บทที่ 55 ท่านพ่ออยากได้เพชรนิลจินดาหรือไม่เพคะ
บทที่ 55 ท่านพ่ออยากได้เพชรนิลจินดาหรือไม่เพคะ
“เจ้ากำลังทำอะไร”
เขาปรายตามองเจ้าก้อนแป้งที่อาจหาญเหนือผู้ใดอย่างเฉยเมย
เสี่ยวเป่าอุ้มหีบไม้ใบเล็กของตนเองขึ้นมา พร้อมทวนประโยคเมื่อครู่อีกครั้ง
“ท่านพ่ออยากได้เพชรนิลจินดาหรือไม่อยากได้เพคะ~”
หนานกงสือเยวียนรับหีบมาด้วยมือเดียว เมื่อเปิดออกดู ก็พบว่าภายในเต็มไปด้วยไข่มุก และเพชรนิลจินดา
ทุกเม็ดล้วนถูกเช็ดถูจนสะอาดสะอ้าน เห็นได้ว่าเจ้าตัวเล็กชื่นชอบสิ่งเหล่านี้อย่างมาก
“เจ้ายกให้ข้าหรือ” หนานกงสือเยวียนเลิกคิ้ว เอ่ยอย่างจงใจ
เจ้าก้อนแป้งจิ้มนิ้วไปมา ท่าทางกระมิดกระเมี้ยน
“ไม่ใช่ ๆ เสี่ยวเป่ายกพลอยให้ท่านพ่อได้หนึ่งเม็ด แต่…แต่ที่เหลือขอแลกเปลี่ยนกับท่านพ่อได้หรือไม่”
หนานกงสือเยวียนถามอย่างใคร่รู้ “หืม เจ้าอยากแลกเปลี่ยนสิ่งใดกัน”
เสี่ยวเป่าตาเป็นประกาย เสียงอ่อนเยาว์นั้นกังวานใส “ตำลึงเงิน!”
“เจ้าต้องการตำลึงเงินไปเพื่ออันใด อยากซื้อสิ่งใดก็มาบอกก็พอ”
เสี่ยวเป่าสั่นศีรษะน้อย ๆ ไปมา “ไม่ได้อยากซื้ออะไร เสี่ยวเป่าต้องการเปลี่ยนเป็นตำลึงเงินให้ท่านพี่รอง ท่านพี่รองต้องเดินทางไปไกลแสนไกล ซ้ำยังอันตรายมาก ต้องมีตำลึงเงินไว้ใช้ซื้อของกิน จะปล่อยให้หิวโหยไม่ได้”
เจ้าตัวน้อยสาธยายยืดยาวด้วยเสียงนุ่มนวล แช่มช้าทว่าสื่อความหมายแจ่มแจ้ง
หนานกงสือเยวียนแปลกใจเล็กน้อยที่นางคิดได้ถึงขั้นนี้
ดวงตาของเขาทอประกายแย้มยิ้มอยู่แวบหนึ่ง ไม่คิดหยอกเจ้าเด็กคนนี้ต่อ “ฝูไห่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ไปนำตั๋วเงินจากคลังส่วนตัวของเรามาหนึ่งแสนตำลึง”
ฝูไห่รับคำเดินออกไป เสี่ยวเป่ายังคงนับนิ้วอยู่ว่าหนึ่งแสนนั้นเป็นจำนวนเท่าใด
แต่แล้ว คนด้อยความรู้อย่างนางก็ต้องถอดใจ นับทั้งสิบนิ้วแล้วยังนับไม่หมด!
