเห็นแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดและเศร้าใจ บ้านใหญ่มีบุตรชายสองคนและบุตรสาวหนึ่งคนเท่านั้น บุตรชายคนโตของบ้านใหญ่กำลังอยู่ระหว่างถูกเนรเทศ สะใภ้หวังเกรงว่าบุตรชายคนโตของนางจะเป็นอะไรไปที่ซีเป่ย จึงเอาความรักความเอาใจใส่มอบให้กับบุตรบ้านเล็กตัวน้อยคนนี้แทน? หรืออาจเป็นเพียงการป้องกันไว้ก่อนเพื่อให้บ้านใหญ่มั่นคงเผื่อว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุใด สะใภ้หวังก็ทำได้ดีไร้ที่ติ
“ลุกขึ้นเถิด”
พอถึงตาฉินหลิวซี นางก็วางมือไว้ที่เอว ย่อเข่าลงคารวะ แล้วจึงยืดตัวตรง ส่วนการโขกศีรษะน่ะหรือ
ไม่มีหรอก!
“พี่หญิงใหญ่ ตามหลักแล้วท่านควรจะคุกเข่าโขกศีรษะให้ท่านย่าสิ” เสียงทุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างไม่พอใจ
ฉินหลิวซีหันไปมอง ก่อนจะเลิกคิ้ว โอ้ วันนี้ผู้คุมมารยาทของทุกคนกลายเป็นหน้าที่บุรุษแล้ว
นางเห็นฉินหมิงฉีขมวดคิ้วจนแทบจะมากองรวมกัน สายตาไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางราวกับนางทำอะไรที่เป็นการทำลายชื่อเสียง ตลกจริงๆ
ฉินหลิวซียังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไร ฉินหมิงเย่ว์ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเสียก่อน “น้องสาม พี่หญิงใหญ่อาจไม่รู้มารยาทพวกนี้ เจ้าก็อย่าได้ตำหนินางเลย พี่หญิงใหญ่เองก็สุขภาพไม่ดีด้วย”
ดูสิ ข้าส่งปลายมีดไปให้อย่างเอาใจใส่ ข้าใจดีหรือไม่
ฉินหลิวซีเอ่ย “เป็นน้องหญิงรองที่เข้าใจและเอาใจใส่ข้า รู้ว่าร่างกายของข้าไม่แข็งแรง ขอบคุณมาก ถ้าเจ้าสามารถโขกศีรษะคำนับท่านย่าแทนข้าได้ ข้าจะยิ่งซาบซึ้งใจ”
เอาสิ พี่สาวให้โอกาสเจ้าแสดงตนเป็นแม่พระให้เต็มที่ไปเลย!
ฉินหมิงเย่ว์อึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “พี่หญิงใหญ่ นี่ไม่ถูกต้องตามมารยาท”
“ก็จริง ไหนเลยจะมีการโขกศีรษะแทนได้ พี่หญิงใหญ่ไม่เข้าใจ เรียนรู้ตอนนี้เสียก็ได้ ตระกูลฉินของเราเป็นตระกูลบัณฑิตเปี่ยมมารยาท ท่านเป็นหญิงสาวตระกูลฉิน ทั้งยังเป็นบุตรสาวคนโตของบ้านใหญ่ หากท่านไม่รู้มารยาทเช่นนี้ ท่านป้าใหญ่จะไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าสอนท่านไม่ดีเอาได้หรือ” ฉินหมิงฉีเชิดหน้าพลางเอามือไพล่หลังยามที่เอ่ยเช่นนั้น
ฉินหลิวซีรู้สึกรำคาญเล็กน้อย
นางยิ้มและเหล่มองฉินหมิงฉี “เจ้ากำลังสอนมารยาทข้าอยู่หรือ”
ฉินหมิงฉีกำลังจะอ้าปากเอ่ยอะไร แต่นางกลับเอ่ยออกมาเสียก่อน “เจ้าจะนับเป็นอันใดได้”
ตอนที่ 122 ไม่ควรยั่วโมโหพี่หญิงใหญ่จริงๆ
เจ้ากำลังสอนมารยาทข้าอยู่หรือ
น้ำเสียงฉินหลิวซีเย็นชาลงทันที รังสีที่แผ่ออกมาจากตัวนางรุนแรงขึ้น นางเหลือบตามองเด็กชายที่กำลังเป็นหนุ่มด้านข้างด้วยสายตาคาดคั้น
อย่าว่าแต่เขาเลย ตระกูลฉินนี้ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะสอนมารยาทนางได้ด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มคนนี้ ถ้านางยอมรับก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของนาง แต่ถ้านางไม่ยอมรับก็เป็นแค่เด็กอมมือคนหนึ่ง
