บทที่ 42 ทั้งโง่และโหดอำมหิต

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“ใช่ ถึงจะบอกว่าตระกูลแววสูงเนินเป็นบริษัทเครื่องแต่งกาย แต่ก็ทำธุรกิจผ้าด้วย เพราะว่าความสัมพันธ์กับนายท่านวัชระ ผ้าที่บริษัทพวกเราต้องการล้วนเป็นแต่ของตระกูลแววสูงเนินจัดหาให้”เพื่อนร่วมงานอธิบาย

วารุณีพยักหน้าอย่างฉับพลัน“ที่แท้ก็แบบนี้ ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณนะคะ”

“ไม่ต้องเกรงใจครับ”เพื่อนร่วมงานส่ายมือ

หลังจากเขาไป วารุณีก็เอานามบัตรใส่ในกระเป๋า จากนั้นถือกระเป๋าไปหาพิชญา ทำเรื่องออกไปข้างนอก

เดิมทีคิดว่าจะถูกพิชญาทำให้ลำบากใจ คิดไม่ถึงว่าพิชญาจะพูดดีด้วยเกินความคาดหมาย อนุมัติให้เธอไปข้างนอกได้

พิชญาตรงไปตรงมาแบบนี้ กลับทำให้วารุณีรู้สึกไม่ค่อยชิน

แต่ว่าเธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก มองพิชญาอย่างสงสัยแป๊บหนึ่ง ก็เอาหลักฐานการขอไปข้างนอกไปที่โรงงานผ้าของตระกูลแววสูงเนิน

เพราะว่าโรงงานผ้าเกี่ยวข้องกับพวกฝุ่นละอองไฟเบอร์ จึงสร้างอยู่ที่ชานเมืองคนน้อยๆ

ตอนที่วารุณีไปถึง ก็เที่ยงแล้ว

เธอลงจากรถ มองบรรยากาศรอบๆ ยกเท้าขึ้นเดินไปที่ป้อมยาม“สวัสดีค่ะ ฉันเป็นดีไซเนอร์ของ บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป มารับสินค้าค่ะ ขอโทษนะคะผู้จัดการพวกคุณอยู่ที่ไหนคะ?”

“ผู้จัดการไปตรวจยามไลน์การผลิต”ป้อมยามรับบัตรพนักงานของเธอ หลังจากตรวจสอบตัวตนของเธอแล้ว ก็เปิดประตู

วารุณีเข้าไปแล้วพูดขอบคุณ หยิบบัตรพนักงานของตัวเองกลับ

จากนั้น ป้อมยามก็พาเธอไปหาผู้จัดการ

ผู้จัดการได้ยินการมาของวารุณี ก็แสดงอาการขอโทษ “คุณวารุณี ขอโทษจริงๆนะครับ ผ้าที่คุณต้องการไม่มีแล้ว”

“อะไรนะ?”วารุณีตะลึง จากนั้นจึงขมวดคิ้ว“ไม่มีแล้ว?”

“ครับ”ผู้จัดการพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

วารุณีหัวเราะไม่ออก ริมฝีปากแดงๆเม้มไว้ “ผู้จัดการ ฉันจำได้ว่าเมื่อวานเพื่อนร่วมงานของบริษัทฉันมารับสินค้าแล้ว แต่เพราะว่าปัญหาของรุ่น ก็เลยไม่ได้รับไป งั้นสินค้าก็น่าจะอยู่ที่พวกคุณสิ พวกคุณบอกว่าไม่มีได้ไงกัน?”

“แน่นอนว่าถูกเจ้าอื่นรับไปแล้วครับ เจ้าอื่นก็ต้องการผ้าพวกนี้เช่นกัน”ผู้จัดการตอบกลับไปด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ

วารุณีมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ“ถูกเจ้าไหนเอาไปคะ?”

“ตรงนี้บอกคุณวารุณีไม่ได้ครับ ลูกค้าต้องเป็นความลับหมดเลยครับ”

ได้ยิน วารุณีก็โมโห“ผู้จัดการ พวกคุณเกินไปแล้วนะคะ นั่นเป็นผ้าของพวกเรา บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป พวกคุณเอาไปให้คนอื่นได้ไง ใครให้อำนาจพวกคุณ?”

“ฉันเอง!”ด้านนอกประตูโรงงาน จู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงที่หยิ่งผยองเข้ามา

วารุณีหรี่ตามองไป มองเห็นร่างที่คุ้นเคย ใส่ส้นสูงเดินเข้าไปด้วยท่าทางส่ายไปมา“คุณเองเหรอ?”

