ตอนที่ 309 – วิชาฝึกตน
โลกฝึกเซียนไม่ได้มีพิธีแต่งงานของโลกปุถุชน พวกเขาเรียกมันว่าพิธีฝึกตนร่วมสัมพันธ์
พิธีฝึกตนร่วมสัมพันธ์หมายความว่าบุรุษสตรีทั้งสองฝ่ายผูกพันกันเป็นคู่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์ นี่ฟังดูเหมือนยุติธรรมมาก แต่อย่างที่ฉินซีบอก มันเป็นความหมายที่เย็นชาจนหนาวเหน็บเลย
การฝึกตนร่วมสัมพันธ์ยังคงเป็นการกระทำเพื่อการฝึกตน ดังนั้นอันดับแรกสุดจะเป็นการวัดคุณค่าของผู้ฝึกตนด้านระดับการฝึกตนและคุณสมบัติเสมอ…… พวกเขาน้อยมากจะฝึกตนร่วมสัมพันธ์เพื่อความรัก ส่วนมากจะเพื่อการฝึกตน ดังนั้นคู่ฝึกตนร่วมสัมพันธ์ส่วนใหญ่จึงไม่ได้ทำสาบานเลือดกันเลย ถึงขนาดที่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ คู่สามีภรรยาก็จะหักหลังกันเอง
อีกอย่าง อย่านึกว่าไม่เรียกพิธีแต่งงานแล้วจะไม่มีธรรมเนียม พวกเขาก็คุยกันเรื่องสินเดิมเรื่องสินสอด เพียงแต่พวกนี้ล้วนเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณสมบัติวิญญาณโอสถเท่านั้น ถ้าหากเป็นสกุลฝึกเซียนสองสกุลเกี่ยวดองดัน นั่นยิ่งยุ่งวุ่นวาย ต่อรองกันขึ้นมาไม่แพ้ปุถุชนพวกนั้นเป็นอันขาด
บางคราโม่เทียนเกอก็จะคิดถึงเหยาจื่อซิวกับซางหรูหว่าน ถึงพวกเขาจะเป็นผู้ฝึกตน เรื่องการแต่งงานกลับซับซ้อนยิ่งว่าปุถุชนเสียอีก
แน่นอนว่าอย่างโม่เทียนเกอกับฉินซีที่ไม่มีวงศ์ตระกูลแล้วยังมีซือฟุร่วมกันนั้นเรียบง่ายมาก ๆ
แต่ไม่ว่าจะเรียบง่ายอย่างไร ส่วนลึกในใจของโม่เทียนเกอยังต่อต้านพิธีฝึกตนร่วมสัมพันธ์ที่เรียกกันนี้อยู่บ้าง
นางรู้ว่าถึงนางกับฉินซีจะมีชื่อเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง ปัจจุบันนี้ก็เป็นผู้ฝึกตนระดับชั้นเดียวกันด้วย แต่ความห่างชั้นกลับไม่ใช่เล็กน้อย ผู้ฝึกตนที่ก่อเกิดตานเต็มชั้นและมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าหลังจากกักตนหนึ่งครั้งก็จะเลื่อนระดับเป็นจิตวิญญาณใหม่ กับผู้ฝึกตนที่เพิ่งจะก่อเกิดตาน ความหมายที่มีต่อสำนักไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง คนแรกอาจจะขึ้นเป็นจิตวิญญาณในทันที กลายเป็นเสาหลักของสำนัก คนหลังยังต้องพึ่งพาสำนักอาจารย์
แน่นอนว่านางเชื่อมั่นว่าตนเองจะมีวันที่ได้ผูกจิตวิญญาณแน่ ๆ แต่ขณะนี้น่ะหรือ ถ้าหากกลับไปกราบเรียนซือฟุจริง ๆ จัดพิธีฝึกตนร่วมสัมพันธ์ นางกับฉินซีก็จะกลายเป็นหัวข้อพุดคุยของศิษย์ร่วมโรงเรียนหรือแม้แต่คนนอก พูดคุยถึงความห่างชั้นของพวกเขา พูดคุยถึงผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้นของพวกเขา
