บทที่ 15 สุสานจักรพรรดิ

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 15 สุสานจักรพรรดิ

เป็นเวลาค่ำของคืนก่อนพิธีบวงสรวงสวรรค์ ไป๋ชิวหรานเดินไปยังสุสานราชวงศ์ซ่างเสวียนที่ห่างจากตัวเมืองถึงสามร้อยลี้

นี่เป็นอย่างที่สองที่เขาตัดสินใจสืบค้น เนื่องจากเขาสงสัยว่าพิธีบวงสรวงสวรรค์มีบางอย่างไม่ปกติ แต่เมื่อไม่พบเบาะแสใด ชายหนุ่มจึงไปยังสถานที่ดังกล่าวเพื่อตรวจสอบปัญหา

หลังจากหาข้อมูลด้วยระยะเวลาไม่นาน ไป๋ชิวหรานก็สามารถรู้เกี่ยวกับที่ตั้งของสุสานจักรพรรดิ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมันไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนในเมืองหลวงเท่าไร

ด้านนอกของสุสานจักรพรรดิแห่งซ่างเสวียน มันได้รับการคุ้มครองจากทหารกว่าพันนาย แต่ละชั้นยังมีองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีผลกับไป๋ชิวหราน เขาแทบไม่ได้ใช้วิชาอาคมใด มีเพียงการกลั้นหายใจและวิชาย่องเบาก็สามารถผ่านทหารและองครักษ์เหล่านี้ได้แล้ว

ในฐานะที่เป็นหลุมฝังศพของจักรพรรดิแห่งซ่างเสวียน การฝังศพนี้ย่อมต้องสร้างขึ้นอย่างหรูหรา ภายในเขตสุสานของจักรพรรดิจึงมีถนนหินที่กว้างขวางรองรับการอยู่ของรถม้าสี่คัน และทอดยาวไปจนถึงทางเข้าสุสาน สองข้างทางประดับด้วยรูปปั้นสัตว์ร้ายหันหน้าเข้าหากันตลอดทางของถนน ส่วนสุดท้ายคือแท่นบูชาก่อนจะถึงสุสานจักรพรรดิแห่งซ่างเสวียนที่หลับใหลอยู่ข้างใต้นี้

ไป๋ชิวหรานมาถึงด้านในสุดของสุสานจักรพรรดิ เขาตรวจสอบตำแหน่งและแท่นบูชา จากนั้นจึงเริ่มใช้สัมผัสเทวะให้มุ่งเข้าไปยังใต้ดินและเริ่มสอดแนมสุสานของจักรพรรดิ

ไป๋ชิวหรานเกิดเมื่อสามพันปีก่อนในช่วงหลังยุคสงครามระหว่างเซียนและเผ่ามารจบลง เผ่ามารได้กลับเข้าสู่ป่าอีกครั้ง รัฐทั้งสิบแห่งกู่โจวได้ยกเลิกศักราชเก่าและเริ่มนับศักราชใหม่ โดยปัจจุบันใช้เป็นศักราชต้าชาง

เขาพอจะจำได้ว่าราชวงศ์ซ่างเสวียนเริ่มก่อตั้งเมื่อหนึ่งพันสองร้อยปีมาแล้วในศักราชต้าชาง เวลานั้นไป๋ชิวหรานมีอายุได้ประมาณหนึ่งพันแปดร้อยปี

เนื่องจากสำนักกระบี่ชิงหมิงอยู่ติดกับรัฐนี้มานานจนถึงปัจจุบัน พวกเขาจึงมีบันทึกประวัติของจักรพรรดิแห่งรัฐซ่างเสวียน โดยจักรพรรดิแต่ละองค์จะครองราชย์ประมาณห้าสิบปี หากคำนวณแล้ว ตอนนี้น่าจะมีอยู่ประมาณยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้าองค์

ภายในห้องสุสาน การจัดวางโลงศพก็จัดตามช่วงเวลาเช่นกัน จากน้อยไปยังมากที่สุด รัฐซ่างเสวียนที่สถาปนาขึ้นตั้งแต่ยุคแรก ซ่างเสวียนได้เสียจักรพรรดิส่วนใหญ่ไปในสงคราม และเป็นการยากที่จะนำเอาพระศพกลับมา ดังนั้นทางรัฐจึงจัดแจงให้มีอาภรณ์พิเศษที่วางอยู่ในโลงแทน

จากผลการตรวจสอบของไป๋ชิวหราน มีร่างอยู่สิบแปดร่างที่นอนอยู่ในสุสาน นอกนั้นเป็นเพียงหลุมศพเปล่า พระธาตุที่อยู่ด้านในก็สลายไปตามกาลเวลา

หลังจากตรวจสอบไปมาสองสามครั้ง ไป๋ชิวหรานก็พบสิ่งบางสิ่งแปลก ๆ

“โลงนี้ว่างเปล่างั้นหรือ?”

