ตอนที่ 32 ไหวพริบ
ในที่สุดซิ่งจู๋ก็เดินจากไปด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า[1]
นางรู้สึกว่าตัวเองชอบฮูหยินน้อยคนนี้มากทีเดียว ถึงขนาดคิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าตอนฮูหยินน้อยไปจวนเอินปั๋วควรจะปิดบังหูตาของคุณหนูอย่างไร แต่ฮูหยินน้อยคนนี้กลับมองไม่เห็นความหวังดี เป็นแม่ครัวได้เงินตั้งเดือนละสิบตำลึง แม้กระทั่งพ่อครัวหลวงในพระราชวังยังไม่ได้ค่าจ้างมากเท่านี้!
หากมิใช่เพราะจีเหล่าฮูหยินชอบขนมฝีมือนาง หากมิใช่เพราะคุณหนูใหญ่คว้าหัวใจของใต้เท้าหมิงซิวไม่ได้จนต้องเข้าทางจีเหล่าฮูหยิน แม่ครัวคนหนึ่งย่อมไม่มีทางได้ค่าจ้างงามเท่านี้!
เฉียวเวยมองแม่นางน้อยก้าวขึ้นรถม้าจากไปอย่างรวดเร็วจนแทบไม่ทันเห็นฝุ่น แล้วโคลงศีรษะอย่างจนปัญญา แม่นางน้อยมิใช่คนจิตใจไม่ดี ทว่าคนต่างความคิดมิอาจเดินร่วมทาง นางไม่อยากถูกจำกัดด้วยกฎเกณฑ์ของตระกูลใหญ่ เอะอะก็เอาแต่คุกเข่าก้มหัวให้เจ้านาย อ้าปากทีก็มีแต่คำว่านายบ่าว
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเข้าไปเป็นบ่าวไพร่ การเลี้ยงดูลูกจะกลายเป็นเรื่องลำบาก ลูกอายุน้อยเท่านี้ย่อมต้องพาไปไว้ข้างกาย จะให้ลูกๆ ของนางไปเป็นลิ่วล้อคอยรับใช้คุณชายน้อยคุณหนูน้อยในตระกูลใหญ่หรือไร
ตอนนี้ยังเช้าอยู่มาก เฉียวเวยจึงตัดสินใจเดินกลับหมู่บ้านโดยไม่เช่ารถม้า
ระยะทางสิบลี้ใช้เวลาเดินถึงครึ่งชั่วยาม ถือว่าแย่กว่าชาติก่อนของนางมาก ระยะทางเท่านี้ หากเป็นชาติที่แล้วนางคงวิ่งได้สบาย
ดีที่ออกเดินทางตั้งแต่เช้า แม้เสียเวลาเดินทางมากปานนั้นก็เพิ่งเที่ยงวัน เฉียวเวยแวะไปรับลูกที่บ้านของซิ่วไฉเฒ่า วันนี้ท่าทางของลูกสาวดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ร้องไห้งอแง แก้มแดงปลั่งดูสดใส ทันทีที่เห็นนางก็โถมตัวเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เฉียวเวยยังรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง แต่ก็ย่อกายลงไปกอดนางไว้ “วันนี้เป็นเด็กดีหรือไม่”
วั่งซูยิ้มตาหยีตอบว่า “เป็นเด็กดีเจ้าค่ะ!”