แต่คงต้องเยอะมากแน่ ๆ…
เจ้าก้อนแป้งเท้าคางน้อย ๆ ของตน ส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มกว้าง ราวกับดีใจมาก
สายตาของหนานกงสือเยวียนถูกเจ้าตัวน้อยดึงดูดไปอย่างอดมิได้ รอยยิ้มนี้ช่างสดใสเหลือเกิน
“ดีใจขนาดนั้นเชียว?”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างมีความสุข “ใช่แล้ว~ ท่านพ่อของเสี่ยวเป่าดีที่สุดเลย”
เจ้าตัวนุ่มนิ่มเอ่ยชมท่านพ่อของตน กอดมือของบิดาพลางถูไถไปมาประหนึ่งแมวน้อย
“เสี่ยวเป่ามีความสุขจัง~”
หนานกงสือเยวียนยกยิ้มที่มุมปาก กระนั้นยังระงับอารมณ์ไว้ได้ เพียงแต่ใช้ฝ่ามือลูบผมฟูฟ่องของเจ้าตัวเล็กไว้
เมื่อฝูไห่กลับมาอีกครั้ง ในถาดที่ถืออยู่ก็มีตั๋วเงินวางอยู่ตั้งหนึ่ง
หนานกงสือเยวียนเอ่ย “รับไปสิ”
เสี่ยวเป่าเขย่งเท้า สายตาดูฉงนใจ “ท่านพ่อ เหตุใดถึงมิใช่เงินตำลึงใหญ่ ๆ สวย ๆ เล่า”
หนานกงสือเยวียนไม่อยากอธิบาย เรื่องนี้จึงต้องกลายเป็นหน้าที่ของฝูไห่แทน
“องค์หญิง เงินหนึ่งแสนตำลึงนั้นเยอะเกินไป ทั้งหนักด้วยพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อองค์ชายรองต้องเสด็จประพาส การพกตั๋วเงินติดตัวย่อมเป็นการดีที่สุด ตั๋วเงินเหล่านี้สามารถแลกเป็นตำลึงเงินได้ที่โรงแลกเงินใหญ่ ๆ ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เด็กน้อยพยักหน้าคล้ายจะเข้าใจ ขอเพียงท่านพี่ใช้ได้ก็พอ
“ท่านพ่อดีที่สุดเลย”
เจ้าก้อนแป้งกอดท่านพ่อของตนอย่างมีความสุข ถูไถไปมา ก่อนจะเก็บตั๋วเงินเข้าถุงเงินของตน แล้วกระโดดโลดเต้นออกไปอย่างสุขสันต์ประหนึ่งกระต่ายน้อย
หลังเสี่ยวเป่าจากไปแล้ว หนานกงสือเยวียนพลันมีสายตามืดมน
“อี๋เฟย กักบริเวณสำนึกความผิดหนึ่งเดือน”
หนึ่งเดือนให้หลังคือ วันออกเดินทางไปเมืองหน้าด่านขององค์ชายรอง
ตั้งแต่กลับจากตำหนักท่านพี่รอง เสี่ยวเป่าก็ไปตามหากระถางดอกไม้น้อยใหญ่ ดูแลเฉ่าเหมยของตนเองอย่างพิถีพิถันยิ่งขึ้นไปอีก
เมล็ดพันธุ์ดอกไม้ทั้งหลายที่เคยสั่งให้ไปหาก่อนหน้านี้ก็เจอทั้งหมดแล้ว เสี่ยวเป่าครุ่นคิดดูแล้วก็กั้นรั้วพื้นที่หนึ่งไว้เพื่อบ่มเพาะพันธุ์ดอกไม้เหล่านี้
แล้วจู่ ๆ นางก็ค้นพบว่า หน่อต้นข้าวที่นางได้โปรยลงไปนั้นสามารถย้ายไปปลูกในนาข้าวได้แล้ว
เสี่ยวเป่ากำลังกลัดกลุ้มเรื่องนี้อยู่พอดี
หรือต้องถอนรากบัวในสระบัวให้หมดแล้วปลูกต้นข้าวแทน แต่สระบัวน้อย ๆ นั่นดูไม่พอปลูกเท่าใด
เห็นเหมือนเมล็ดต้นข้าวที่นางนำกลับมาในครานั้นมีจำนวนไม่เท่าไหร่ ทว่าหลังโปรยลงไปแล้ว ต้นกล้าที่งอกออกมานั้นน่าดูชมทีเดียว
ความเขียวชอุ่มผึ่งผายนั้นดูนวลตาไม่หยอก
หนานกงสือเยวียนนั่งนานเกินไป จึงออกมาเดินเล่น แต่กลับเดินตรงมาหาลูกสาวเสียอย่างนั้น ทันทีที่เข้ามาก็เห็นเจ้าก้อนกำลังนั่งยอง ๆ อยู่เบื้องหน้าทุ่งต้นกล้า ใบหน้าเล็ก ๆ นั่นดูกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก
เขาก้าวเข้าไปไถ่ถามเสียงเรียบ “ทำอะไรอยู่”
เสี่ยวเป่าเงยใบหน้านวลเนียนขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ท่านพ่อ!”
หนานกงสือเยวียนพยักหน้า เบนสายตาไปที่ต้นกล้าซึ่งงอกออกมายาวกว่าฝ่ามือเขาเสียอีก
คล้ายว่านัยน์ตาของเขามืดลง
เจริญงอกงามได้ดีเกินไปแล้ว
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าอยากปลูกต้นข้าว!”
