ตอนที่ 5-2 ซ้อมบิดาสารเลว
จีหมิงซิวเลิกเก็บตัวฝึกฝนแล้ว เฉียวเวยไปหาเขาที่ห้องหนังสือทันที จูเอ๋อร์เผ่นแผล็วเข้าไปในห้องของใต้เท้าจ้าสำนัก มันกระโดดขึ้นไปบนเตียง อวดสิ่งของที่ได้มาจากชัยชนะของตัวเองกับเสี่ยวไป๋! ส่วนฟู่เสวี่ยเยียนก็พาปิงเอ๋อร์กลับไปที่ห้อง
เฉียวเวยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ถูกหิมะตกใส่ จากนั้นจึงสวมเสื้อนวมตัวน้อยสีชมพูตัวหนึ่งเดินไปหยุดข้างกายจีหมิงซิวแล้วถามเขาว่า “เป็นเช่นไรบ้าง”
จีหมิงซิวอมยิ้มมองนาง “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
เฉียวเวยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็รู้ว่าน่าจะคาดหวังได้ ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับถามอย่างดีใจ “เลื่อนขั้นได้แล้วหรือ”
“อืม” จีหมิงซิวอารมณ์ดีไม่เลว เขาดึงนางมานั่งข้างเตาไฟ แล้วรินชาร้อนที่เพิ่งชงใหม่ๆ ถ้วยหนึ่งให้นาง “สัมผัสถึงปราการขั้นที่แปดได้เลือนรางแล้ว”
“หมายความว่า ขั้นแปดก็ใกล้บรรลุแล้วหรือ” เฉียวเวยยิ้มแย้มอย่างยินดีปรีดา “ใช้ได้เลยนี่ นายน้อยหมิง! คิดว่าวันนี้ท่านจะเลื่อนขั้นเป็นขั้นเจ็ดไม่ได้เสียอีกแหนะ!”
จีหมิงซิวบีบคางของนางพลางทำท่าทางเจ้าเล่ห์ “ดูถูกนายน้อยคนนี้ปานนั้นเชียว อยากถูกลงโทษใช่หรือไม่”
ใช่แล้ว ท่านลงโทษสิ
เฉียวเวยกดมุมปากที่ยกโค้งขึ้นมากลับลงไปพลางจิบน้ำชาคำหนึ่งอย่างเงียบๆ
จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ แต่สุดท้ายเขาก็คำนึงถึงเรื่องสำคัญก่อนจึงไม่หลงเถลไถลตามคำยั่วเย้า เขาถามถึงเหตุการณ์ตอนนางกับฟู่เสวี่ยเยียนออกไปข้างนอก
เฉียวเวยเล่าเรื่องที่พวกนางเร่งเรีบเดินทางไปถึงเรือนน้อยหลังหนึ่งเพื่อช่วยปิงเอ๋อร์ให้สามีของตนเองฟัง “…เจ้าหมอนั่น ดูแล้วคงไม่ใช่ตัวดีอะไร! มิน่ามารดาของฟู่เสวี่ยเยียนจึงมาฝากฝังปิงเอ๋อร์ไว้กับนาง หากข้าต้องมีบิดาเช่นนั้น ข้ายินดีตัดขาดกับเขาเสียดีกว่า!”
จีหมิงซิวหวนนึกถึงบิดาของตนเอง ฉับพลันก็รู้สึกว่าจีซั่งชิงเป็นบิดาที่ดีทีเดียว “เขาได้พูดอะไรบ้างหรือไม่”
เฉียวเวยส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ แต่เดิมข้าคิดจะตีเขาให้สลบแล้วเอาตัวกลับมาเค้นถาม แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนั่นจะใช้เล่ห์เหลี่ยมชั่วร้ายหนีไปได้!”
จีหมิงซิวหัวเราะอย่างดูแคลน “หนีไปก็ไม่เป็นไร เขาต้องพิษแล้วไม่ใช่หรือ คิดว่าเขาคงหนีไปไม่ไกล ปิดเมืองเยี่ยเหลียงเสียก็จับตะพาบเข้าไหได้แล้ว”
เฉียวเวยพยักหน้า “ความคิดนี้ยอดเยี่ยม!”