สัมผัสของเขาเพ่งไปยังโลงศพของจักรพรรดิซ่างเสวียนรุ่นที่สิบหก

“ไม่น่าเป็นไปได้ อย่างน้อยมันควรมีพระธาตุอยู่ในโลงด้วย”

ในหลุมศพของจักรพรรดิซ่างเสวียนรุ่นที่สิบห้า สิบสี่ และสิบสามยังคงถูกประดับตกแต่งอย่างดี โดยมีทุกอย่างครบสมบูรณ์ แต่ภายในหลุมศพที่สิบหกกลับว่างเปล่า

“ต้องเข้าไปดู”

ไป๋ชิวหรานกระทืบเท้า จากนั้นร่างของเขาได้หายไปจากจุดที่ยืนอยู่และเข้าไปยังชั้นใต้ดินโดยตรง เพียงชั่วพริบตาเขาก็มาถึงยังหลุมศพของจักรพรรดิองค์ที่สิบหก

ห้องศพว่างเปล่า มันมีเพียงโลงศพขนาดใหญ่ตั้งอยู่ อีกทั้งยังเต็มด้วยไอพิษที่ก่อตัวขึ้นหลังจากถูกฝังใต้ดินมาหลายปี อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกับไป๋ชิวหราน เมื่อมาถึง เขาก็รีบวิ่งไปเปิดโลงศพออกอย่างไม่ลังเล

กลไกและหมุดตอกถูกทำลายด้วยแรงมหาศาลของไป๋ชิวหราน จากนั้นฝาโลงก็ถูกดันขึ้นจนไปติดกับดินเหนือหลุมฝังศพ

ไป๋ชิวหรานสะบัดมือปัดฝุ่นและมองเข้าไปในโลงศพ แน่นอนว่าผ้าที่คลุมศพอยู่นั้นว่างเปล่าและไม่มีสิ่งใดนอกจากฝุ่น

“หืม? นี่คืออะไร?”

หลังจากมองไปมาสองสามครั้ง ไป๋ชิวหรานก็พบรอยสีดำบนผ้าเหลือง เดิมทีดูเหมือนรอยดำนี้จะเป็นของเหลวชนิดหนึ่ง แต่ตอนนี้มันแห้งและละลายเป็นผง เขาหยิบมันขึ้นมาและมองดู แต่ไม่นานก็ต้องใช้มือปิดจมูก

“โลหิตมนุษย์?”

ไป๋ชิวหรานจดจ้องไปยังรอยสีดำนี้อย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาจึงเปิดใช้สัมผัสเทวะกวาดไปทั่วบริเวณอีกครั้ง เนื่องจากมันไม่มีความผันผวนของพลังงานบนรอยนี้มานานแล้ว ในตอนแรกเขาจึงคิดว่าเป็นเพียงสิ่งสกปรกที่ตกใส่ แต่หากมองให้ละเอียดจะพบว่ารอยสีดำนี้อาจเป็นวงกลมที่เกิดจากการเขียนอักขระอาคม

เขาพยายามเปรียบเทียบกับรูปแบบที่เคยพบเจอมาในความทรงจำช่วงสามพันปีทีละรูป จากนั้นจึงพยายามแกะสลักรูปแบบเดิมให้ได้ด้วยพลังปราณอีกครั้ง

“มันคือ…อาคมโลหิตหวนคืนของสำนักโลหิตเทวะ”

