ตอนที่ 57 โรคกลัวความสูงที่ยังแก้ไม่ได้!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

“เสี่ยวซื่อ ครั้งนี้ต้องขอบใจนายแล้ว” หลิงหลานมองเสี่ยวซื่อที่กำลังส่ายก้นให้เธออย่างลำพองใจในมิติการเรียนรู้ด้วยความซาบซึ้ง ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวซื่อช่วยเหลือ ครั้งนี้ต่อให้ใจเธอจะเกิดความระแวดระวังทำการเตรียมพร้อมไว้อย่างดีก็เปลี่ยนผลสุดท้ายไม่ได้ หุ่นรบที่มีอาวุธทรงพลังไม่ใช่สิ่งที่จะต้านทานได้ด้วยพวกแผนการที่เธอสามารถคิดออกมาได้ ความจริงแล้วพวกเขาไม่มีแผนการที่จะได้รับชัยชนะเลยสักนิด

สาเหตุที่หลิงหลานพูดคุยไร้สาระกับหลิงหัวมากมายขนาดนั้น ก็เพื่อจะให้เสี่ยวซื่อมีเวลาเจาะเข้าไปในออปติคัลคอมพิวเตอร์ของหุ่นรบอย่างเต็มที่ และเอาอำนาจควบคุมมา ถึงแม้ว่าเสี่ยวซื่อจะเป็นตัวตนที่เหมือนกับเทพในโลกเสมือนจริง เป็นดาวข่มออปติคัลคอมพิวเตอร์ทั้งหมด แต่ออปติคัลคอมพิวเตอร์บนหุ่นรบไม่ใช่ของระดับต่ำอย่างในโฮเวอร์คาร์ ถ้าเสี่ยวซื่ออยากได้รับอำนาจควบคุมก็ยังต้องเสียแรงอยู่บ้าง แน่นอนว่าหลังจากที่มีประสบการณ์แบบนี้ ครั้งต่อไปจะเจาะเข้าไปในหุ่นรบมาตรฐานทั่วไปแบบนี้อีกก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนี้แล้ว นอกเสียจากเป็นหุ่นรบที่มีระดับสูงยิ่งกว่านี้

หลิงหลานเองก็อยากฉวยโอกาสให้พวกหลิงฉินกับหลิงอวี่สองคนรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของหลิงหัวอยู่แล้ว รวมไปถึงเหตุผลที่เธอตัดสินว่าอีกฝ่ายเป็นคนทรยศ เธอรู้ดีว่าถ้าความเข้าใจผิดและความรู้สึกคับข้องใจไม่ถูกกำจัดไปก่อนละก็ รอจนมันสะสมได้ในระดับหนึ่ง ก็จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เจ็บปวดได้ง่ายมาก เธอไม่ยอมทำเรื่องผิดพลาดระดับต่ำแบบนี้เด็ดขาด

หลิงอวี่ตรวจสอบห้องคนขับสามแห่งนั้นแล้วก็วิ่งกลับมาด้วยความตื่นเต้น เขาเอ่ยถามหลิงหลานว่า “คุณชายหลาน ต่อไปควรจะทำยังไงดีครับ”

หลิงอวี่ยอมรับหลิงหลานแล้ว มองว่าเธอเป็นผู้นำตระกูลที่เขาจะจงรักภักดีไปชั่วชีวิต ดังนั้นเขาจึงขอคำแนะนำหลิงหลานตั้งแต่แวบแรก

“นายติดต่อที่บ้านให้พวกเขาส่งคนมาอีก พาคนพวกนี้กลับไปสอบปากคำให้ดีว่าใครอยากจัดการฉัน จัดการตระกูลหลิงของพวกเรา” หลิงหลานไม่ลืมโฮเวอร์คาร์สองคันที่ถูกเสี่ยวซื่อทิ้งไว้ด้านข้างโดยที่ล็อกประตูหน้าต่างทั้งหมด บางทีคนด้านในอาจจะรู้เรื่องบางอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาก็ได้