นางไม่ได้ใส่ใจสายตาของคนอื่นเลย แต่ไม่ชอบความรู้สึกที่ถูกคนประเมินตัดสินอย่างนี้
ดังนั้น เขาพูดว่ามาจัดพิธีแต่งงานของคนสองคนกันเถอะ ในใจนางดีใจมากจริง ๆ
ไม่มีชุดแต่งงาน ทั้งสองคนก็หาชุดแดงจากในกระเป๋าเอกภพพวกนั้นที่หยิบมาจากภูเขามาร แก้ไขใช้ต่างชุดแต่งงาน ไม่มีเทียนแดง เอาศิลาเพลิงประกายที่ใช้หลอมอุปกรณ์ต่างเทียนแดง ไม่มีแขกเหรื่อ หุ่นเชิดหินสลักสองตัวร่วมพิธีอยู่ด้านข้าง ไม่มีผู้ทำพิธี เสี่ยวหั่วกับเฟยเฟยล้วนเป็นสักขีพยาน
ฟ้าดินเป็นพยาน ตะวันจันทราเป็นแม่สื่อ อาจารย์อยู่ข้างบน คารวะจากที่ห่างไกล ผูกพันเป็นสามีภรรยาแต่บัดนี้
จากนั้นทำสาบานเลือด แลกเปลี่ยนเลือดสกัด ในท่านมีข้า ในข้ามีท่าน
หลังพิธีแต่งงาน ทั้งสองคนนั่งอยู่ในป่าไผ่ข้างลำธาร โนโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนไม่มีการโคจรของตะวันจันทรา ฉินซีเกิดความคิดขึ้นมา ให้นางใช้ศาสตร์เวทฉีกท้องฟ้าของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ภูเขามารภายนอกยังคงฟ้ามืดดินดำ ปราณมารผสมผสาน ดูไปเช่นนี้เหมือนกับว่ารัตติกาลมาเยือนโดยเฉพาะฟ้าแลบฟ้าผ่าภายนอก มองดูข้างนอกข้างใน ทิวทัศน์แตกต่างกัน
ทั้งสองคนนั่งอยู่เนิ่นนาน ฉินซีถอนหายใจเอ่ยว่า “ดูท่าทางพวกเราอย่างน้อยที่สุดยังต้องติดอยู่ที่นี่กว่าสองสามปี”
อันนี้โม่เทียนเกอเตรียมใจเอาไว้แต่แรกแล้ว พวกเขาติดอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้ว แรกเริ่มแผ่นดินสั่นไหวภูเขาสะเทือน ถึงตอนนี้ยังคงมีกำแพงอาคมปะทุขึ้นมาเป็นครั้งคราว สองสามปีเป็นการประมาณการณ์อย่างต่ำแล้ว หากกำแพงอาคมไม่เสถียรตลอด เป็นไปได้ว่ายังจะต้องสิบปีขึ้นไป
สิบปีขึ้นไป เกรงแต่ว่าคนข้างนอกล้วนนึกว่าพวกเขาตายแล้วสินะ สมมติว่าซือฟุยังอยู่ มีตะเกียงจิตวิญญาณขั้นต้นคู่ชีพอยู่ในมือ ย่อมจะรู้ว่าพวกเขายังมีชีวิต แต่ถ้าซือฟุไม่ได้หนีออกไป……
คิดถึงตรงนี้ โม่เทียนเกออดกังวลใจมิได้ “ก็ไม่รู้ว่าซือฟุหนีออกไปได้รึเปล่า……”
ฉินซียิ้ม โอบรอบเอวนาง เอ่ยว่า “ไม่ต้องกังวลจนเกินไป อย่าได้เห็นว่าซือฟุในยามปกติเอื่อยเฉื่อยอยู่เสมอ ยามหนีเอาชีวิตรอดเร็วยิ่งกว่าใคร ๆ อีกอย่าง ซือฟุมีชีวิตมาจะพันปีแล้ว เรื่องที่เคยพบเห็น อันตรายที่เคยพานพบ มากกว่าพวกเรามากนัก จะไม่ล้มลงที่ตรงนี้อย่างง่ายดายขนาดนั้นหรอก”
“อืม” โม่เทียนเกอยอมรับคำพูดของเขา ความสามารถของซือฟุนางก็รู้อยู่ ดังนั้นถึงจะกังวลแต่ยังเชื่อว่าซือฟุจะต้องสามารถหนีออกไปได้แน่นอน คนที่ทำให้นางรู้สึกไม่วางใจที่สุดกลับเป็นเจินจี
คิดอยู่ชั่วครู่ โม่เทียนเกอถามว่า “ท่านได้เก็บเลือดสกัดของเจินจีไว้หรือไม่”