ตอนนี้เขายืนวิพากษ์วิจารณ์นางอยู่ที่นี่ คิดว่าตนเองวิเศษวิโสจริงๆ หรือ
ฉินหมิงฉีเองก็นึกไม่ถึงว่าฉินหลิวซีบทจะโกรธก็โกรธขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขายืนนิ่งตอบสนองไม่ทันไปสักพัก
สะใภ้เซี่ยกลับโมโหขึ้นมา นี่คือบุตรชายที่รักของนางเชียวนะ ใช่ว่าเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอย่างฉินหลิวซีจะเทียบได้
“ท่านแม่ ฉีเอ๋อร์ก็เพียงแค่แนะนำนังหนูซี ท่านดูสิว่านางเอ่ยอันใดออกมา”

ฉินหมิงฉีได้สติกลับมา สีหน้าเขาคาดไม่ถึง
บัดนี้บุรุษตระกูลฉินทั้งหมด นอกจากพวกท่านปู่ท่านพ่อท่านลุงท่านอาและพี่ใหญ่ที่ถูกเนรเทศแล้ว เขาก็นับได้ว่าเป็นคนที่อายุมากที่สุด หากพวกเขาไม่กลับมา เขาก็จะกลายเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบบ้านนี้ เขาก็แค่ตักเตือนพี่น้องผู้หญิงเรื่องกฎเกณฑ์มารยาทเล็กน้อยเท่านั้น นี่คือท่าทีของนางหรือ
สตรีอยู่บ้านเชื่อฟังบิดา บิดาไม่อยู่ต้องเชื่อฟังพี่น้องผู้ชาย ออกเรือนแต่งงานไปแล้ว พี่น้องบ้านเดิมของนางก็คือที่พึ่ง นางเข้าใจความจริงข้อนี้หรือไม่
สะใภ้หวังเอ่ยเรียบๆ “น้องสะใภ้รอง หากจะเอ่ยเรื่องชี้แนะ ผู้หลักผู้ใหญ่ก็อยู่ที่นี่กันทั้งนั้น” นางหันไปมองฉินหมิงฉี “ฉีเอ๋อร์ พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเข้ามาก็ทำความเคารพท่านย่าไปแล้ว ยังมีอันใดไม่เหมาะสมอีกหรือ จะเอ่ยว่าไม่มีมารยาทได้อย่างไร กลับเป็นพวกเจ้าที่ตั้งแต่นางเดินเข้ามาก็ยังไม่เห็นมีใครทำความเคารพนางสักคน”
ในบรรดาลูกหลานรุ่นถัดไป ฉินหลิวซีเป็นคนที่มีอายุมากที่สุด แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งไหนก็ไม่เห็นมีใครคารวะนางเลยสักคน
มารยาทหรือ
ทำตนให้ดีก่อนแล้วค่อยพูดเถิด
สีหน้าของฉินหมิงฉีเปลี่ยนไปทันควัน เขาหันไปประสานมือคารวะฉินหลิวซี “น้องสามคารวะพี่หญิงใหญ่ ขออภัยพี่หญิงใหญ่ด้วย”
คนที่เหลือก็ยอบกายลงคารวะอย่างไม่เต็มใจ
โทสะของฉินหลิวซีคลายลงบ้างแล้วเพราะสะใภ้หวัง “เรื่องให้อภัยคงจะทำไม่ได้ ข้าเป็นคนจิตใจคับแคบ เมื่อครู่นี้น้องสามยังคิดที่จะสอนมารยาทข้าอยู่เลย ข้ายังไม่หายโกรธ ยกโทษให้ไม่ได้หรอก”
สะใภ้เซี่ยเอ่ย “นังหนูซี เจ้าเป็นพี่สาวคนโต…”
“พี่สาวคนโตหรือ อาสะใภ้รองเตือนข้าพอดีเลย ข้าเป็นพี่สาวคนโต ข้าเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์ ข้าก็คือกฎ เช่นนี้แล้วน้องสามคงไม่สามารถจะสอนมารยาทข้าได้กระมัง ข้าเป็นพี่หญิงใหญ่ของเขา!” ฉินหลิวซีเหล่มองพวกเขา “แน่นอนว่า หากท่านไม่พอใจกับกฎเกณฑ์นี้ก็สามารถย้ายออกไปได้”
ย้ายออกไปงั้นหรือ
นางเอ่ยอะไรออกมา
“เจ้ากำลังเอ่ยอันใดออกมา ย้ายออกไปอันใดกัน” ฉินหมิงซินโวยวายเสียงดัง “บ้านเก่านี้เป็นของท่านหรือ ท่านบอกว่าย้ายก็ต้องย้าย!”
