เสียงปริศนาที่อินกองได้ยินในทุกครั้งที่ใช้พลังแห่งอาณัติ…

 

 สตรีรูปงามที่ปรากฏในหัวทุกครั้งยามวิกฤต

 

 แม้นี่จะเป็นเพียงรูปภาพบนแผ่นหินสีเทา แต่สมองของอินกองก็ใส่สีให้รูปภาพไปโดยสมบูรณ์

 

 มงกุฎสีทอง เส้นผมสีขาว ดวงตาสีแดงและน้ำเงิน

 

 อาณัติ

 

 นั่นคือชื่อเรียกขานของนาง สตรีผู้สวมชุดสีขาวและเป็นผู้นำของกลุ่ม

 

 อินกองเลื่อนสายตาถัดมา หัวสมองของเขาเติมสีให้กับรูปภาพอีกเช่นเดิม

 

“รณการ”

 

 หากสตรีใต้มงกุฎทองเป็นสีขาวบริสุทธิ์ สตรีที่สวมชุดเกราะก็เป็นสีแดงเข้มบริสุทธิ์เช่นกัน

 

 สตรีที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิง สวมเกราะสีแดงดั่งโลหิต ดวงตาคมหนาสีน้ำเงินแก่ ดวงตาที่ทำให้อินกองนึกถึงปราชญ์ดาบ

 

 ถัดจากสตรีทั้งสองเป็นอีกบุรุษ

 

 หากแทนด้วยสี หนึ่งคือสีดำอีกหนึ่งคือสีน้ำเงิน หากแต่ตรงกันข้ามกับสตรีทั้งสอง อินกองไม่สามารถนึกข้อมูลเกี่ยวกับบุรุษทั้งสองได้

 

 บุคคลทั้งสี่

 

 อันเคลเรียกอินกองว่าอาชาแห่งอาณัติ หากเป็นเช่นนั้นจริง บางทีพลังแห่งอาณัติอาจจะมาจากบุคคลเหล่านี้ หรือก็คือจากสตรีชุดขาว?

 

 อินกองมองสำรวจพลางใช้ความคิด บุคคลทั้งสี่ถูกวาดอยู่ตรงข้ามกับเหล่ามังกรบรรพกาล

 

 ทำไมถึงอยู่ตรงข้ามกัน? หรือว่าบุคคลทั้งสี่จะเป็นศัตรูกับมังกรทั้งหก?

 

 เหล่ามังกรบรรพกาลต่างถูกกล่าวขานว่ามีพลังดุจดั่งเทพเจ้า

 

 บุคคลทั้งสี่ที่ต่อกรกับมังกรเหล่านี้… นี่อาจจะหมายความว่าทั้งสี่ก็มีพลังเทียบเคียงเทพเจ้าเช่นกัน

 

‘พยานอันเคล’

 

 อินกองได้พบกับนางเพียงชั่วคราว เขาเพียงแค่ได้ยินเสียงของนางผ่านทางกรีนวินด์

 

 ทว่าอินกองกลับไม่รู้สึกว่านางเป็นศัตรู ยิ่งหลังจากเข้าควบคุมกรีนวินด์และครอบงำแก่นมังกรของอันเคลด้วยแล้ว แทนที่จะรู้สึกอาฆาต เขากลับรู้สึกอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด

 

 มันเพราะอะไรกัน?

 

 ไม่ใช่ว่าบุคคลทั้งสี่กับเหล่ามังกรทั้งหกเป็นศัตรูกันหรอกหรือ?

 

 หรือรูปภาพนี้จะมีความหมายอย่างอื่นแอบแฝงอีก?

 

 อินกองพยายามค้นหาคำใบ้จากแผ่นหินเพิ่ม แต่นอกเหนือไปจากรูปภาพแล้ว ไม่มีอะไรสลักอยู่บนแผ่นหิน เขาพยายามค้นหาจากแผ่นกระดานแผ่นอื่น แต่ก็ไม่พบอะไรที่เกี่ยวเนื่องกัน

 

 อาชาแห่งอาณัติ…

 

 อาณัติและรณการ…

 

 อีกสองบุคคลที่ตัวตนยังคงเป็นปริศนา

 

 และความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสี่กับเหล่ามังกร…

 

 ยิ่งไปกว่านั้นคือเหตุอันใดรูปภาพนี้จึงถูกเก็บบันทึกไว้ในปราสาทธันเดอร์ดูม?

