บทที่ 51 ความคิดของฝ่าบาท

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

หนานกงเลี่ยเองก็ยังคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังพูดกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาจึงหันหน้าไปมองชายอีกคนด้วยความประหลาดใจ  

 

 

เขาผู้นั้นกำลังดื่มชาพร้อมกับอ่านม้วนคัมภีร์โบราณที่แม้แต่อาจารย์สอนวิชาศิลปะการต่อสู้ยังยากที่จะเข้าใจได้ ชาสีอ่อนเคลือบลงบนริมฝีปากบางที่ชุ่มไปด้วยน้ำชาของเขา ทำให้มันดูนุ่มนวลและเป็นประกายแวววาวขึ้นมา ชายผู้นี้ดูมีสมาธิและจดจ่ออยู่กับมัน ดูจริงจังเสียจนทำให้คนอื่นๆ รู้สึกหลงใหล  

 

 

ชายหนุ่มที่เฉลียวฉลาด สง่างาม และเกิดมาในราชวงศ์อย่างผู้ชายคนนี้ เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เขาก็ตอบกลับว่า “ได้สิ” พร้อมกับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย  

 

 

หนานกงเลี่ยประหลาดใจ “อาเจวี๋ย เจ้าคิดจะทำอะไรอีกแล้ว”  

 

 

เสียงของเขาแผ่วเบาเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นๆ ได้ยินพวกเขา  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่หมุนถ้วยชาในมือและมองไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย ซึ่งดูไม่ปกติเอาเสียเลย  

 

 

หนานกงเลี่ยมองดูท่าทีนั้นแล้วรู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง เมื่อตอนที่ชายคนนี้ยังเด็ก อดีตฮ่องเต้จะขอให้เขาช่วยเทน้ำร้อนใส่ในชาให้ แต่เขามักจะทำตามอารมณ์ของตนเอง หากเขาอารมณ์ดี ก็จะชงชาหนึ่งหรือสองกา แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดี เขาก็จะทิ้งให้อดีตฮ่องเต้ดื่มน้ำชาที่ยังไม่ต้มสุก ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ตัวเขาได้รับคำสั่งแบบนี้ แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นคำตอบของผู้ที่เสพติดการล่า ในขณะที่ “เหยื่อ” คนนั้นยังคงหลับใหลอย่างไม่รู้ตัว  

 

 

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็รู้สึกดีใจอีกครั้ง ระหว่างสี่ตระกูลใหญ่และตระกูลราชวงศ์ เขาก็ต้องเลือกตระกูลราชวงศ์อยู่แล้ว มิเช่นนั้น เพียงแค่คิดที่จะเป็นศัตรูกับชายคนนี้ เขาก็ไม่อาจห้ามไม่ให้ตัวเองรู้สึกขนหัวลุกได้เลย  

 

 

เมื่อเขากลับมานั่งที่เก้าอี้ของตนเอง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หยุดอ่านคัมภีร์โบราณแล้ว เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ และวางแขนไว้บนที่พักแขน นิ้วของเขาเคาะเป็นจังหวะราวกับกำลังครุ่นคิดเรื่องสำคัญบางอย่าง  

 

 

หลังจากนั้น เขาก็เอี้ยวตัวเข้าไปใกล้หูของเฮ่อเหลียนเวยเวย ก่อนจะหัวเราะด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ถ้าปลุกเจ้าแล้ว ข้าจะได้รับค่าตอบแทนหรือไม่”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกถึงความเยือกเย็นข้างๆ ใบหูของตนเอง แล้วอาการชาราวกับเหน็บกิน ก็ค่อยๆ แผ่ออกมา นางลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะตระหนักได้ว่าหยวนหมิงทำให้นางทำเรื่องผิดพลาดอย่างโง่เขลาอีกแล้ว  

 

 

“ไม่มีเงินตอบแทนหรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยหาว “แต่ข้าจะเลี้ยงอาหารเที่ยงเจ้าเอง เราไปกันเลยดีหรือไม่”  

 

 

มุมปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโค้งขึ้นอยู่ตลอดเวลา ภายใต้รอยยิ้มจางๆ นั้นเผยให้เห็นถึงเงาบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจได้ “ดี ข้าไม่มีเงินกินข้าวเที่ยงอยู่พอดี”  

 

 

“แค่ก แค่ก แค่ก” หนานกงเลี่ยสำลักน้ำชา ฝ่าบาทอย่าตรัสถ้อยคำเหล่านั้นโดยที่ใบหน้าไม่เปลี่ยนเป็นสีแดง หรือหัวใจไม่เต้นแรงได้หรือไม่  

 

 

อย่างไรก็ตาม ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ไม่ได้โกหก เขาไม่ได้พกเงินติดตัวเลยจริงๆ แต่แน่นอนว่าแค่แหวนในมือเพียงวงเดียวที่เขาสวมอยู่นั้น ก็เพียงพอที่จะซื้อที่ดินตรงชายแดนและสร้างเมืองขึ้นมาได้แล้ว  