เจ้าตัวน้อยเล่าอุปสรรคที่กำลังประสบให้ท่านพ่อฟังด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว ในสระบัวมีดอกบัว รากบัวกินได้ เม็ดบัวก็กินได้ สรุปคือ หากต้องถอนคงน่าเสียดายเกินไป
มิหนำซ้ำ สระบัวนี้ยังมีขนาดเล็กเกินไป ปลูกต้นข้าวเหล่านี้ไม่หมด
หนานกงสือเยวียนจ้องมองต้นข้าวเหล่านั้น “เช่นนั้นย้ายไปปลูกในนาหลวงเสีย”
เสี่ยวเป่ากะพริบตา นาหลวงคือที่ใดกัน
วันรุ่งขึ้น หนานกงสือเยวียนเจียดเวลาทั้งวันเตรียมเสด็จออกจากวัง
ยามเสี่ยวเป่าทราบข่าว ก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้น
“จริงหรือท่านพ่อ พวกเรากำลังจะออกไปเที่ยวเล่นนอกวังหรือ”
หนานกงสือเยวียนบีบแก้มเล็กจ้ำม่ำของนาง
“หาใช่ออกเที่ยวเล่น”
เสี่ยวเป่าไม่สน อย่างไรนี่ก็คือการออกเที่ยวเล่น!
จากนั้น เด็กหญิงก็ดึงมือเขาไปพลางเอ่ยถามตาแป๋วว่ามีผู้ใดไปบ้าง
หนานกงสือเยวียนตอบเรียบ ๆ “ข้า เจ้า และบรรดาข้าราชบริพารพร้อมทั้งองครักษ์”
เสี่ยวเป่าเสนอด้วยตาลุกวาว “ท่านพ่อ เราพาพวกท่านพี่ไปด้วยดีหรือไม่!”
หนานกงสือเยวียนชะงัก หวนนึกไปว่าตนมิเคยพาบรรดาพระโอรสออกไปไหนจริง ๆ
“พาไปด้วย”
สิ้นพระสุรเสียง ก็มีคนไปรายงานเรื่องนี้กับเหล่าองค์ชายที่ห้องหนังสือหลวงทันที
จากนั้น ห้องหนังสือหลวงที่กำลังจริงจังกลายเป็นรังวานรในพริบตา
อาจารย์เห็นแล้วทนดูไม่ไหว คิดเพียงอยากไล่ลิงจ๋อเหล่านี้ออกไป
ต้นข้าวในลานเสี่ยวเป่าถูกดึงออกมา เก็บรักษาอย่างดี ทั้งยังมีขันทีคอยดูแลโดยเฉพาะ
หนนี้เป็นการนั่งรถม้าเช่นเดิม ทว่าเสี่ยวเป่าได้นั่งร่วมคันกับท่านพ่อ
รถม้าของท่านพ่อกว้างใหญ่สุดยอด เจ้าก้อนแป้งผู้ตื่นเต้นลืมไปเสียสนิทว่า คราวที่ตนเองนั่งรถม้ามาที่พระราชวังก่อนหน้านี้นั้นเกือบอาเจียนออกมา ซ้ำยังลอบสาบานว่าไม่ขอนั่งรถม้าไปอีกตลอดกาล
นางติดสอยห้อยตามท่านพ่อเป็นตังเม เจ้าก้อนแป้งถือชาหนึ่งถ้วย นั่งอยู่ตรงข้ามท่านพ่อ กระดิกขาป้อมไปมา พลางจิบชาไปอึกหนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวไปมาพลางเอ่ยชื่นชม
“ชาชั้นดี ชาชั้นดี…”
หนานกงสือเยวียนปรายตามองนางแวบหนึ่ง ดูออกว่าเจ้าตัวเล็กอารมณ์เบิกบานยิ่ง เส้นผมพลิ้วไหวอย่างเป็นธรรมชาติ
หลังออกจากพระราชวัง เสียงคึกคักด้านนอกค่อย ๆ ดังเข้ามา
เสี่ยวเป่าผู้นั่งเรียบร้อยในตอนแรก ชักคุมความใคร่รู้ของตนเองไม่อยู่ ลอบแง้มม่านหน้าต่างรถขึ้นมุมหนึ่ง
ดวงตากลมโตจดจ้องข้างนอกด้วยความตื่นเต้น แต่กลับถูกม้าใหญ่ตัวหนึ่งบดบังสายตา
นั่นคือองครักษ์ซึ่งมีหน้าที่คุ้มกันพวกเขาให้ปลอดภัย
เสี่ยวเป่าลอบชำเลืองท่านพ่อ เห็นเขามิได้ตำหนิอันใด จึงใจกล้าเลิกม่านกว้างขึ้น ชะโงกศีรษะกะจ้อยร่อยแสนน่ารักของตนออกไป
องครักษ์ที่เห็นนางพอดี “…”