“ครับ คุณชายหลาน!” ถ้าไม่ใช่เพราะคุณชายหลานอายุยังไม่ครบสิบหก ทำให้ไม่สามารถรับตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างเป็นทางการละก็ อันที่จริงหลิงอวี่ก็อยากเรียกว่านายท่านเสียงดังเอามากๆ

ไม่ผิด ชีวิตนี้ของหลิงอวี่ยอมรับหลิงหลานแล้ว ต่อให้ผู้นำตระกูลหลิงเซียวฟื้นคืนชีพกลับมา ก็ไม่อาจเปลี่ยนจุดยืนของเขาได้ แน่นอนว่าเวลานี้หลิงอวี่ไม่รู้เลยว่า อนาคตเขาจะเจอการเลือกที่ยากลำบากสุดขีดแบบนี้จริงๆ….

หลิงฉินเดินกลับมาด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง หลิงหลานรู้ว่าการตายของหลิงหัวโจมตีพ่อบ้านที่รับใช้ตระกูลหลิงมาแล้วสามรุ่นอย่างมาก ถึงยังไงในหกปีมานี้ หลิงฉินเอ่ยถึงความยอดเยี่ยมของหลิงหัวข้างหูเธอหลายครั้ง ความภาคภูมิใจในคำพูดนั้นไม่อาจปกปิดไว้ได้เลย คนที่ทำให้เขาพอใจและภูมิใจแบบนี้กลับทรยศตระกูลหลิง ทรยศเขา นี่ทำให้หลิงฉินสูญเสียความมั่นใจในการดูคนของตัวเอง

ความจริงแล้ว หลิงหลานเกิดความสงสัยต่อหลิงหัวตั้งแต่แวบแรกแล้ว การที่พ่อบ้านหลิงฉินพูดพล่ามต่อหน้าเธอบ่อยๆ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากหลิงหัวที่อยู่ในคำพูดของหลิงฉินเป็นคนที่โดดเด่นมากเกินไปจริงๆ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดข้อผิดพลาดระดับต่ำอย่างการช่วยเหลือล่าช้าแบบนี้จริงๆ เพราะฉะนั้นคนจึงทำตัวเป็นเป้าสายตามากเกินไปไม่ได้จริงๆ เพราะว่าถูกผู้คนนึกถึงได้ง่ายมาก หลังจากนั้นเขาก็จงใจถ่วงเวลาก่อปัญหาเล็กน้อย เนื่องจากสิ่งที่กระทำออกมาแตกต่างกับแต่ก่อนมันจึงเผยพิรุธออกมา ถ้าหากหลิงหัวรู้ว่าความล้มเหลวของเขาเป็นเพราะสาเหตุนี้ละก็ เกรงว่าเขาจะต้องนึกเสียใจอย่างลึกล้ำที่ตัวเองแสดงความโดดเด่นออกมาตั้งแต่แรก

หลิงหลานไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีถึงจะปลอบใจชายชราที่โศกเศร้าตรงหน้าเธอได้ เดิมทีเธอก็ไม่เก่งการปลอบใจคนอื่น ดังนั้นชาติก่อนเธอถึงได้เลือกใช้รอยยิ้มเผชิญหน้ากับคนญาติพี่น้อง ปลอบใจพ่อแม่ว่าไม่ต้องกังวล ทว่าความจริงก็พิสูจน์แล้วว่า วิธีการนี้ไม่มีผลอะไรเลย ถึงแม้ว่าพ่อแม่ของเธอจะยิ้มอย่างหนักแน่นต่อหน้าเธอ แต่ความจริงแล้วทุกครั้งกลับร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดตรงที่ที่เธอมองไม่เห็น หูของเธอไวอย่างมาก ฟังได้ยินอย่างชัดเจน (เธอมีพลังจิตสูงมาก ประสาทสัมผัสทั้งห้าก็เหนือกว่าคนทั่วไป N เท่า)