ฉินซีส่ายหน้า “เขายังเป็นเพียงสร้างฐานพลัง ตามปกติแล้วต้องถึงก่อเกิดตานจึงจะทิ้งตะเกียงจิตวิญญาณขั้นต้นเอาไว้……”
จุดนี้โม่เทียนเกอก็รู้ เพียงแค่ถามความหวังในใจออกไปหน่อย
“ตอนที่พวกเราเข้าภูเขามาร เจินจีหายตัวไปหลายปีมากแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้กลับไปหรือยัง……”
ปัญหานี้ ฉินซีแก้ไม่ได้เหมือนกัน เยี่ยเจินจีเป็นศิษย์ของเขา ถึงจะไม่ใช่คนที่เขาเลี้ยงมาแต่เล็กจนโต แต่พอสร้างฐานพลังก็ติดตามเขา เขารู้ว่าเจินจีขาดประสบการณ์ การกระทำเหมือนเด็ก ดังนั้นตอนที่อยากออกไปฝึกฝนภายนอก เขาเห็นด้วยอย่างยิ่งยวด แต่เจินจีถึงอย่างไรก็มีระดับการฝึกตนต่ำ ประสบการณ์ยังจะไม่เพียงพออีก ตอนที่อันตรายจะสามารถเปลี่ยนจากร้ายเป็นดีได้หรือไม่ ยากจะบอกได้จริง ๆ
สุดท้ายฉินซีเอ่ยว่า “นอกจากซือฟุ เจินจีนับเป็นคนที่ใกล้ชิดพวกเราที่สุด หากเขาเกิดเรื่อง พวกเราน่าจะสัมผัสได้จึงจะถูก แต่พวกเราสัมผัสไม่ได้มาตลอด เขาน่าจะไร้เรื่องราวจึงจะถูก”
“อืม……” โม่เทียนเกอรู้ว่าคำพูดนี้เป็นเพียงการปลอบโยน การที่ผู้ฝึกตนสัมผัสถึงชะตาฟ้าเป็นการอาศัยดวงทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเรื่องราวทุกอย่างล้วนสามารถสัมผัสได้ แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พวกเขาไม่มีสัมผัสทางร้ายก็เป็นเรื่องดีเสมอ เรื่องราวบางอย่างไร้กำลังความสามารถก็ได้แต่แล้วแต่สวรรค์จะลิขิตชะตา
เห็นนางจิตใจหนักอึ้ง ฉินซีรวบนางเข้าสู่อ้อมอกตนเอง จู่ ๆ ก้มหน้าลงเอ่ยข้างหูนางว่า “เรื่องราวเหล่านี้กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สู้ พวกเรามาคิดว่าตอนนี้จะทำอะไรกันเถอะ”
“ทำอะไร” โม่เทียนเกอคิด ๆ แล้วเอ่ยว่า “หลอมยา ฝึกตน ศึกษาวิชาเวท……”
“ไม่ใช่อันนี้” ฉินซียิ้ม “นอกจากพวกนี้ หรือว่าพวกเราไม่มีเรื่องอื่นให้ทำแล้ว?”
จากในแววตาของเขา โม่เทียนเกอจู่ ๆ ก็ตระหนักอะไรขึ้นมา หุบปากไม่พูดไม่จาทันควัน
เห็นปฏิกิริยาของนาง ฉินซีอดยิ้มไม่ได้ “เจ้าไม่ต้องรู้สึกไม่ปลอดภัย พวกเราอยู่ร่วมกันไม่ใช่ว่าเพื่อฝึกตนร่วมสัมพันธ์หรือว่าอะไร หากเจ้าไม่คิด เช่นนั้นก็ภายหลังค่อยว่ากัน”
“ข้า……” โม่เทียนเกอลังเลชั่วขณะ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว ยังจะมีอะไรเต็มใจไม่เต็มใจอีก……”
ได้ยินดังนี้ ฉินซียินดีในใจ เอื้อมมือไปกอดนาง “พูดอย่างนี้ เจ้า……”
“เดี๋ยวก่อน” โม่เทียนเกอเงยหน้าขึ้น หยุดการกระทำของเขา ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อยู่บ้าง “แต่ว่า คำพูดยังพูดไม่ชัดเจนเลยนะ!”