 

 

ทุกคนรู้ดีว่าแม้องค์ชายสามจะสูญเสียพลังปราณไป แต่เขาก็ยังเป็นองค์ชายที่อดีตฮ่องเต้รักมากที่สุด และเขาก็คือโอรสแห่งจักรวรรดิจ้านหลง  

 

 

โดยปกติแล้ว เมื่อผู้คนพูดถึงเขา ก็มักจะมีคำยกยอต่อท้ายมาด้วย เช่น ผู้บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ ราวกับเทพสวรรค์ที่จุติลงมา และอีกต่างๆ นานา  

 

 

ประเด็นหลักคือ เขาไม่มีเงินใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเล่า  

 

 

หนานกงเลี่ยไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป ดังนั้น เขาจึงหันหน้าหนี และแสร้งทำเป็นคนโง่ที่หูหนวกและเป็นใบ้  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงแค่ยื่นมือไปปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงบนเสื้อคลุมสีดำและเสื้อสีขาวของตนเอง เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและสุขุมราวกับเหล้าองุ่นที่กลมกล่อม ซึ่งกลิ่นของมันทำให้คนอื่นมึนเมาได้ “ไปกันเถอะ”  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้คิดอะไรมาก นางกำลังเลียริมฝีปากบางของตนอยู่ ตอนนี้ นางคิดเพียงว่าอยากจะกินแกะย่างใบยี่หร่า พร้อมกับน้ำจิ้มที่ราดเพิ่มเข้าไป มันกรอบนอก และฉ่ำน้ำด้านใน ไขมันที่ละลายจนเยิ้มออกมานั้นทำให้รสชาติเอร็ดอร่อย  

 

 

 

 

 

โรงอาหารของสำนักไท่ไป๋นั้นสะอาดมาก และพ่อครัวก็ถูกมอบหมายให้ใส่ใจกับมันเป็นพิเศษ  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย โต๊ะอาหารของนางยังคงเต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ รวมถึงแตงโมสดๆ คู่กับเหล้าองุ่นจีนชั้นดี  

 

 

เมื่อได้กินพวกมัน ความสุขที่ได้รับนั้นก็ปะทุออกมา  

 

 

ในเมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยพาคนมากินอาหารที่นี่ด้วย นางก็ไม่ลืมที่จะยื่นตะเกียบและจานให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย  

 

 

หากไม่มีผู้คนมากมายคอยจับจ้องอยู่ อาหารมื้อนี้ก็คงจะกินได้อย่างมีความสุขยิ่งกว่านี้  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดตะเกียบไม้ของตนและสังเกตผู้ชายตรงหน้าอย่างสุขุม ชายหนุ่มคนนี้ได้รับการอบรมมารยาทมาอย่างดีเยี่ยมเสียจนไม่อาจมีใครเทียบได้ ทุกการเคลื่อนไหวของเขามีเสน่ห์ที่ดูเป็นชายชาตรีอย่างมาก ในไม่ช้า ทุกคนในโรงอาหารก็ไม่อาจต้านทานเสน่ห์ของเขาได้  

 

 

เหล่าคุณหนูจากตระกูลชนชั้นสูงที่มารับประทานอาหารที่นี่ ต่างก็มองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาราวกับว่าอยากจะกินนางทั้งเป็น ในขณะเดียวกัน สีหน้าของพวกนางก็กำลังหว่านเสน่ห์อย่างมาก  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน ทุกครั้งที่ชายคนนี้มารับประทานอาหาร บรรดาสาวๆ ทั้งหลายก็จะกระพือขนตาใส่เขาเช่นนั้นหรือ นั่นจะไม่ทำให้เขาอาหารไม่ย่อยหรืออย่างไรกัน  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้มาก่อนว่าองค์ชายองค์นี้ไม่เคยมาที่โรงอาหารแห่งนี้มาก่อน ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในสำนักศึกษาแห่งนี้ เงาทมิฬก็จะเป็นคนที่ดูแลทุกอย่างที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่มที่ได้มาจากน้ำแร่บนภูเขา อาหารที่ปรุงโดยพ่อครัวชั้นยอดในวัง พร้อมกับรักษาความร้อนของอาหารด้วยวิธีพิเศษ ก่อนจะส่งมายังสำนักไท่ไป๋ในทุกๆ คืน  

 

 

ดังนั้น ทันทีที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินเข้ามาในโรงอาหาร คิ้วหนาของเขาก็ขมวดแน่น  

 

 

ทว่าในทางกลับกัน ในตอนนี้ มีใครบางคนที่ยังคงก้าวไปข้างหน้า  

 

 

“นางมาที่นี่จริงๆ เจ้าแมลงที่ประจบสอพลอนั้นทำสำเร็จ พวกเรายังต้องชื่นชมนาง พวกเจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ”  

 

 