 

 อินกองมองกลับไปยังสตรีชุดขาวอีกครั้ง นางมีใบหน้าที่เยือกเย็นและมุ่งมั่น เขาไม่เคยเห็นสีหน้าลักษณะอื่นจากสตรีนางนี้

 

 อินกองชำเลืองมองแผ่นหินอีกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะนำมันกลับไปเก็บไว้ที่เดิม อันที่จริงเขาอยากจะนำมันไปด้วย แต่ด้วยเวทมนตร์บางอย่างที่ผูกมัดแผ่นหินเอาไว้ ทำให้เขาไม่สามารถเก็บแผ่นหินเข้าช่องเก็บของได้

 

 และในช่วงเวลานั้นเอง เสียงของกรีนวินด์ก็ดังขึ้น

 

‘นายท่านช่วยมาตรงนี้ได้ไหม? ข้ามีบางอย่างที่คู่ควรกับคำชมเตรียมอยู่ เร็วเข้าๆ’

 

 เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น

 

 ดั่งเสียงเด็กไร้เดียงสาที่ดังขึ้นเป็นจังหวะ

 

 อินกองอมยิ้มแล้วเคลื่อนไปยังที่มาของเสียง

 

“มีอะไรหรือ?”

 

‘ข้าพบบันทึกเกี่ยวกับมังกรบรรพกาล ดูเหมือนพวกดวอฟในปราสาทนี้จะคลั่งไคล้เรื่องมังกร’

 

 กรีนวินด์เหวี่ยงแขนไปมาระหว่างที่นั่งบนไวท์อีเกิ้ล แม้ร่างของนางจะโปร่งแสง แต่รอยยิ้มของนางก็สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน

 

‘ทางนี้ ทางนี้’

 

 มีหนังสือเปิดกางวางบนแท่นรอเขาอยู่ หากแต่แท่นนี้ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับดวอฟ นั่นทำให้มันค่อนข้างจะไม่สะดวกสบายสำหรับอินกอง

 

 วิธีแก้ปัญหาก็ง่ายมาก อินกองนั่งลงบนไวท์อีเกิ้ล โดยมีกรีนวินด์นั่งอยู่ด้านข้าง คะยั้นคะยอให้อินกองรีบอ่านหนังสือ

 

‘ตรงนี้มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่’

 

 กรีนวินด์ถือกำเนิดขึ้นจากเศษเสี้ยวแห่งอันเคล นั่นทำให้นางสามารถอ่านอักขระดวอฟรู้เรื่อง อินกองทยอยอ่านอักขระบริเวณที่กรีนวินด์ชี้

 

‘หัวรุนแรงไคทีน’

 

 พญามังกรผู้ใช้พลังแห่งเปลวไฟ

 

‘ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์ใช่ปะล่าาา?’

 

 อินกองเพิ่งจะเริ่มอ่านเพียงบรรทัดแรกเท่านั้นเสียงรบเร้าของกรีนวินด์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ แทนที่จะหันไปมองนาง อินกองกลับเอี้ยวตัวเพื่อมองด้านหลัง

 

‘นายท่าน?’

 

“จริงสิ นางไม่มีหาง”

 

 หากนางมีหาง นางคงสั่นหางส่ายไปมาแน่นอน

 

‘ข้าไม่เข้าใจว่านายท่านหมายความว่าอะไร’

 

 กรีนวินด์พูดลอยขึ้นอย่างสงสัย แต่อินกองก็ลูบหัวนางกลบเกลื่อน

 

“ทำดีมาก นี่ต้องมีประโยชน์แน่นอน”

 

‘ใช่ม้าา? นายท่านอ่านต่อให้จบก่อนแล้วค่อยชมข้าทีหลังก็ได้ แต่นายท่านต้องชมข้านานๆนะ’

 

 ใบหน้าของนางบ่งบอกว่าภาคภูมิใจอย่างมาก ไม่ใช่เพียงเพราะนางต้องการคำชม แต่เป็นเพราะนางรู้สึกว่าได้ทำประโยชน์ให้กับอินกอง

 ระดับความศรัทธาในตัวท่านเทพารักษ์ทยอยลดลงเรื่อยๆ… (っ´ω`)ノ(╥ω╥)

 