อาคมนี้ เป็นอาคมที่โด่งดังที่สุดของสำนักโลหิตเทวะ ส่วนใหญ่ศิษย์สำนักมารมักจะใช้อาคมนี้ร่วมกับทักษะการจับตัวของโลหิตเพื่อสังหารคู่ต่อสู้ ซึ่งเป็นวิชาที่ชั่วร้ายอย่างมาก แต่วิชานี้ยังสามารถใช้กับตัวเองได้ด้วย ซึ่งมันสามารถใช้เพื่อแกล้งตายและหลบหนีคู่ต่อสู้

อาคมโลหิตหวนคืน เป็นสิ่งที่พวกมารมักจะใช้เพื่อฟื้นฟูโลหิตในร่างกาย และตื่นจากการหลับใหลหลังจากแสร้งทำเป็นตาย

“เมื่อเป็นเช่นนี้ คงไม่แปลกที่จะมีผู้ฝึกอาคมของสำนักมารจะแฝงตัวอยู่ในราชวังสินะ”

ไป๋ชิวหรานประกบมือและลุกขึ้นยืน ดวงตาของเขาเปล่งประกายออกมาโดยทันที

“กล่าวโดยง่ายคือ จักรพรรดิซ่างเสวียนรุ่นนี้เป็นผู้ฝึกอาคมของสำนักโลหิตเทวะ เขาต้องการสังเวยชีวิตเด็กชายและเด็กหญิงบริสุทธิ์ให้ขึ้นไปยังสวรรค์ จากนั้นจึงใช้โลหิตทั้งหมดเพื่อพัฒนาทักษะ หรือเพื่อยืดอายุเป็นแน่ ทั้งหมดคงจะถูกประกาศในพิธีบวงสรวงสวรรค์วันพรุ่งนี้”

เขาเดินรอบ ๆ โลงศพเพื่อหาบางอย่างที่สำนักโลหิตเทวะทิ้งเอาไว้ แน่นอนว่าใต้แท่นบูชา เขาพบรูปแบบอาคมที่จารึกด้วยโลหิตมนุษย์

โลหิตที่ใช้เขียนนั้นยังคงสดอยู่ ดูเหมือนว่ามันจะถูกจัดเตรียมไว้โดยศิษย์สำนักมารเมื่อไม่นานมานี้ ไป๋ชิวหรานเปิดใช้กระแสจิตของตน เวลานี้เขาสามารถเห็นได้ว่ามีวิญญาณแค้นนับไม่ถ้วนติดอยู่ในอาคมโลหิต พวกมันกำลังดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน แต่ก็ยังถูกกำราบไว้โดยอาคมนั่น ซึ่งทำให้ไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้

“ดูเหมือนว่าจะมีมารหลายตัวรวมหัวกันอยู่ครั้งนี้ ช่างน่าละอายจริง ๆ ที่ปล่อยให้พวกมารมาสร้างความวุ่นวายในเมืองหลวง”

เมื่อมองดูภาพตรงหน้าก็พลันทำให้ไป๋ชิวหรานรู้สึกหงุดหงิดในใจ แต่หลังจากบ่มเพาะพลังมาสามพันปี เขาก็สามารถควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี

“แต่อาคมนี้ดูหยาบกระด้างเสียจนข้าอยากจะเขียนให้ใหม่ อย่างกับว่าคนเขียนไม่ใช่ศิษย์จากสำนักมารที่แท้จริง ดูจะเป็นเพียงสิ่งที่เด็กมือบอนเขียนไว้อย่างไรอย่างนั้น”

หลังจากดูไปคร่าว ๆ ไป๋ชิวหรานก็ไม่คิดจะแตะต้องมันและถอนตัวออกจากสุสาน ตอนนี้ผู้ฝึกอาคมไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้จะทำลายอาคมไปก็เปล่าประโยชน์ ตรงกันข้าม มันอาจจะกลายเป็นแหวกหญ้าให้งูตื่น และเกิดการนองเลือดมากขึ้น

มันยังไม่สายเกินไปที่ดวงวิญญาณเหล่านั้นจะได้รับการช่วยเหลือ เมื่อวันพรุ่งนี้เป็นพิธีบวงสรวงสวรรค์ ในฐานะ ‘เด็กผู้ถูกเลือก’ ไป๋ชิวหรานจึงตั้งใจจะทำให้ผู้ฝึกอาคมและศิษย์สำนักมารประหลาดใจ และจะทำให้พวกเขาลิ้มรสชาติของการเป็นเหยื่อดูบ้าง