เฉียวเวยยิ้มละไม
ไม่นานนักลูกชายก็เดินออกมา ใบหน้าเล็กๆ ทำท่าทางจริงจังราวกับเป็นจอหงวนน้อย เฉียวเวยอดไม่ไหวหลุดหัวเราะ ลูบศีรษะลูกชายแผ่วเบาแล้วถามเขาว่า “ทำไมมีเพียงเจ้ากับน้องสาว แล้วคนอื่นเล่า”
จิ่งอวิ๋นตอบ “ท่านอาจารย์ยังไม่ให้ออกมาขอรับ”
“ทำไมหรือ” เฉียวเวยถามอย่างสงสัย
จิ่งอวิ๋นจึงตอบว่า “ท่านอาจารย์ให้ท่อง ‘คัมภีร์ตรีอักษร’ กับ ‘ตำราพันอักษร’ ที่ได้เรียนเมื่อวาน แล้วพวกเขาท่องไม่ได้ขอรับ”
สอนมากมายในคราวเดียว ใครที่ไหนจะจำได้เล่า ไม่ใช่ว่าเฉียวเวยไม่พอใจซิ่วไฉเฒ่า แต่เป็นเพราะเขาสอนมากเกินไปจริงๆ
อันที่จริงเฉียวเวยจะโทษซิ่วไฉเฒ่าก็ไม่ถูก เมื่อวานซิ่วไฉเฒ่าสอนเพียงบทสั้นๆ คือ
มนุษย์แต่กำเนิด บังเกิดสันดานดี
คล้ายคลึงแต่เดิมที ผิดแผกที่ประสบการณ์
มิสอนสั่งแล้วไซร้ นิสัยเปลี่ยนผัน
แนวทางสอนนั้น คือใจมั่นแน่วแน่
ส่วนตำราพันอักษรก็สอนเพียงสี่ตัวอักษรคือ ฟ้า สีคราม ดินและสีเหลือง แล้วขอเพียงจำให้ได้เท่านั้น ทว่าจิ่งอวิ๋นกลับเขียนได้แล้ว
อีกสองท่อนยาวๆ ที่จิ่งอวิ๋นท่องให้เฉียวเวยฟังล้วนเป็นเพียงเนื้อหาที่ซิ่วไฉเฒ่าเผลอท่องออกมา แต่จิ่งอวิ๋นฟังครั้งเดียวกลับจดจำได้
เขายังได้เรียนรู้สำนวนมากมาย
“ปัญญาทึบ!”
เถี่ยหนิวที่ถูกดุตอนท่องจำ
“ใจลอย!”
เอ้อร์โก่วจื่อถูกตำหนิเพราะนั่งเหม่อ
“เอาแต่เล่นเหลวไหล!”
น้องชายของเอ้อร์โก่วจื่อถูกต่อว่าเพราะว่าเล่นหน้าไม้
ใช้คำพูดแค่ไม่กี่คำก็ด่าคนได้ น่าสนใจจริงๆ
ในเวลานี้เฉียวเวยยังไม่ทราบว่าสาเหตุที่ลูกชายของตนนึกสนใจการเล่าเรียนเป็นเพราะใช้มาด่าคนได้สะดวกดี
…
ใกล้ถึงปีใหม่แล้ว ทุกครัวเรือนต่างงานยุ่ง เฉียวเวยก็เช่นกัน ก่อนอื่นนางพาลูกๆ มาทำความสะอาดเรือนครั้งใหญ่ จากนั้นเข้าเมืองไปซื้อข้าวของสำหรับฉลองวันตรุษ ขนมไม่ต้องพูดถึงต้องซื้อแน่อยู่แล้ว คำโคลงคู่ ภาพวาดมงคลและประทัดก็ซื้อมาบ้างอย่างละเล็กอย่างละน้อย
จิ่งอวิ๋นเป็นคนเลือกคำโคลงคู่ เพราะหลังจากร่ำเรียนกับอาจารย์มาสิบกว่าวัน เขาก็รู้จักตัวอักษรไม่น้อย
คำโคลงคู่ท่อนแรก มงคลเยี่ยมยลราบรื่นหมดสิ้นอุปสรรค
คำโคลงคู่ท่อนหลัง โชคลาภเยี่ยมเยือนหมื่นปรารถนาสมดั่งหวัง
คำโคลงคู่ด้านขวาง เงินทองไหลมาเทมา
นอกจากคำโคลงคู่แล้ว ยังมีภาพเทพเจ้าแห่งโชคลาภสำหรับวันตรุษอีกสองภาพติดไว้บนประตู สีแดงสดเข้ากับบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง ดูงามตายิ่งนัก
เฉียวเวยจุดเตาไฟ คลี่กระดาษสีแดงที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะ จากนั้นตัดกระดาษเป็นรูปมงคลด้วยกันกับเด็กๆ