คนที่พูดนั้นจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากเฮ่อเหลียนเหมย และมีเด็กสาวจากตระกูลขุนนางยืนอยู่ข้างๆ ด้วย นอกจากนางแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็มาจากหอชั้นเลิศด้วยกันทั้งสิ้น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น กระโปรงยาวของนางสยายอย่างงดงามราวกับหยาดน้ำ แม้แต่ในขณะที่พูดนั้น น้ำเสียงของนางก็แผ่วเบาและนุ่มนวล “น้องสาม อย่าพูดจาเช่นนั้นอีกเลย”  

 

 

“ทำไมข้าจะพูดไม่ได้ พี่รองใจดีเกินไปแล้ว ทำไมท่านจะต้องถูกนังผู้หญิงชั่วคนนั้นรังแกด้วยเล่า” ไม่ว่าอย่างไร เฮ่อเหลียนเหมยก็ไม่มีวันลืมเรื่องที่ตัวเองถูกตบ สายตาที่นางมองเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น  

 

 

จริงๆ แล้ว เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ไม่ได้อยากจะห้ามเฮ่อเหลียนเหมยจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้ นางอยากจะแสดงว่าเป็นทำดีกับเฮ่อเหลียนเวยเวย  

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่นางเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่ด้วยกัน หัวใจของนางก็รู้สึกทุกข์ระทม  

 

 

นังแพศยานั่นโชคดีอะไรเช่นนี้ที่ได้เป็นเพื่อนกับผู้ชายคนนี้  

 

 

แต่… ถึงแม้ว่าเขาจะหน้าตาดีเพียงใด เขาก็เป็นแค่ศิษย์ที่ยากจนคนหนึ่งจากหอสามัญเท่านั้น ว่ากันว่าเขาไม่มีเงินที่จะซื้อหมวกนักปราชญ์ด้วยซ้ำ  

 

 

ไม่เหมือนคุณชายมู่หรงที่เกิดมาในตระกูลสูงศักดิ์ และยังประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย  

 

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็กลอกตา และทำท่าทีราวกับกำลังลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “น้องสาม เพื่อนของพี่ใหญ่อยู่ที่นี่ อย่าทำให้พวกเขาเข้าใจผิดดีกว่า” หลังจากพูดจบ นางก็มองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ก่อนจะยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างไร้เดียงสา “คุณชาย เราเจอกันอีกแล้วนะเจ้าคะ”  

 

 

“หืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาของเขามีลวดลายเป็นเส้นเล็กๆ อยู่ด้านใน มันล้ำลึกเสียจนทำให้ผู้คนจมลงไปในความน่าหลงใหลของสายตาคู่นั้นได้ทันที  

 

 

หัวใจของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สั่นไหวอย่างไม่อาจหาคำใดมาอธิบายได้ ก่อนหน้านี้ ณ หอชั้นเลิศ ชายหนุ่มคนนี้เพียงแค่ยืนอยู่ที่นั่นเฉยๆ แต่นางก็สัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังวิเศษบางอย่าง และตอนนี้ เมื่อได้ยินเสียงของเขาใกล้ๆ มันเป็นน้ำเสียงที่ฟังดูชัดเจน เยือกเย็น ทุ้มลึก และก้องกังวาน แต่ก็เย็นสบาย และกระจ่างใสราวกับสายลมของฤดูใบไม้ผลิในเดือนสาม ที่ทำให้หัวใจเบิกบานและรู้สึกสบายใจเป็นพิเศษ  

 

 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ตั้งสติอีกครั้ง ก่อนที่รอยยิ้มตรงมุมปากของนางนั้นจะเผยให้เห็นชัดเจนขึ้น “ครั้งก่อน หลังจากที่แยกจากคุณชายไป ข้าก็ไม่ได้พบคุณชายอีกเลย ข้านึกสงสัยนักว่าทำไมวันนั้น ท่านถึงมาหาข้าที่หอชั้นเลิศหรือ”  

 

 

ในเมื่อนางสามารถทำให้มู่หรงซื่อจื่อเกลียดนังแพศยาคนนี้ได้ นางก็ต้องทำเช่นนั้นกับผู้ชายคนอื่นได้เช่นกัน  

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้รู้สึกสนใจนางก่อน  

 

 

หากไม่ใช่เพราะเฮ่อเหลียนเวยเวย นังผู้หญิงอัปลักษณ์คนนั้นจ่ายเงินเลี้ยงอาหารเขา คาดว่าผู้ชายคนนี้คงไม่แม้แต่จะชายตามองนางอย่างแน่นอน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกินอาหารกลางวันด้วยกันเลยด้วยซ้ำ มันคงจะเป็นแค่จินตนาการที่ไม่เป็นจริงเท่านั้น  

 

 

เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์มั่นใจในความงามของตนเอง เพราะไม่มีผู้ชายคนใดในโลกใบนี้สามารถปฏิเสธนางได้นั่นเอง…