ทว่าพอนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ จีหมิงซิวก็เอ่ยว่า “ระหว่างที่เจ้าออกไปข้างนอก ไห่สือซานส่งข่าวกลับมาแล้ว”
“เรื่องลัทธิศักดิ์สิทธิ์หรือ” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวตอบว่า “ใช่”
เฉียวเวยถามอย่างประหลาดใจ “พวกเขาคงลักลอบเข้าไปในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่เร็วไวปานนี้กระมัง”
จีหมิงซิวหัวเราะ “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เฝ้าระวังเข้มงวดนัก พวกเขาลอบปะปนเข้าไปไม่ได้ จึงได้แต่สืบข่าวอยู่ในเมืองเท่านั้น”
เฉียวเวยขานอ้อตอบคำหนึ่ง เป็นสัญญาณให้จีหมิงซิวเล่าต่อ
หนนี้ไห่สือซานเข้าไปในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ ข่าวที่สืบมาได้จึงเป็นข่าวที่ประชาชนผู้อาศัยอยู่ในเมืองรู้กัน ตัวอย่างเช่นที่ตั้งของลัทธิศักดิ์สิทธิ์คือปราสาทเก่าแก่แห่งหนึ่งในเมืองอวิ๋นจง มันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนธรรมดาเข้าใกล้ไม่ได้ แล้วก็ตัวอย่างเช่นแต่ละปีลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะประกาศรับศิษย์จากทั่วทั้งเมือง ผู้ที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมจะได้เข้าไปเป็นศิษย์ใน แต่ส่วนใหญ่จะหยุดอยู่แค่ระดับศิษย์นอก
เฉียวเวยลูบคาง “เรื่องนี้ก็เหมือนสำนักปกติทั่วไปในยุทธภพ มีอย่างอื่นอีกหรือไม่”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
จีหมิงซิวเห็นนางทำท่าอดใจรอไม่ไหวก็หัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ “แล้วก็มีเรื่องเกี่ยวกับคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์อีกเล็กน้อย ในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่มีตำแหน่งสูงที่สุดคือเจ้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์ รองลงมาคือผู้พิทักษ์ ถัดลงมาอีกคือหัวหน้าผู้ดูแลกับผู้ดูแล แน่นอนว่าตำแหน่งเหล่านี้คือพวกที่มีตัวตนอยู่ในฉากหน้า เบื้องหลังมียอดฝีมืออีกหรือไม่ก็ไม่อาจบอกได้แล้ว”
เฉียวเวยนึกถึงยอดฝีมือที่เกือบจะต่อสู้เสมอกับราชันอสูรเมื่อวันนั้น ไม่รู้ว่าเขามีตำแหน่งอะไรในลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แล้วยังมีฮองเฮากับบิดาของปิงเอ๋อร์อีก “ท่านว่า…คนเหล่านี้ที่พวกเราเคยพบมาจะมีตำแหน่งอะไรในลัทธิศักดิ์สิทธิ์บ้าง”
จีหมิงซิวตอบ “เรื่องนี้ เกรงว่าต้องดูป้ายหยกของพวกเขา”
“ป้ายหยกอะไรหรือ” เฉียวเวยถามอย่างไม่เข้าใจ
จีหมิงซิวอธิบายว่า “ป้ายหยกหรือเรียกอีกอย่างว่าป้ายชีวิต เป็นสิ่งที่คล้ายกับป้ายคำสั่งเฉพาะตัวของแต่ละจวน บนนั้นสลักฐานะกับลำดับขั้นของแต่ละคนเอาไว้ ป้ายหยกแต่ละชิ้นจะซ่อนกู่ผูกชีวิตที่ใช้โลหิตของเจ้าตัวเลี้ยงเอาไว้อยู่ กู่ผูกชีวิตแต่เดิมอยู่กันเป็นคู่ พวกเขาจะพกตัวหนึ่งไว้กับตัวเอง ส่วนอีกตัวหนึ่งเก็บไว้ในลัทธิ ให้คนที่มีหน้าที่เฉพาะเฝ้าไว้ เอกลักษณ์ของแมลงกู่ชนิดนี้ก็คือเมื่อแมลงกู่ตัวหนึ่งตาย อีกตัวหนึ่งก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อโดยลำพัง เมื่อลัทธิศักดิ์สิทธิ์พบว่ากู่ผูกชีวิตของใครตายลง ก็จะทราบว่าเกิดเรื่องกับเจ้าของของมันแล้ว”
เฉียวเวยเข้าใจแล้ว “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ป้ายหยกหน้าตาเป็นเช่นไรเล่า”
จีหมิงซิวกำลังจะหยิบภาพที่ไห่สือซานวาดให้เขาออกมาให้เฉียวเวยดู นอกห้องก็มีเสียงกรีดร้องของจูเอ๋อร์ดังขึ้น