สถานที่เช่นสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจะว่าอยู่ลำบากก็ลำบากอยู่บ้าง แต่เพราะมีผู้คนมากมายมาจากทั่วสารทิศจึงได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง การตัดกระดาษตกแต่งหน้าต่างก็เป็นหนึ่งในนั้น
นางตัดได้ทั้งภาพเกล็ดหิมะ ภาพตัวอักษรโชคลาภและภาพวาสนามาเยือน ภาพเกล็ดหิมะนับว่าตัดค่อนข้างง่าย พับครึ่งสองครั้ง วาดลวดลายและตัดตามรูปก็เสร็จแล้ว
จิ่งอวิ๋นเรียนรู้อย่างรวดเร็ว ตัดภาพเกล็ดหิมะครั้งที่สามก็ตัดได้อย่างสวยงามสมบูรณ์แบบ ส่วนวั่งซูวุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนวัน สิ้นเปลืองกระดาษกองโต สุดท้ายตัดออกมาไม่ได้แม้แต่ดอกไม้สักกลีบ
จิ่งอวิ๋นถอนหายใจอย่างจนปัญญา ฉวยโอกาสตอนมารดาทำอาหาร ยกส่วนที่ตัวเองตัดให้น้องสาว แล้วนำส่วนของน้องสาวมาตัดต่อ
เมื่อเฉียวเวยทำอาหารเสร็จแล้วกลับมาในห้อง นางก็พบว่าเบื้องหน้าลูกๆ ทั้งสองคนมีกระดาษตกแต่งอันวิจิตรงดงามวางอยู่กองโต “วั่งซูก็ทำได้แล้วหรือ”
วั่งซูพยักหน้าอย่างไม่รู้สึกเคอะเขิน แล้วยิ้มตาหยีตอบ “ท่านพี่สอนเจ้าค่ะ!”
จิ่งอวิ๋นกระแอมเบาๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร
เฉียวเวยคิดในใจ รู้สึกตงิดๆ เหมือนเจ้าตัวจ้อยสองคนนี้มีอะไรปิดบังข้าอยู่!
หลังจากกินข้าวเสร็จ เฉียวเวยก็พูดขึ้นขณะที่กำลังเก็บโต๊ะอาหาร “พรุ่งนี้เรียนวันสุดท้าย เรียนเสร็จพวกเจ้าก็จะได้หยุดพักแล้ว การบ้านที่อาจารย์สั่ง พวกเจ้าทำเสร็จแล้วหรือยัง”
เด็กๆ สั่นศีรษะ
เฉียวเวยรีบเอ่ยเร่งทั้งสองคน “รีบไปทำ แม่ล้างชามเอง ประเดี๋ยวต้องนำกระดาษตกแต่งไปให้ท่านยายกับท่านลุงอีก”
หลังจากที่เฉียวเวยเดินออกจากห้อง เด็กๆ ทั้งสองก็หยิบการบ้านออกมาทำ การบ้านที่ท่านอาจารย์สั่งคือการคัด ‘คัมภีร์ตรีอักษร’ โดยให้เขียนบนแผ่นไม้ไผ่ เมื่อคัดเสร็จนำไปล้างก็จะเก็บไว้ใช้ครั้งต่อไปได้
พี่น้องสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่บนเตียงเตา โดยมีโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ ตั้งอยู่ตรงกลาง จิ่งอวิ๋นบรรจงเขียนอย่างตั้งใจ
วั่งซูถือพู่กันอย่างงุ่มง่าม กระซิบเสียงเบา “ท่านพี่ ข้าทำไม่เป็น”
จิ่งอวิ๋นวางพู่กันลง ขยับอ้อมมานั่งข้างๆ นาง “ทำไม่เป็นตรงไหน ข้าจะสอนเจ้าเอง”
ทำไม่เป็นทุกตรงเลย
นางเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ แผ่นไม้ไผ่ก็บางแสนบาง เขียนไปไม่เท่าไรก็ตกร่องแล้ว อีกทั้งนางยังจำลำดับขีดไม่ได้ด้วย
เขียนอยู่นานก็เขียนไม่ได้เสียที นางน้ำตาจะไหลอยู่รอมร่อ