หลิงหลานคิดว่าการจะทำให้ผู้คนลืมความเสียใจ ก็ต้องทำให้เขายุ่งขึ้นมา เวลาไม่ใช่ยารักษาที่ดีที่สุดเหรอ ดูเหมือนว่าหนังสือเล่มไหนสักเล่มจะเขียนแบบนี้…หลิงหลานเองก็ไม่สนแล้วว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ เธอใช้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที เธอยื่นมือไปกุมมือของหลิงฉินไว้ และเอ่ยถามว่า “ไม่มีโฮเวอร์คาร์แล้ว พวกเราจะไปโรงเรียนยังไง”

เอาเถอะ หลิงหลานยังไม่ลืมเป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขา วันนี้เป็นวันแรกที่เธอจะเข้าเรียน หลิงหลานหวังว่าตัวเองจะไม่เป็นนักเรียนเพียงคนเดียวที่มาสาย กลายเป็นจุดสนใจของผู้คน บทเรียนเลือดของหลิงหัวบอกเธอแล้วว่า การถูกผู้คนจดจำนึกถึงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

หลิงฉินได้ยินคำถามของหลิงหลานก็ดึงสติทันที ไม่ผิด ตอนนี้ไม่ใช่เวลามารู้สึกเศร้าเสียใจ เขาจะให้หลิงหลานถูกบันทึกว่ามาสายไม่ได้เด็ดขาด จุดด่างพร้อยนี้จะฉุดคะแนนมากมายในตอนที่เธอสมัครสอบโรงเรียนทหารในอนาคต หลิงฉินมุ่งหวังอย่างแรงกล้ามากว่า เขาอยากให้หลิงหลานเข้าโรงเรียนทหารชายอันดับหนึ่งที่ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐ…

เอาเถอะ ตอนนี้ลืมเรื่องเพศที่แท้จริงของหลิงหลานไปแล้ว ได้โปรดให้อภัยชายชราที่มีโรคความจำเสื่อมอย่างเป็นพักๆด้วย!

ไม่นึกเลยว่า หลิงฉินจะตัดสินใจขับหุ่นรบของหลิงหัวพาหลิงหลานไปที่สถาบันศูนย์กลางลูกเสือ ส่วนคนทรยศกับนักฆ่าพวกนั้นก็มอบให้หลิงอวี่ที่อยากสลับหน้าที่ทำงานกับหลิงฉินมากๆ เป็นคนจัดการแทน

เมื่อเห็นหลิงฉินขับหุ่นรบพาหลิงหลานบินไปแล้ว หลิงอวี่ก็ทำหน้าชิงชัง ฮือๆๆ! ผมอยากพาคุณชายหลานไปโรงเรียนด้วยตัวเองนะ…

หลิงอวี่ที่เจ็บปวดใจได้แต่ระบายอารมณ์ที่อันแน่นอยู่เต็มเปี่ยมใส่พวกนักฆ่าหลายคนที่อยู่ในโฮเวอร์คาร์ เสี่ยวซื่อปลดล็อกประตูแล้ว อย่างไรก็ตาม เขาได้ทำลายออปติคัลคอมพิวเตอร์เพื่อรับรองความปลอดภัย ถึงอย่างไรบนรถก็ยังมีอาวุธอยู่

ส่วนพวกปืนพกเลเซอร์ตกรุ่นที่อยู่บนตัวพวกเขา พวกเขาไม่กล้าทำการต่อต้านและให้จับตัวไปโดยละม่อมเมื่อเผชิญหน้ากับหุ่นรบที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ต่อให้เป็นแบบนี้ พวกเขาก็แทบจะกลายเป็นคนถูกเผา ถึงแม้ว่าเลเซอร์ที่ยิงเข้ามาจะเฉียดตัวเขาอย่างอันตรายมากๆ แต่ว่าอุณหภูมิสูงอย่างรุนแรงที่เลเซอร์นำมาก็เผาพวกเขาไปเกือบหมด จนพวกเขาแทบจะสุกแล้ว