ไม่ได้การ!
สะใภ้เซี่ยแทบอยากจะปิดปากบุตรสาวตนเอง แต่ไม่ทันแล้ว!
“ใช่ บ้านเก่าหลังนี้เป็นของข้า ข้าให้พวกเจ้าออกไป พวกเจ้าก็ต้องออกไป”! ฉินหลิวซีเย็นชา “อาสะใภ้รองไม่ได้บอกพวกเจ้าหรือว่าโฉนดของบ้านหลังนี้เป็นชื่อของข้าแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าทำไมมันถึงไม่ถูกยึดไป ก็เพราะคนอื่นมอบให้ข้าแล้วอย่างไรเล่า หรือจะเอ่ยว่าตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในบ้านของข้า กินของของข้า ใส่เสื้อผ้าของข้าด้วย!”
นางชี้ไปที่เสื้อผ้าใหม่ๆ บนตัวพวกเขา “เสื้อผ้าใหม่ๆ พวกนี้เป็นของที่ข้าสั่งให้คนนำกลับมา เงินที่จ่ายไปก็เป็นเงินของข้า ไม่ใช่เงินส่วนกลาง ดังนั้นอย่าได้มาเอ่ยเรื่องกฎเกณฑ์มารยาทกับข้า พวกเจ้ายังไม่มีสิทธิ์มาสอนมารยาทข้า!”
สะใภ้หวังกระแอมออกมาหนึ่งทีพลางส่งสายตาให้ฉินหลิวซี ท่านย่ายังอยู่นี่นะ!
ฉินหลิวซีไม่กลัว นางหันไปหาท่านย่าที่มีสีหน้าย่ำแย่แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ “ท่านย่า ใช่ว่าหลานต้องการที่จะวางท่าใหญ่โตแสดงอำนาจต่อหน้าท่าน หลานทำไปก็เพื่อความสมานฉันท์ในครอบครัวในภายภาคหน้า จึงต้องเอ่ยออกมาให้ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะเบาะแว้งกันภายหลัง คราวนี้จึงทำเรื่องน่าอายต่อหน้าท่านแล้ว นี่ก็เป็นเวลาพอสมควร ข้าคงไม่กินข้าวเช้าเป็นเพื่อนท่านย่า ข้าจะไปตรวจชีพจรให้อาสะใภ้สามและน้องชายทั้งสอง ขอตัว!”
ทุกคน “…”
เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีจากไปโดยไม่ได้ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย บรรยากาศภายในห้องนั้นก็อ่อนไหวเล็กน้อย
พวกเด็กๆ หันไปมองฮูหยินชราที่นั่งอยู่พลางกลืนน้ำลาย นางชักสีหน้าต่อหน้าฮูหยินชรา บอกว่าจะไปก็ไปเลย ช่างใจกล้าจริงๆ!
ฉินหมิงฉุนที่หลบอยู่ข้างๆ แสร้งทำเป็นตาย ไม่ควรยั่วโมโหพี่หญิงใหญ่จริงๆ!
นางฉินผู้เฒ่ามีสีหน้าไม่คาดคิด “แยกย้ายกันไปก่อนเถิด ตอนเย็นค่อยกลับมากินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ข้าไม่อยากเห็นใครทำตัวไม่รู้ความอีก”
ขณะที่นางเอ่ยก็มองไปที่สะใภ้เซี่ยและคนอื่นๆ เป็นเชิงเตือน
สะใภ้เซี่ย “!”
เข้าใจอะไรผิดหรือไม่ ทั้งที่คนที่ชักสีหน้าคือฉินหลิวซีต่างหาก ดูนางวางท่าใหญ่โตจนจะลอยขึ้นสวรรค์อยู่แล้ว แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับโยนคำพูดมาที่พวกนาง นี่กำลังโทษว่าพวกนางสร้างเรื่องอย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่สิ ใครกันแน่ที่ไม่มีมารยาท เด็กคนหนึ่งกล้ายโสโอหังเช่นนี้ ใครจะไปทนได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่ตำหนินาง แต่มาโทษพวกเขา คงไม่ได้แก่ชราจนเลอะเลือนไปแล้วหรอกนะ?