จิ่งอวิ๋นถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ใช้มือขวาเขียนการบ้านของตัวเองจนเสร็จก่อน จากนั้นเปลี่ยนมาใช้มือซ้ายช่วยเขียนการบ้านให้น้องสาวด้วย
เมื่อเฉียวเวยกลับเข้ามาในห้อง การบ้านสองชุดที่มีลายมือต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็วางอยู่บนโต๊ะอย่างเรียบร้อย
หลายวันมานี้เฉียวเวยขึ้นเขาเข้าป่าเป็นครั้งคราว แต่ไม่พบว่ามีผู้ใดมาซื้อสัตว์จากในกรงของนางอีก ดูท่าว่าผู้หลบเร้นบนเขาท่านนั้นคงกลับไปเฉลิมฉลองวันตรุษที่บ้านแล้วกระมัง
โรงน้ำชาหรงจี้ทำการค้าจนถึงวันตรุษเล็ก หลังจากนี้จะเปิดกิจการอีกครั้งในวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ระยะนี้ขนมของเฉียวเวยขายได้ไม่มากนัก แต่เมื่อรวมกับเงินที่ได้ทบเป็นรางวัลแล้วก็ได้หลายตำลึงอยู่ ดูท่าว่าโรงน้ำชาหรงจี้จะไม่ใช่โรงน้ำชาธรรมดา ลูกค้าที่มาใช้บริการมิใช่ชาวบ้านธรรมดาสามัญ
ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเฉียวเวย ขอเพียงนางได้เงินก็พอ ส่วนจะขายให้ใครนั้นล้วนไม่สำคัญ
วันนี้วันตรุษเล็ก โรงน้ำชาหรงจี้ปิดร้านแล้ว ที่ทำงานของลุงหลัวและลูกชายคนเล็กก็หยุดทำงาน ทั้งสองเร่งรุดเดินทางกลับหมู่บ้านตามกันมา
ลุงหลัวทำงานอยู่ในที่ว่าการอำเภอ เพราะอยู่ใกล้ เที่ยงวันก็มาถึง ส่วนหลัวหย่งเหนียนอยู่เมืองหลวง ตอนมาถึงบ้านก็เย็นย่ำแล้ว
ทันทีที่เขาเข้ามาในห้อง เขาก็เห็นกระดาษตกแต่งสีแดงสดติดอยู่บนผนัง มีรูปเกล็ดหิมะ รูปวานรเพราะปีนี้เป็นปีวอก และยังมีรูปต่างๆ ซึ่งมีความหมายว่าความสุขมาเยือน บรรยากาศอันรื่นเริงชวนให้รู้สึกราวกับเบื้องหน้าฉับพลันสว่างไสว
ต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กๆ เมื่อเลี้ยวเข้าไปในห้องก็เห็นตุ๊กตาหยกสลักตัวน้อยคู่หนึ่งนั่งอยู่บนเตียงเตาที่ปูด้วยฟูก เขาทำงานอยู่ในร้านค้าใหญ่ เคยพบเจอบุตรหลานของตระกูลใหญ่โตมามากมาย ทว่าไม่เคยเจอบุตรหลานของผู้ใดงดงามเท่านี้มาก่อน ดูราวกับเทพบุตรเทพธิดาในภาพวาดก็ไม่ปาน
ถัดจากตุ๊กตาก็คือหญิงสาวสวมเสื้อชายสั้นสีม่วงอ่อน หญิงสาวผู้นั้นนั่งหันข้าง เรือนร่างเพรียวระหง ผิวพรรณขาวผ่อง ใบหน้าด้านข้างดูงดงามอ่อนหวานยิ่งนัก
เหมือนนางจะรู้สึกตัวว่ามีใครกำลังมองตนเองอยู่จึงค่อยๆ ผินหน้ามา ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายแวววาวดุจน้ำพุใส
หลัวหย่งเหนียนตกอยู่ในห้วงภวังค์ไปชั่วขณะ
[1] เจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้า อุปมาว่า ไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของผู้ที่ตนหวังไว้