จูเอ๋อร์ผลักประตูห้องเต็มแรง มันวิ่งฉิวเข้ามาซุกในอ้อมแขนของเฉียวเวย เสี่ยวไป๋พุ่งเข้ามาจากนอกประตูด้วยท่าทางดุร้าย
เฉียวเวยเห็นสภาพเช่นนี้ ไหนเลยจะยังไม่เข้าใจอีก นางตบก้นแดงระเรื่อของจูเอ๋อร์ “เจ้าไปหาเรื่องมันอีกแล้วใช่หรือไม่”
ยามนี้เสี่ยวไป๋ต้องทำตัวเป็นเด็กดีออกไปข้างนอกไม่ได้ แต่จูเอ๋อร์กลับร้ายมาก ไม่เพียงออกไปข้างทุกวัน แต่ยังเอาของใหม่ๆ ของตนเองกลับมาโอ้อวดเสี่ยวไป๋อีก เสี่ยวไป๋ไม่กัดมันถึงจะแปลก
จูเอ๋อร์ทำท่าทางน่าสงสาร มือเล็กสีดำกุมหน้าอก กำลังจะเล่นละครเป็นเมิ่งเจียงหนี่ว์ร่ำไห้ริมกำแพงเมืองจีน[1] เฉียวเวยก็ปิดปากของมันเสียก่อน
จูเอ๋อร์ร้องไห้ไม่ได้แล้ว
เสี่ยวไป๋นั่งอยู่ตรงประตูอย่างมาดร้าย
จูเอ๋อร์เกาะคอเฉียวเวยแน่นไม่ยอมปล่อย
เฉียวเวยจิ๊ปากออกมาทีหนึ่ง “เอาล่ะๆ ส่งของมาเสีย ไม่อย่างนั้นมันกัดเจ้าแน่”
จูเอ๋อร์ไม่ให้
เฉียวเวยจิ้มหัวเล็กๆ ของจูเอ๋อร์แล้วบอกว่า “ไม่ละโมบเลยนะเจ้า! ข้าแค่จะเก็บรักษาไว้ให้เจ้าเท่านั้น หลังจากนี้เจ้าต้องการเมื่อใด ข้าค่อยคืนให้”
หลังจากจูเอ๋อร์เหลือบมองเสี่ยวไป๋ที่อยากจะกัดตนใจจะขาดแล้วอ้าปากเถียงอีกสองสามหน ในที่สุดมันก็ยอมส่งของที่ได้มาวันนี้ให้แต่โดยดี
เด็กดี มีของไม่น้อยเลยจริงๆ ทองคำเหลืองอร่ามเงินขาววาววับ มิน่าเสี่ยวไป๋ถึงอิจฉา
เฉียวเวยตบหัวของมันเบาๆ “บอกเจ้าตั้งกี่หนแล้วว่าอย่าหยิบฉวยของมามั่วซั่วอีก อยากถูกจับขังห้องมืดอีกใช่หรือไม่ หากเจ้าขโมยของส่งเดชอีก ระวังข้า…”
“เสี่ยวเวย” จีหมิงซิวหยิบป้ายหยกทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดสลักลายที่จูเอ๋อร์ฉกมาขึ้นมาพินิจดูอย่างถี่ถ้วนแล้วบอกว่า “ป้ายหยกของลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
เฉียวเวยกะพริบตา “อะไรนะ”
นัยน์ตาของจีหมิงซิวคล้ายมีรอยยิ้มเลือนรางพาดผ่าน “ป้ายหยกของบิดาปิงเอ๋อร์ ที่แท้บิดาของนางก็เป็นผู้ดูแลของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ เป็นคนมีตำแหน่งคนหนึ่งเสียด้วย ป้ายหยกแผ่นนี้มีมูลค่าไม่เบา หากมีมันอยู่ พวกเราก็ไปลัทธิศักดิ์สิทธิ์กันได้แล้ว”
เสียงลมที่พัดดังอื้ออึงในห้องแปรเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา
จูเอ๋อร์ที่เดิมทีเตรียมตัวจะใช้กระบวนท่าร้องห่มร้องไห้ จู่ๆ ก็ยืดร่างกายเล็กจ้อยของตนเองขึ้นมา มันกรีดนิ้วดูคล้ายกล้วยไม้ดอกน้อย แล้วยกมือขึ้นจัดบุปผาสีแดงสดสวยที่ไม่มีอยู่จริงบนหัว ก่อนจะกระโดดลงไปที่พื้นอย่างเชื่องช้า คางเล็กๆ เชิดขึ้น ฝ่ามือข้างหนึ่งถือร่มกระดาษน้ำมันคันน้อยที่ไม่มีอยู่จริง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับชายกระโปรงตัวน้อยที่มีอยู่แต่ในจินตนาการ เดินกรีดกรายผ่านหน้าเสี่ยวไป๋ไปอย่างสง่างาม
[1]เมิ่งเจียงหนี่ว์ร่ำไห้ริมกำแพงเมืองจีน นิทานเรื่องหนึ่งของจีน เนื้อเรื่องมีอยู่ว่ามีหญิงสาวนางหนึ่งนามว่าเมิ่งเจียงหนี่ว์ สามีที่เพิ่งแต่งงานกันของนางถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานสร้างกำแพงเมืองจีน หลังจากไปสามีไม่ส่งข่าวคราวกลับมาที่บ้านแม้แต่น้อย จนกระทั่งฤดูหนาวมาเยือน เมิ่งเจียงหนี่ว์เป็นห่วงสามีมากจึงออกเดินทางไกลนับพันหมื่นลี้เพื่อตามหาเขาจนมาถึงตีนกำแพงเมืองจีน แต่แล้วนางก็ได้ยินว่าสามีถูกใช้แรงงานหนักจนตายจากไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าศพถูกฝังอยู่ที่ใด เมิ่งเจียงหนี่ว์ร่ำไห้อยู่ที่ตีนกำแพงด้วยความเจ็บปวด จนกำแพงถล่มลงมายาวถึงแปดร้อยลี้ โครงกระดูกของสามีปรากฏออกมาให้เห็น
***************************************