ดังนั้นเมื่อผู้คุ้มกันอีกกลุ่มของตระกูลหลิงมาถึง พวกเขาก็เหมือนกับเห็นผู้ช่วยให้รอดก็ไม่ปาน พวกเขาตื่นเต้นอย่างยิ่ง จนแทบจะกอดต้นขาของอีกฝ่ายและร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจ

เชี่ย ต่อให้พวกเขาเป็นนักฆ่า เป็นนักโทษ ก็ไม่จำเป็นต้องทรมานคนขนาดนี้ ยังมีสิทธิมนุษยชนอยู่ไหม

………..

เมื่อหลิงหลานเข้าไปในห้องคนขับ ก็รู้ว่าเพราะอะไรหุ่นรบถึงสามารถบรรทุกคนได้ ที่แท้ตรงที่นั่งคนขับหุ่นรบซึ่งอยู่ติดกับห้องคนขับจะมีพื้นที่แคบๆ สามารถรับผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักหนึ่งร้อยห้าสิบจินให้นั่งอยู่ด้านในได้หนึ่งคน แน่นอนว่าที่นั่งนั้นไม่ได้สบายเหมือนกับที่นั่งของผู้ควบคุมหุ่นรบโดยเฉพาะ ถึงขนาดที่เกิดความรู้สึกแออัดด้วย

แน่นอนว่าสำหรับเด็กแบบหลิงหลาน พื้นที่ของที่นั่งนี้ยังคงใหญ่มากจนแทบจะให้หลิงหลานขยับเขยื้อนปีนขึ้นปีนลงอยู่ข้างในได้อย่างอิสระ

ประตูห้องคนขับปิด แสงก็มืดลง หลิงฉินกดปุ่มเปิดใช้งานออปติคัลคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็ว ห้องคนขับก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง

“เปิดใช้งานออปติคัลคอมพิวเตอร์ กำลังตรวจสอบอัตโนมัติ โปรดรอสักครู่! เลือกใช้งานโหมดฉุกเฉิน โปรดกดปุ่มทำงานฉุกเฉิน!” ออปติคัลคอมพิวเตอร์ส่งเสียงเตือนผู้ควบคุมตามโปรแกรมที่ตั้งค่าไว้

การเปิดใช้งานหุ่นรบมีอยู่สองวิธี หนึ่งคือเปิดใช้งานตามปกติ ระดับความเร็วนี้จะช้าเล็กน้อย ใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงสามนาที และยังมีอีกวิธีคือเปิดใช้งานฉุกเฉิน เวลาที่ใช้ไปจะสัมพันธ์กับระดับของออปติคัลคอมพิวเตอร์ ยิ่งออปติคัลคอมพิวเตอร์มีระดับสูง เวลาที่ต้องการก็จะยิ่งสั้นลง ส่วนออปติคัลคอมพิวเตอร์ของหุ่นรบมาตรฐานทั่วไปแบบนี้ต้องใช้เวลาสิบสองถึงสิบห้าวินาที

หุ่นรบระดับหัวหน้าสามารถเลื่อนเวลาเป็นสิบถึงสิบสองวินาที และจะเลื่อนขึ้นไปในทำนองเดียวกัน การเพิ่มขึ้นแต่ละระดับจะสามารถเลื่อนเวลาได้สองถึงสามวินาที ส่วนหุ่นรบ IN อาวุธขั้นสุดยอดสูงสุดของสหพันธรัฐจะใช้เวลาที่แท้จริงในการเปิดใช้งาน 0 วินาที นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พวกเขาสามารถกลายเป็นหุ่นรบที่แข็งแกร่งที่สุด

