บทที่ 43 สมบัติวิญญาณป้องกันระดับหก ผู้อาวุโสได้รับบาดเจ็บสาหัส

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 43 สมบัติวิญญาณป้องกันระดับหก ผู้อาวุโสได้รับบาดเจ็บสาหัส
‘เหตุใดถึงเกิดความประทับใจในตัวข้า’

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เช่นนี้ก็ยิ่งจัดการยากขึ้นไปอีก

เขายากที่จะลงมือกับผู้ที่มีความประทับใจในตัวเขา

หวงจี๋เฮ่าเดินมาตรงหน้าหานเจวี๋ย กล่าวว่า “เจ้าหนู ข้าถูกชะตาเจ้า อยากคำนับข้าเป็นอาจารย์หรือไม่ ภายภาคหน้าหากอยากสำเร็จระดับปราณก่อกำเนิดก็ไม่ใช่เรื่องยากอันใด”

สำหรับระดับสร้างฐานแล้ว ระดับปราณก่อกำเนิดนับว่าเป็นสวรรค์ที่แท้จริง!

หลังจากพูดประโยคนี้ออกไป เขาไม่เชื่อว่าหานเจวี๋ยจะไม่หวั่นไหว

‘ถูกชะตากันหรือ’

สีหน้าของหานเจวี๋ยแปลกประหลาด

ระหว่างชายกับชายจะถูกชะตาอะไรกัน

หรือว่า…

หานเจวี๋ยตัวสั่นระริก ขนลุกขึ้นมาทันใด ขาพลันก้าวถอยหลัง

“ท่านคือผู้ใด มาสำนักหยกพิสุทธิ์เพื่อการใด” หานเจวี๋ยกล่าวด้วยเสียงขรึม

หวงจี๋หาวกล่าวแกมขบขัน “ข้าคือหวงจี๋เฮ่าแห่งสำนักกระบี่วิหคชาด เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ มาสำนักหยกพิสุทธิ์ครั้งนี้ ย่อมมาท้าประลองกับผู้อาวุโสสังหารเทพของพวกเจ้า!”

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เหตุใดจึงท้าประลองผู้อาวุโสสังหารเทพ กลับไม่ท้าประลองสำนักหยกพิสุทธิ์”

“เจ้าสำนักและอดีตเจ้าสำนักของพวกเจ้าพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของข้านานแล้ว สำนักหยกพิสุทธิ์เหลือเพียงผู้อาวุโสสังหารเทพที่มีคุณสมบัติพอที่จะให้ข้าลงมือ เดิมทีข้าก็คร้านจะยุ่งกับพวกเจ้า อยากท้าประลองลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ แต่คนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณรบเร้าข้าให้มาประมือกับผู้อาวุโสสังหารเทพให้ได้ แล้วจะบอกตำแหน่งทางเขาของพวกเขาให้กับข้าในภายหลัง”

หวงจี๋เฮ่ากล่าวอย่างไม่ใส่ใจ เมื่อได้ยินเช่นนั้น ระดับความเกลียดชังของหานเจวี๋ยที่มีต่อลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณพุ่งสูงขึ้นถึง 6 ดาว!

หานเจวี๋ยถาม “ระดับเปลี่ยนวิญญาณในลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณมีมากหรือ ความสามารถของเจ้าลัทธิเป็นเช่นไร”

“ระดับเปลี่ยนวิญญาณนั้นมีมาก อย่างไรเสียก็มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี ส่วนเจ้าลัทธิของพวกเขาลึกลับมาก ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก”

“หากท่านไปท้าประลองลัทธิศักดิ์สิทธิ์อาภรณ์ป้องพิรุณ มีความมั่นใจมากเพียงใด”

“เหตุใดเจ้าจึงถามมากมายเช่นนี้ ตกลงว่าจะคำนับข้าเป็นอาจารย์หรือไม่”

[ความประทับใจที่หวงจี๋เฮ่ามีต่อท่านลดลง ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]

สีหน้าของหวงจี๋เฮ่าฉายแววรำคาญ

หานเจวี๋ยรู้สึกเบิกบานแล้ว

แค่ถามเพียงไม่กี่ประโยค ความประทับใจก็ลดลงไปถึงครึ่งหนึ่งเลย?