“น้องสะใภ้รองพาเด็กๆ ออกไปก่อนเถิด ข้าจะพูดคุยกับท่านแม่ก่อน” สะใภ้หวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สะใภ้เซี่ยอยากจะเอ่ยอะไรอีก แต่เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าหลับตาลงแล้วจึงจำต้องย่อกายทำความเคารพด้วยท่าทางฮึดฮัดขัดใจแล้วจากไป
พอออกไปข้างนอกแล้ว ฉินหมิงฉีก็อดถามสะใภ้เซี่ยไม่ได้ “ท่านแม่ เรื่องบ้านเก่านี้หมายความว่าอย่างไร ทำไมมันถึงกลายเป็นของพี่หญิงใหญ่ไปได้ นี่เป็นบ้านเก่าบ้านเดิมนะ แถมยังเป็นบ้านบรรพบุรุษด้วย”
บ้านบรรพบุรุษจะมอบให้หญิงสาวคนหนึ่งได้อย่างไร หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ตระกูลฉินจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“ไม่ควรพูดกันตรงนี้ พวกเรากลับไปพูดกันที่เรือน” สะใภ้เซี่ยเอ่ย “จะได้ไม่ถูกท่านย่าตำหนิเอาได้”
คนบ้านรองทั้งหมดจากไปอย่างรวดเร็ว
ฉินเหมยเหนียงถอนหายใจ และพาบุตรสาวทั้งสองจากไปเช่นกัน
อนุวั่นจับมือของฉินหมิงฉุนแล้วกระซิบ “เจ้าห้า เจ้าเห็นแล้วหรือไม่ว่า ในบ้านนี้เจ้าจะไปยั่วโมโหใคร แม่รองก็ปกป้องเจ้าได้ทั้งนั้น แต่อย่าได้ยั่วโมโหพี่หญิงใหญ่ของเจ้าเป็นอันขาด ต่อหน่าท่านย่านางยังกล้าทำถึงเพียงนี้ คำพูดข้าเบาหวิวเช่นนี้ย่อมช่วยเจ้าไม่ได้แน่”
ใครยั่วยุคนเช่นนี้ก็ต้องเจ็บตัวไป
ฉินหมิงฉุน “แม่รอง ต้องเป็นคนตัวเล็กคำพูดไม่มีน้ำหนัก”
“โอ้ อะไรก็ช่างเถิด แม่รองไม่เคยเรียนหนังสือนี่! เอาเป็นว่าอย่าไปยั่วโมโหนางเลยก็แล้วกัน” อนุวั่นลูบศีรษะเขาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยอย่างมีความหมาย “อีกอย่าง ต่อไปเจ้าก็อย่าได้เกเร ข้าเห็นว่าพี่หญิงใหญ่ของเจ้ามีศักดิ์ศรีอยู่บ้าง หากเจ้าหน้าตาดีตั้งแต่เด็กจนโต นางจะต้องเห็นแก่หน้าตาหล่อเหลาของเจ้าให้สิ่งใดที่เหมาะสมแก่เจ้าบ้างแน่ๆ”
ฉินหมิงฉุน “…”
ดังนั้นพูดไปพูดมาเขาก็ต้องพึ่งใบหน้านี่สินะ
ภายในห้อง
นางฉินผู้เฒ่าเอ่ยโดยไม่ทราบอารมณ์ “อารมณ์ของนังหนูซีค่อนข้างจะรุนแรงไปหน่อย”
สะใภ้หวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม้จะไม่น่าฟังนัก แต่ท่านแม่ เราต้องปรับตัวตามสถานการณ์ สถานการณ์ปัจจุบันของบ้านเรา ข้าหวังจะเห็นพวกเขามีอารมณ์บ้าง ต้องเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ตระกูลฉินจึงจะมีความหวัง”
ตระกูลฉินพ่ายแพ้ แต่หากพวกเขาขี้ขวาดหวาดกลัวกลับยิ่งจะถูกดูหมิ่น
ฉินหลิวซีเป็นเช่นนี้ไม่มีอะไรไม่ดี
ครั้งนี้นางปกป้องจนเห็นได้ชัด
ฮูหยินฉินผู้เฒ่าเหลือบมองนาง “ไม่รู้ว่าท่านพี่และคนอื่นๆ เดินทางถึงไหนกันแล้ว ได้รับจดหมายจากเราบ้างหรือไม่ ยังมีเยี่ยนเอ๋อร์ ข้าเป็นห่วงเขาที่สุดแล้ว เขายังเด็กนัก”
เมื่อเอ่ยถึงบุตรชาย สะใภ้หวังก็เม้มปากเล็กน้อย “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อเจ้าอาวาสชื่อหยวนบอกแล้วว่าพวกเขาจะเดินทางถึงอย่างปลอดภัย ก็ต้องปลอดภัยแน่ ท่านวางใจเถิด”
“ก็ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด” นางฉินผู้เฒ่าหลับตาลงอีกครั้ง