แน่นอนว่าครั้งนี้หลิงฉินไม่ได้เลือกเปิดใช้งานฉุกเฉิน ถึงแม้หลิงหลานจะมีความเสี่ยงที่จะไปสาย แต่ว่ามันก็ยังไม่ถึงขั้นต้องเปิดใช้งานฉุกเฉิน

แม้ว่าการเปิดใช้งานฉุกเฉินจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องเวลาได้ แต่มันก็มีจุดอ่อนถึงแก่ชีวิต นั่นก็คือมันจะข้ามการตรวจสอบอาวุธและองค์ประกอบต่างๆ ของหุ่นรบ ควรทราบว่าหุ่นรบเป็นอาวุธต่อสู้รูปแบบละเอียดอ่อนแม่นยำ ทุกครั้งที่ต่อสู้ก็จะทำให้ส่วนต่างๆ ของหุ่นรบเกิดความเสียหาย เมื่อองค์ประกอบสักชิ้นไปถึงจุดที่มันเสียหายก็จะเกิดปัญหา และเวลานี้ก็เปิดใช้งานฉุกเฉินอีก สามารถมองเห็นล่วงหน้าได้เลยว่า นี่จะเป็นโศกนาฏกรรม เพียงแต่ปัญหาคือจะเหตุการณ์จะร้ายแรงมากหรือร้ายแรงน้อยน่ะสิ

หลิงฉินย่อมไม่กล้าให้หลิงหลานตกอยู่ในความเสี่ยงแบบนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงไปตามทางปกติ เปิดใช้งานธรรมดาไม่ออกนอกลู่นอกทาง

การเปิดใช้งานครั้งนี้ไม่ได้กินเวลานานถึงสามนาทีขนาดนั้น มันใช้เวลาสองนาทีกับอีกสิบวินาทีก็ทำเสร็จแล้ว และเข้าสู่ระบบควบคุมหุ่นรบอย่างเป็นทางการ

ทว่าความเร็วในการเปิดใช้งานแบบนี้กลับทำให้เสี่ยวซื่อดูถูก เขากระโดดอยู่ในมิติการเรียนรู้ไม่หยุดหย่อน บ่นเสียงดังว่าความเร็วที่เหมือนเต่าคลานแบบนี้เป็นการฆ่าผู้ควบคุมหุ่นรบชัดๆ ถ้าไม่ใช่เพราะหลิงหลานคัดค้านอย่างเด็ดขาดละก็ เสี่ยวซื่อคงเข้าไปในหุ่นรบตัวนี้และดัดแปลงการทำงานของออปติคัลคอมพิวเตอร์ไปนานแล้ว

อย่างไรก็ตาม หลิงหลานยังคงรับปากเสี่ยวซื่อว่า ถ้าหากเธอมีหุ่นรบของตัวเอง เธอจะต้องให้เสี่ยวซื่อรับหน้าที่เป็นออปติคัลคอมพิวเตอร์ เขาจะดัดแปลงอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ นี่ถึงค่อยทำให้เสี่ยวซื่อปล่อยวางความคิดของเขาด้วยความไม่พอใจและรอคอยโอกาสที่เขาจะได้ลงมือแสดงความสามารถต่อไป

หลิงฉินเปิดฟังก์ชันแสดงรอบทิศทางของหุ่นรบอย่างรวดเร็ว ทำให้หลิงหลานรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนจริงฉับพลัน เธอเพียงแต่นั่งอยู่บนที่นั่งซึ่งกำลังลอยอยู่ มองลงไปข้างล่างซึ่งอยู่ห่างจากพื้นประมานห้าหกเมตร

อืม ความรู้สึกนี้ไม่เลวเลยจริงๆ! ดวงตาสองข้างของหลิงหลานเปล่งประกายขณะมองหลิงฉินควบคุมหุ่นรบ รู้สึกว่านี่น่าสนใจมาก เธออยากลองควบคุมบ้างและเริ่มรอคอยเวลาที่ตัวเองจะได้ควบคุมหุ่นรบ