ดียิ่งนัก!

เช่นนั้นข้าประมือกับเจ้าก็ไม่มีทางใจอ่อนแน่!

หานเจวี๋ยพลันหยิบกระบี่กิเลนออกมา เอ่ยขึ้นว่า “หากเจ้าสามารถรับกระบี่ของข้าได้ ข้าจะคำนับเจ้าเป็นอาจารย์!”

หวงจี๋เฮ่าเองก็เบิกบานใจ “เจ้าหนู เจ้าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของข้ามาก่อนหรือ”

“บอกมาว่าเจ้ากล้าหรือไม่กล้า!”

“ตกลง! ข้าจะรับเจ้าหนึ่งกระบี่! หากเจ้าทำอันตรายข้าได้เพียงเล็กน้อย ข้าจะหันหลังจากไป ชั่วชีวิตนี้จะไม่มารบกวนสำนักหยกพิสุทธิ์อีก!”

“เจ้าพูดแล้วนะ!”

“อืม”

หวงจี๋เฮ่าหยิ่งทระนง หลังจากมั่นใจว่าหานเจวี๋ยเป็นเพียงระดับสร้างฐานขั้นเก้า ตั้งแต่แรกจึงไม่ได้เก็บคำพูดของหานเจวี๋ยมาใส่ใจ

หานเจวี๋ยลงมืออย่างรุนแรง

พลังวิญญาณทั้งหกสายภายในร่างหลั่งไหลเข้าสู่กระบี่กิเลนราวภูเขาไฟระเบิด

ม่านตาของหวงจี๋เฮ่าพลันขยายใหญ่ขึ้น

‘พลังวิญญาณนี้!

แย่แล้ว!’

หวงจี๋เฮ่ารีบยกมือทั้งสอง รวบรวมพลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านในร่างกาย

แสงกระบี่ส่องประกาย ปราณกระบี่สีดำสายหนึ่งฟันต้นไม้จนขาดครึ่ง ก่อนพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้แต่ทะเลหมอกที่รวมกันยังแยกออกเป็นสองส่วน ภาพฉากยิ่งใหญ่เป็นที่สุด

หลังจากนั้น ฟ้าดินสั่นสะเทือน ฝุ่นธุลีลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

หวงจี๋เฮ่ากัดฟันกรอด พยายามต้านทานพลังปราณกระบี่ฟ้าสังหารเทพปีศาจอย่างเต็มกำลัง

ปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวปะทะเข้ามา ทำให้เขาก้าวถอยหลังอย่างต่อเนื่อง พลังวิญญาณทั้งหมดที่แปรเปลี่ยนเป็นโล่ป้องกันปรากฏรอยร้าว ราวกับกระจกที่แตกร้าว

แย่แล้ว!

ต้านไม่ไหว!

หวงจี๋เฮ่าสบถออกมาเบาๆ พร้อมกับทะยานร่างขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่ร่างทะยานขึ้นไป ปราณกระบี่ของหานเจวี๋ยพุ่งเข้าร่างของเขา ทำให้เขากระอักเลือดออกมา ร่างลอยถลาออกไปราวหนึ่งร้อยจั้ง

ปราณกระบี่ลอยกลับมา บดทำลายต้นไม้ตลอดแนว หุบเหวขนาดใหญ่บนพื้นดินถูกตัดขาด ครูดพื้นจนเป็นร่องลึกไม่เห็นก้น ดูประหนึ่งหุบเขาแคบ

หวงจี๋เฮ่าหยุดนิ่ง มองไปยังหานเจวี๋ยด้วยความหวาดผวา

นี่มันวิชากระบี่อันใดกัน

ไม่ใช่!

มันคือพลังวิเศษ!