เมธาวีเดินไปหยุดอยู่ข้างๆผู้จัดการ“คุณลงไปก่อน ฉันจะคุยกับเธอเอง”

“ครับ”ผู้จัดการพยักหน้า แล้วหันเดินออกไป

เมธาวีจึงเอาสายตามมองไปที่วารุณี ใช้ส้นสูงที่สูงกว่าวารุณี จงใจเงยคางขึ้น เชิดหน้าใส่“ฉันเอง คิดไม่ถึงใช่ไหมล่ะ!”

วารุณีกลอกตา“ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ แต่ว่าทำไมคุณถึงทำแบบนี้ คุณไม่รู้เหรอว่าคุณทำแบบนี้จะมีผลอะไรตามมา?”

“จะมีผลอะไรตามมาได้?”เมธาวีเบะปาก ด้วยใบหน้าคาดไม่ถึง “ฉันรู้แค่ว่า ไม่มีผ้า คุณก็ไม่อาจทำสำเร็จได้”

ได้ยินคำนี้ วารุณีก็เข้าใจทันที สายตาเย็นชา“ดังนั้นคุณเอาผ้าไปให้เจ้าอื่น เพื่อเล่นงานฉัน?”

“ใช่!”เมธาวีหัวเราะอย่างภูมิใจ“งานเลี้ยงครั้งที่แล้วคุณมีประธานนัทธีช่วยเหลือ ครั้งนี้ฉันจะดูสิว่าใครจะช่วยคุณ กล้ามาขโมยสร้อยของฉัน ดูสิว่าฉันจะเอาคุณตายไหม!”

“ครั้งที่แล้วบอกชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอง่า ฉันไม่ได้ขโมยสร้อยของคุณ”วารุณีหมดคำพูดสุดๆ

“คุณคิดว่าฉันเชื่อไหม?คุณไม่ได้ขโมยสร้อยของฉัน แล้วสร้อยฉันไปอยู่ในกระเป๋าคุณได้อย่างไร?”เมธาวีชี้ไปที่กระเป๋าของวารุณี ปักใจเชื่อว่าเธอขโมย

วารุณีขยี้คิ้ว จากนั้นก็เหนื่อยใจ“OK เรื่องสร้อยคอพวกเราปล่อยไว้ก่อน พวกเรามาคุยเรื่องนี้ดีกว่า ฉันจะถามคุณ คุณรู้ได้ไงว่าฉันจะมาที่นี่ ใครบอกคุณ?”

“คุณสนด้วยเหรอว่าใครบอกฉัน?”เมธาวีไม่ยอมตอบ

วารุณีก็ไม่หงุดหงิด ดวงตาจ้องไปที่เธอเขม็ง“พิชญาใช่ไหม?”

สีหน้าเมธาวีเปลี่ยนไป

วารุณีกำฝ่ามือแน่น“จริงๆด้วย……”

รู้ว่าเธอออกไปข้างนอก นอกจากเพื่อนร่วมงานแผนกจัดซื้อแล้วก็มีพิชญา

ไม่น่าล่ะพิชญาไม่ทำให้เธอลำบากใจตอนที่ยื่นเรื่องไปข้างนอก ที่แท้ก็มีสิ่งนี้รออยู่ที่นี่

“ดูเหมือนคุณหนูเมธาวีเอ่ผ้าให้เจ้าอื่น ก็เป็นความคิดของพิชญานะ”หน้าเล็กๆของวารุณีหม่นลง พูดอย่างเย็นชา

เมธาวีอ้าปากขึ้นด้วยความประหลาดใจ ตอบไปตามจิตใต้สำนึก“คุณรู้ได้ไง?”

วารุณีมองเธอด้วยสายตาซับซ้อน เป็นคนสวยไม่มีสมองที่ทั้งโง่และโหดอำมหิตจริงๆ

ปัญหาชัดเจนขนาดนี้ ใครเดาไม่ออกบ้างล่ะ?

“คุณอย่าสนเลยว่าฉันรู้ได้อย่างไร คุณหนูเมธาวี เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณคิดเถอะว่า คุณจะได้รับบทลงโทษอย่างไร ฉันไม่อยากมาวิเคราะห์อะไรกับคุณแล้ว มันเสียเวลาจริงๆ”

พูดไป วารุณีก็หยิบโทรศัพท์ โทรหานายท่านวัชระ

เมธาวีเห็น จึงคิดได้ว่าเธอรู้จักปู่ตัวเอง ใจเต้นตึกตัก แย่งโทรศัพท์เธอแล้วโยนลงพื้นทิ้งทันที

เสียงดังแปะ โทรศัพท์แตกกระจาย

วารุณีมองโทรศัพท์ที่พังจนใช้ไม่ได้อีกแล้วที่พื้น สีหน้าดูแย่อย่างมาก“คุณ……”