หลิงฉินกุมคันบังคับ หันหน้ามากล่าวเตือนว่า “คุณชายหลาน นั่งดีๆ นะครับ ผมจะบินขึ้นแล้ว”

หลิงหลานผงกศีรษะ เธอคว้าที่จับข้างตัวบ่งบอกว่าตัวเองเตรียมพร้อมดีแล้ว

หลิงฉินได้รับคำตอบของหลิงหลาน สองมือก็โบกขึ้นอย่างฉับไว หลิงหลานรู้แค่ว่าหลิงฉินโบกมือเปลี่ยนท่วงท่าไปเกือบยี่สิบครั้งในชั่วพริบตา

ด้านนอกเห็นเพียงแค่หุ่นรบที่หลิงฉินควบคุมค่อยๆ ย่อเข่าลง หลังจากนั้นมันก็กระโดดขึ้นด้านบนอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกันเครื่องยนต์สองอันที่อยู่ด้านล่างข้างเอวของหุ่นรบก็ส่งเสียงดังกระหึ่ม จากนั้นก็เกิดแรงผลักดันมหาศาล ผลักหุ่นรบให้ขึ้นไปบนฟ้าอย่างเป็นทางการ

การเปลี่ยนแปลงความเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของหุ่นรบทำให้ร่างกายของหลิงหลานอัดติดเข้ากับที่นั่งเพราะแรงโน้มถ่วง ยังดีที่คุณสมบัติร่างกายของหลิงหลานดีมาก เธอเลยไม่รู้สึกเหนื่อยหรือว่าไม่สบายตัว

ถึงแม้ว่าห้องคนขับจะมีความสามารถลดแรงกดดันในระดับหนึ่ง แต่เพื่อที่จะควบคุมหุ่นรบให้ดียิ่งขึ้น แรงขับแบบนี้จึงไม่ได้ถูกกำจัดออกไปทั้งหมด นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำไมเงื่อนไขของการเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบถึงจะต้องมีร่ายกายที่แข็งแกร่ง การทดลองพิสูจน์แล้วว่า ถ้าหากไม่มีแรงดันอยู่ ผู้ควบคุมหุ่นรบก็จะสัมผัสการเคลื่อนไหวภายนอกของหุ่นรบไม่ได้ พวกเขาไม่สามารถแน่ใจได้ว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองควบคุมถูกต้องแม่นยำแล้วหรือเปล่า และก็ไม่สามารถทำการเคลื่อนไหวมาตรฐานที่ตัวเองอยากทำได้เช่นกัน

ไม่นาน หุ่นรบก็เข้าไปสู่ชั้นอากาศสูง และบินตรงไปยังจุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็ว เนื่องจากหน้าจอแสดงผลรอบทุกทิศทาง ทำให้หลิงหลานเกิดความรู้สึกไปเองว่าตัวเองนั่งอยู่บนที่นั่งที่ไม่มีอะไรกำบังและพุ่งผ่านเมฆขาวท้องฟ้าสีครามเท่านั้น….

หลิงหลานรู้สึกวิงเวียนหูอื้อ หลังจากนั้นดวงตาสองข้างก็มืดสนิท สลบไปแล้ว

ก่อนที่หลิงหลานจะหมดสติไป ในที่สุดก็นึกขึ้นมาได้ว่า เธอยังแก้โรคกลัวความสูงไม่ได้เลย~!

ฮือๆๆ ความฝันในการควบคุมหุ่นรบของฉัน! หลิงหลานปาดน้ำตากับเสี่ยวซื่อในมิติการเรียนรู้ไม่หยุด ส่วนเสี่ยวซื่อก็จะเป็นบ้าไปแล้ว ถ้าเกิดหลิงหลานแก้ปัญหาข้อนี้ไม่ได้ละก็ เขายังจะมีโอกาสไปดัดแปลงออปติคัลคอมพิวเตอร์ของหุ่นรบอีกเหรอ

…………………………………………………..