“หืม?” ฉินซีตะลึงไป ไม่เข้าใจ “ต้องพูดอะไร”
“เรื่องที่ต้องพูดเยอะแยะ อย่างเช่นว่า วิชาเวทฝึกตนของท่านสรุปว่าคืออะไร วิชาเวทฝึกตนร่วมสัมพันธ์ที่ท่านพูดเป็นเรื่องอย่างไร สรุปแล้วท่านยังมีความลับมากน้อยเท่าไหร่”
“……”
เห็นเขาไม่พูดจา โม่เทียนเกอก็ถลึงตาใส่เขา “ทำไม บอกข้าไม่ได้?”
“…… ก็ได้” ฉินซีจนใจ “แต่ว่า ถึงข้าจะมีความลับอยู่บ้าง เจ้าก็คงจะรู้หมดแล้ว”
“อย่างเช่น?”
“อย่างเช่นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายข้า วิชาเวทของข้า ลูกประคำวิญญาณพลังหยางของข้า…… พวกนี้เจ้ามิใช่ล้วนทราบหรอกหรือ” ลูกประคำวิญญาณพลังหยางในร่างเป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดของเขา ความลับนี้โม่เทียนเกอกลับรู้มาแต่แรก
โม่เทียนเกอคิดดู รู้สึกว่าที่เขาพูดก็ไม่ผิด ความลับของลูกประคำวิญญาณพลังหยางนางเดาออกแต่แรก ภายหลังซือฟุยังเคยบอกนางเป็นพิเศษว่าสิ่งของนี้เป็นเรื่องอย่างไร
“เรื่องของวิชาเวทฝึกตนร่วมสัมพันธ์ที่ท่านพูดครั้งที่แล้วล่ะ อันนี้ต้องอธิบายกับข้าให้ชัดเจนจริงไหม”
เรื่องนี้ฉินซีแสร้างทำเป็นลึกลับมาตลอด บอกนางว่าถึงเวลาก็จะรู้ ตอนนี้ทั้งสองคนผูกพันเป็นสามีภรรยากันแล้ว ควรจะถึงเวลาแล้วสินะ?
ฉินซียิ้ม ครั้งนี้ไม่ได้หลบเลี่ยงอีก ถามนางกลับว่า “เจ้ามีศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ใช่หรือไม่”
โม่เทียนเกอพยักหน้า เรื่องนี้ซือฟุกับเขาล้วนทราบ
ฉินซีล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเอกภพ หยิบเครื่องรางหยกหนึ่งชิ้นออกมา ยื่นให้นาง “ดูนี่”
โม่เทียนเกอมองเขาอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก รับเครื่องรางหยกนั้นมา ถ่ายทอดจิตหยั่งรู้ ตื่นตะลึงขึ้นมาทันใด “นี่คือ……”
ฉินซียิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “วิชาฝึกตนร่วมสัมพันธ์อินหยางที่ผู้อาวุโสหยวนเป่าท่านนั้นให้ข้า”
วิชาเวทนี้ประกอบด้วยสามส่วน ส่วนที่หนึ่งคือศาสตร์หยางบริสุทธิ์ ส่วนที่สองกลับเป็นศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ ส่วนที่สามจึงเป็นวิชาฝึกตนร่วมสัมพันธ์อินหยาง
โม่เทียนเกอตรวจดูอย่างละเอียด ศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์ของตนเองกับศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์บนวิชาเวทนี้แทบจะเป็นอย่างเดียวกัน มีเพียงการปรับเปลี่ยนเล็ก ๆ นิดหน่อย นางใคร่ครวญดู ฉบับนั้นของตนเองอาจจะเป็นโม่เหยาชิงปรับแก้ตามสถานการณ์ในการฝึกตน หรืออาจจะเป็นวิชาเวทฉบับที่โม่เหยาชิงได้รับมาจากสำนัก เดิมทีเป็นคนละแบบฉบับกับฉบับของหยวนเป่า