 อินกองลูบหัวนางต่ออีกสักพัก ก่อนจะเปลี่ยนไปสนใจรายละเอียดของหนังสือ นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตำนานถิ่นอาศัยของหัวรุนแรงไคทีน

 

 พญามังกรแต่ละตนต่างมีฉายาที่อธิบายถึงบุคลิก

 

 เอนคิดูกดขี่ข่มเหงดุร้ายด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง

 

 อันเคลอ่อนโยนเอ็นดูทุกชีวิต ส่วนควิเอียนเป็นดั่งนักปราชญ์ผู้ชาญฉลาดคอยวางแผน

 

 ไคทีนเป็นนักรบ

 

 เขาถูกจดจำว่าเป็นมังกรผู้เลือดร้อนจากฉายาหัวรุนแรง แต่หากว่าตามจริง บุคลิกของเขาใกล้เคียงกับน้ำแข็งมากกว่าไฟ ไคทีนมีจิตใจที่นิ่งสงบและมองดูทุกสิ่งอย่างเป็นกลาง

 

 เปลวไฟที่เยือกเย็น

 

 นักรบผู้เงียบขรึมที่ไม่ชักดาบออกจากฝักโดยง่าย หากแต่เมื่อไรที่ดาบออกจากฝัก โลกทั้งใบจะถูกย้อมไปด้วยความเกรี้ยวกราด

 

 เช่นเดียวกับพญามังกรตนอื่น ไคทีนได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ข้อมูลในหนังสือเป็นถิ่นอาศัยที่ไคทีนเคยใช้เมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว

 

‘หนังสือนี่เขียนมาได้หลายร้อยปีแล้ว ถ้าในนี้บอกว่าเมื่อหลายร้อยปี… งั้นก็ร่วมพันปีได้?’

 

 ทันใดนั้น การตายของอันเคลก็ผุดขึ้นมาในหัวของอินกอง อันเคลเสียชีวิตไปเมื่อราวพันปีที่แล้ว การตายของอันเคล… เหล่าพญามังกรที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์…

 

 อินกองหยุดความคิดของเขาเอาไว้แล้วเพ่งสมาธิไปที่หนังสือต่อ ในนั้นเป็นแผนที่ของเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว แต่อินกองก็สามารถเข้าใจได้ทันที่ว่าแผนที่ชี้เป้าไปที่ไหน

 

‘ไม่ไกลแฮะ’

 

 มันอยู่ห่างไปจากสถานที่ปัจจุบันของคณะอินกอง แต่มันอยู่ใกล้กับเป้าหมายที่พวกเขากำลังจะเดินทางไป

 

 มันอยู่ไม่ไกลไปจากสถานที่ซึ่งอมิตาภากำลังอาศัยอยู่

 

 อ้างอิงจากปราชญ์ดาบแล้ว อมิตาภาอยู่ใกล้กับป่าแมงมุม และป่าแมงมุมก็อยู่ใกล้กับเผ่าไลแคนโทรป ส่วนรังเก่าของไคทีนอยู่บริเวณทะเลสาบรุ่งอรุณ ถัดขึ้นไปทางเหนือจากป่าแมงมุม

 

 มังกรผู้ใช้พลังแห่งไฟกลับมีรังอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำ จึงไม่แปลกที่เหล่าสาวกผู้บ้าคลั่งจากเกมบทกวีแห่งผู้กล้าจะหารังของมังกรตนนี้ไม่พบ

 

‘ดูเหมือนครั้งนี้จะมีเควสให้ทำเยอะพอดูเลย’

 

 หลังจากเจรจากับอมิตาภา อินกองตั้งใจจะไปเยี่ยมคริสต์กับเคทลิน และในตอนนี้ เขาก็เพิ่มเรื่องรังเก่าของไคทีนเข้าไปอีก

 

 หากการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น อุปกรณ์ที่ทรงประสิทธิภาพก็ไม่อยู่ไกลเกินเอื้อม

 

‘นายท่านอ่านเสร็จยัง? นายท่านคิดว่ายังไงบ้าง?’