“อยากฟ้องปู่ฉันเหรอ ไม่มีทาง!”เมธาวีปรบมืออย่างอวดดี

วารุณีสูดหายใจลึกๆ ระงับความโกรธในใจไว้“คุณหนูเมธาวี คุณคิดว่าคุณเขวี้ยงโทรศัพท์แล้วก็จะไม่เป็นไรเหรอ?ฉันทำงานไม่สำเร็จ เรื่องก็ต้องสืบไปถึงคุณไม่ช้าก็เร็ว ผ้าเป็นของที่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปต้องการ ถึงคุณเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลแววสูงเนิน มีนายท่านวัชระอยู่หนุนหลังอยู่ คุณก็ต้องรับผลที่ตามมาเหมือนกัน”

ส่วนนี่ ก็เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของพิชญา ที่จะลอบกัดเธอ และยังกดขี่เมธาวีศัตรูความรักที่แอบซ่อนไว้อีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยจริงๆ

ที่น่าตลกที่สุดก็คือ ยัยปัญญาอ่อนเมธาวี ถูกพิชญาหลอกใช้ ก็ยังกระโดดเข้ามาด้วยความดีใจอีก

ฟังคำเตือนที่ชัดเจนขนาดนี้ของวารุณี เมธาวีโง่แค่ไหน ตอนนี้ก็เข้าใจว่าตัวเองทำเรื่องโง่ๆไป

ไม่คิดเลยว่าเธอจะกล้าเล่นงานบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป!

คิดถึงตรงนี้ หัวใจของเมธาวีจมดิ่งลง ตอนที่ทำรู้สึกกล้าหาญ ตอนนี้รู้สึกกลัวมาก

“ผู้จัดการธีภพ!”เธอกำหมัด ตะโกนด้วยสีหน้าร้อนใจ

ผู้จัดการที่เพิ่งออกไปรีบวิ่งกลับมา“คุณหนูใหญ่”

“เร็ว รีบตามผ้าที่เธอต้องการกลับมา!”เมธาวีชี้ไปที่วารุณี พูดเสียงดัง

“อ๋า?ตามกลับมา?”ผู้จัดการคิดว่าตัวเองฟังผิดไป

เมธาวีพยักหน้า“ยังไม่รีบไปอีก!”

“แต่ว่าคุณหนูใหญ่ ผ้าส่งออกไปนานมาแล้ว พวกเขาจะต้องใช้แล้วแน่ จะตามกลับมายังไงล่ะครับ?”ผู้จัดการมีใบหน้าลำบากใจ

เมธาวีกระทืบเท้าอย่างหยาบคายไร้เหตุผล“ฉันไม่สน สรุปคือคุณต้องไป ไม่งั้นฉันจะลดตำแหน่งคุณ ตัดเงินเดือนของคุณ”

“เอ่อ……”ผู้จัดการร้องไห้ไม่ออก แต่ก็ไปทำตาม

เมธาวีถอนหายใจ หันไปมองวารุณี“นี่ ฉันให้คนไปตามผ้ากลับมาแล้ว สรุปว่าเรื่องนี้ คุณเก็บไว้เป็นความลับเลยนะ อย่าไปพูดกับใครทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานนัทธี ได้ยินไหม?”

วารุณีไม่สนเธอสักนิด ก็แค่เก็บโทรศัพท์ที่พังจากพื้นขึ้นมาอย่างเจ็บปวด

ในโทรศัพท์นี้มีรูปที่ถ่ายไว้เมื่อก่อนมากมาย

ตอนนี้พังแล้ว ก็ไม่รู้ว่ารูปภาพยังเอากลับมาได้ไหม

เห็นวารุณีไม่ตอบ เมธาวีก็ไม่สนใจ เสยผมที่เพิ่งย้อมมาใหม่ พูดอย่างครอบงำคนอื่น“คุณไม่พูด ฉันก็ถือว่าคุณได้ยินแล้วนะ ต่อไปถ้าฉันรู้ว่า คุณเอาเรื่องนี้พูดออกไป ดูสิว่าฉันจะจัดการคุณอย่างไร หึ!”

ทิ้งไว้เพียงคำพูดข่มขู่นี้ เธอถือกระเป๋าชื่อดัง เดินส่ายก้นออกไป

วารุณีมองทางที่เธอออกไป ริมฝีปากแดงๆเม้มเข้าหา

เดิมทีเธอยังเห็นแก่หน้าของนายท่านวัชระ อยากให้โอกาสเมธาวีครั้งหนึ่ง

แต่เธอจองหองแบบนี้ ถ้าปล่อยเรื่องนี้ไปแบบนี้ กลัวว่าต่อไปจะยิ่งลอบกัดตัวเองตามอำเภอใจอย่างไม่เกรงกลัวใครมากขึ้น