“หวงจี๋เฮ่าผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือคงจะไม่กลับคำพูดใช่หรือไม่”

หานเจวี๋ยเงยหน้าขึ้น ถามด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

[หวงจี๋เฮ่าเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 4 ดาว]

หานเจวี๋ยกลับไม่ตื่นตระหนก สายตาจับจ้องไปที่หวงจี๋เฮ่า

ร่างของหวงจี๋เฮ่าสั่นเทาด้วยความโกรธ

เขาอยากจะฆ่าหานเจวี๋ยยิ่งนัก แต่เมื่อสักครู่เขาได้ลั่นวาจาอันยิ่งใหญ่ออกไป เขาไม่อาจกลืนน้ำลายตัวเองได้

อีกอย่าง ปราณกระบี่ของหานเจวี๋ยแข็งแกร่งจริงๆ ถึงอยากจะทุ่มสุดตัว เขาก็ไม่มีทางเอาชนะได้!

เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่”

“เจ้ามาหาข้า ยังถามอีกหรือว่าข้าเป็นใคร”

เมื่อหวงจี๋เฮ่าได้ยินดังนั้น ก็หัวเราะออกมาอย่างโกรธจัด

ผู้อาวุโสสังหารเทพแห่งสำนักหยกพิสุทธิ์!

คิดไว้แล้วเชียว!

ภายใต้ชื่อเสียงที่โด่งดัง กลับเป็นนักรบที่ถ่อมตัว

“หึ ถึงแม้ข้าเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่กลับมาสำนักหยกพิสุทธิ์อีก แต่รอเจ้าออกจากสำนักหยกพิสุทธิ์ก่อนเถิด ข้าจะกลับมาท้าประลองเจ้าอีกแน่!”

หลังจากทิ้งวาจานี้ไว้ หวงจี๋เฮ่าก็จากไป

หานเจวี๋ยยิ้มเยาะ ลอบคิดในใจว่า ‘รอข้าออกจากสำนักหยกพิสุทธิ์หรือ เจ้ารอไหวหรืออย่างไร’

เขาหมุนกายจากไป

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้อาวุโสสำนักหยกพิสุทธิ์เดินทางผ่านมาคนแล้วคนเล่า ต่างก็มองเห็นภาพร่องรอยตัดขาดของปราณกระบี่ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน

แต่พวกเขาก็คาดเดาได้ว่าหานเจวี๋ยเป็นคนลงมือ ไม่เช่นนั้นการต่อสู้คงไม่อาจยุติลง

หรือว่าจะมีศัตรูที่ทรงพลังโผล่มาโจมตีอีก?

……

หลังออกมาจากสำนักหยกพิสุทธิ์ หวงจี๋เฮ่ายืนอยู่บนกระบี่บิน รักษาบาดแผลขณะโกรธเคืองไม่หาย

“เจ้าบ้านั่นสมควรตาย กล้าดีอย่างไรมาล้อเล่นกับข้า!”

หวงจี๋เฮ่าโกรธจนแทบบ้า

หากหานเจวี๋ยเผยตัวตนมาตั้งแต่แรก มีหรือที่เขาจะประมาท

หากระมัดระวัง มีหรือที่เขาจะรับกระบี่นั่นไม่ได้

เอาเถิด! เขาก็รับไม่ได้จริงๆ!

แต่เขาไม่มีทางตกปากรับคำข้อตกลงนั่นอย่างง่ายดายแน่ๆ

เฮ้อ! สะเพร่าเกินไปแล้ว!

ในขณะที่หวงจี๋เฮ่ากำลังอารมณ์เสีย เงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นด้านหน้า ขวางทางเขาเอาไว้

“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงออกมาจากสำนักหยกพิสุทธิ์”

ผู้ที่มาเป็นผู้บำเพ็ญชายสวมชุดสีเขียวคราม รูปลักษณ์หล่อเหลาโดดเด่นมีเสน่ห์ ด้านหลังสะพายกล่องกระบี่ ภายในกล่องมีกระบี่อยู่สี่เล่ม

หวงจี๋เฮ่าอารมณ์เสียมาก แค่นเสียงพลางกล่าว “เกี่ยวอะไรกับเจ้า ไปให้พ้น!”