เห็นสิ่งนี้ โม่เทียนเกอทั้งยินดีและกังวล ที่ยินดีคือ การฝึกตนร่วมสัมพันธ์ของผู้ที่มีร่างหยางร่างอินบริสุทธิ์ ความเร็วในการฝึกตนจะเร็วยิ่ง นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ยอมรับกันโดยทั่วไป มีวิชาฝึกตนร่วมสัมพันธ์อินหยางนี้ สำหรับพวกเขาแล้วเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งยวด ที่กังวลคือนางกลับมิใช่ร่างอินบริสุทธิ์อย่างเดียว ถึงขนาดที่พูดได้ว่า รากวิญญาณต้นกำเนิดของนางเทียบกับร่างอินบริสุทธิ์แล้วมีคุณสมบัติที่ส่งผลกระทบมากยิ่งกว่า สมมติว่าละทิ้งศาสตร์แห่งต้นกำเนิดมาฝึกวิชาฝึกตนร่วมสัมพันธ์อินหยางนี้เป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะได้ไม่คุ้มเสีย
เห็นนางขมวดคิ้วแนบแน่น สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง ฉินซีถามว่า “ทำไมหรือ”
โม่เทียนเกอถอนหายใจ บอกความคิดของตนเองไปตามความสัตย์
ฉินซีฟังแล้วยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าโง่หรือไร ใครบอกว่าเพียงสามารถฝึกวิชาเวทอย่างเดียวเล่า ข้าจำได้ว่าในมือเจ้าก็มีศาสตร์แห่งต้นกำเนิดฉบับนั้นที่บรรพบุรุษเจ้ามอบให้ใช่หรือไม่ วิชาเวทที่เจ้าฝึกตนในตอนนี้เป็นการรวมกันจากสองกลายเป็นหนึ่ง เช่นนี้ย่อมมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่หากแยกกันฝึกตนก็ไม่ใช่จะแย่มากมาย”
โม่เทียนเกอตระหนักรู้ขึ้นมาทันใด “จริงด้วย ข้าลืมได้อย่างไร!” ศาสตร์ซู่หนี่ต้นกำเนิดคือวิชาเวทที่รวมบันทึกไท่หยวนและศาสตร์แห่งซู่หนี่ว์เป็นหนึ่งเดียว แต่จงมู่หลิงก็เคยพูดไว้ว่าวิชาเวทนี้กับวิชาเวทสองฉบับดั้งเดิมไม่ได้ขัดแย้งกันเลย การจับรวมเป็นเนื้อเดียวกันเป็นการทำให้ประสิทธิภาพในการฝึกตนของนางไปถึงขั้นสูงสุด แต่หากฝึกแยกกันก็เพียงแต่เสียเวลามากขึ้นหน่อยเท่านั้น ก่อนหน้านี้ ในเมื่อนางมีศาสตร์ซู่หนี่ต้นกำเนิดก็เลยไม่จำเป็นต้องแยกกันฝึก แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว มีวิชาฝึกตนร่วมสัมพันธ์อินหยางนี้อยู่ ถึงจะแยกกันฝึกฝน ประสิทธิภาพก็จะดียิ่ง
ความคิดนางหมุนพลิก คิดขึ้นมาอีกว่า “จริงด้วย ไม่แน่ว่าไม่ต้องแยกกันฝึก ศาสตร์ซู่หนี่ต้นกำเนิดเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนแปลงเทพหยั่งรู้ขึ้นมา ไม่แน่ว่าจะสามารถใช้ในวิชาฝึกตนร่วมสัมพันธ์ได้……”
“อีกอย่าง ข้าจวนจะผูกจิตวิญญาณแล้ว” ฉินซีก็คิดถึงความเป็นไปได้ประการหนึ่ง “รอหลังจากข้าผูกจิตวิญญาณ ความเข้าใจในวิชาเวทก็จะเป็นสิ่งที่วันนี้เทียบไม่ได้ ถึงเวลาลองดูก็รู้แล้ว”
โม่เทียนเกอยิ้ม “หากเป็นเช่นนี้ ถึงระดับการฝึกตนของพวกเราจะมีช่องว่างก็จะกระทำได้อย่างสิ้นเชิง”
ฉินซีพยักหน้า ก้มหน้ามองนาง จู่ ๆ เอ่ยว่า “มิสู้ พวกเรามาลองกันตอนนี้?”
โม่เทียนเกอกำลังคิดจะพูดว่าตนเองยังไม่ได้อ่านวิชาเวทอย่างละเอียดเลย ทันใดนั้นตระหนักว่าลองดูที่เขาพูดมีความหมายอะไร แก้มแดงกล่ำขึ้นมาทันที “อันนี้…… อันนี้ภายหลังค่อยว่ากัน……”
“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว” ฉินซีหยุดนาง “เดี๋ยววันนั้นก็มาถึงเอง……”
…………………………..