ผู้บำเพ็ญชุดเขียวหัวเราะ “กล้าหยาบคายกับข้าถึงเพียงนี้ เจ้าไม่กลัวตายหรือ”

“หึๆ อย่างเจ้านับเป็นอะไรได้”

“เช่นนั้นมาประลองกันสักตั้ง ดูว่าใครกันแน่ที่ไม่ได้เรื่อง!”

“รนหาที่ตาย!”

ตู้ม!

เมื่อกลับถึงถ้ำเทวาฟ้าประทาน

ทันทีที่หานเจวี๋ยนั่งลง ด้านหน้าก็ปรากฏตัวอักษรขึ้นสองแถว

[ท่านลอบจัดการหวงจี๋เฮ่าจนล่าถอย ได้รับสมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับสมบัติวิญญาณระดับหก–ระฆังเพลิงอัคคี]

[ระฆังเพลิงอัคคี: สมบัติวิญญาณป้องกันระดับหก สามารถต้านทานการโจมตีจากระดับสุญตาลงไป หลังจากถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปแล้ว ตัวระฆังจะมีหนักเพิ่มตามปริมาณพลังวิญญาณที่ถูกถ่ายทอด หนักเทียบเท่าภูเขายักษ์]

‘เอ๋ ของดีนี่!

คิดไม่ถึงว่าจะต้านทานการโจมตีของระดับสุญตาลงไปได้ทั้งหมด!

ข้าชอบ!’

หานเจวี๋ยหยิบระฆังเพลิงอัคคีออกมาอย่างปรีดา พลางพินิจพิจารณา

ตัวระฆังเป็นสีดำ เผยให้เห็นพลังปราณเก่าแก่แต่ชั่วร้าย

หานเจวี๋ยเริ่มหยดเลือดแสดงความเป็นเจ้าของทันที

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เขาพลิกดูระฆังเพลิงอัคคีไปมา

หลังจากตีตราเป็นเจ้าของแล้ว ระฆังเพลิงอัคคีเป็นเสมือนกับแขนขาของเขา เมื่อมีระฆังเพลิงอัคคีครอบร่าง เขาสัมผัสได้ถึงความปลอดภัยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

สวมใส่อาภรณ์เทพทมิฬจักจั่นทอง คลุมด้วยระฆังเพลิง มีทุกอย่างในหล้า!

หานเจวี๋ยลำพองใจถึงขีดสุด

เขาฝึกบำเพ็ญต่อทันที

เช้าวันรุ่งขึ้น

เซียนซีเสวียนมาหา

นี่เป็นครั้งแรกที่เซียนซีเสวียนเป็นฝ่ายมาหาหานเจวี๋ยก่อน

หานเจวี๋ยลุกขึ้นต้อนรับ

“เยวี่ยเอ๋อร์เคยพูดถึงศิษย์พี่กวนโยวกังของข้าให้เจ้าฟังแล้วใช่หรือไม่ เขากลับมาเมื่อวาน แต่กลับพบหวงจี๋เฮ่าอยู่ใกล้ๆ สำนักหยกพิสุทธิ์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส” เซียนซีเสวียนสาวเท้ามาด้านหน้าหานเจวี๋ย พร้อมกล่าวออกมาตรงๆ

หืม?

เจ้าคนที่ประกาศศักดาว่าจะขึ้นเป็นเจ้าสำนัก เพิ่งมาถึงก็กลับถ่วงแข้งถ่วงขาเสียแล้วหรือ

หานเจวี๋ยลอบคร่ำครวญอย่างอดไม่ได้

กล่าวกันตามตรง กวนโยวกังก็อ่อนแอเกินไปหน่อย

หวงจี๋เฮ่าถูกเขาโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้กลับยังสู้ไม่ไหว แล้วยังอยากจะผูกสัมพันธ์เป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับอาจารย์ของเขาอีกหรือ

…………………………………………………………