 

 กรีนวินด์โพล่งถามขึ้นหลังจากความอดทนของนางหมดลง อินกองไม่พูดตอบอะไรก่อนจะหันไปลูบหัวกรีนวินด์

 

&

 

 คณะของอินกองพักอยู่ที่ปราสาทธันเดอร์ดูมได้ราวสี่วัน

 

 หลังจากการปล้นคลังอาวุธและคลังสมบัติเสร็จสิ้น เฟลิซีก็เดินสำรวจตัวปราสาทอย่างที่นักสำรวจควรทำ ไม่ใช่นักล่าสมบัติในคราบนักสำรวจ

 

 อินกองใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องทะเบียนและฝึกฝนในห้องว่าง เขายังคงต้องการจะเรียนทักษะอย่างอื่นเพิ่มจากปราชญ์ดาบ แต่ผู้อาวุโสก็ได้ออกจากปราสาทไปแล้ว

 

‘ข้าจะรอพบกับองค์ชายอีกครั้งที่วังหลวง ข้าหวังว่าองค์ชายจะมีอะไรให้ข้าประหลาดใจได้อีกครั้ง’

 

 เป็นคำพูดทิ้งท้ายที่แฝงภาระอันหนักอึ้งเอาไว้

 

 ส่วนเรื่องเอกสารในห้องทะเบียน ถือเป็นโชคร้ายที่อินกองไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวข้องกับเหล่ามังกรได้ เรื่องของบุคคลทั้งสี่ที่มีสตรีชุดขาวเป็นผู้นำยิ่งมีเบาะแสน้อยลงไปอีก

 

 หากจะมีเรื่องที่ถือว่าชดเชยได้ นั่นก็คือการเติบโตของคารัค

 

 มหาดเล็กราชวัลลภเป็นทักษะเสริมจากอาณัติ และรับสั่งเป็นเพียงทักษะที่เสริมต่อยอดอีกทีเท่านั้น

 

“เป็นยังไงบ้าง? คิดว่านายพอจะแข็งแกร่งขึ้นมาบ้างไหม?”

 

 อินกองถามคารัคด้วยเสียงคาดหวัง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาลองใช้อีกหนึ่งทักษะที่เสริมจากมหาดเล็กราชวัลลภ

 

 มหาดเล็กราชวัลลภ – บำเหน็จ

 

 รางวัลที่องค์ราชันมอบให้แก่ทหารผู้สร้างความดีความชอบ นอกจากยศของทหารนั้นจะเพิ่มขึ้นแล้ว พระราชายังสามารถมอบพลังอำนาจให้แก่ทหารนั้นได้มากขึ้น

 

 นับตั้งแต่คารัคเข้าร่วมหน่วยมหาดเล็กของอินกอง มันก็ได้สร้างผลงานไว้มาก และในตอนนี้ผลงานนั้นก็มากพอสำหรับการปูนบำเหน็จ คารัคที่ได้รับการเลื่อนยศจากพลทหารขึ้นเป็นนายสิบมองดูตัวเอง มันลองเอากำปั้นทุบอกตัวเองเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับ

 

“ถือว่าคุ้มกับที่เหนื่อยไปทั้งหมด”

 

 พลกำลังของมันเพิ่มขึ้นชัดเจน นั่นทำให้มันอารมณ์ดีขึ้นมาก แม้มันจะไปสามารถบอกอะไรได้มากจากการทุบอกก็ตาม

 

 สิ่งอื่นที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากนั้นก็คือความทนทานต่อธาตุหลากหลาย หนึ่งในนั้นก็คือความทนทานต่อไฟที่เพิ่มขึ้นมาก ความทนทานต่อพิษของคารัคก็เพิ่มขึ้นจนทำให้มันสามารถต้านทานพิษชนิดอ่อนได้อีกด้วย

 

‘สมแล้วที่เป็นโล่เนื้อ’

 

 เมื่อไรก็ตามที่อินกองใช้ทักษะรับสั่ง คารัคก็จะถูกเรียกมาเป็นโล่ป้องกันตัวเขา นี่ทำให้อินกองพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ทำดีต่อไปเรื่อยๆในอนาคตด้วยละ”

 

 คารัคแสดงสีหน้าอันแปลกประหลาดออกมาชั่วครู่ ก่อนมันจะยิ้มออก พลางเคาะโล่ดวอฟอันใหม่ที่มันเพิ่งได้รับมาอย่างชอบใจ

 

 กัมมะมองไปที่เจ้าออร์คอย่างอิจฉา นางกำมือก่อนพูดตั้งมั่น

 

“ข้าพระพุทธเจ้าจะพยายามสุดความสามารถเช่นกันเพคะ”

 

 หากเปรียบว่าคารัคเป็นโล่ กัมมะก็เป็นรถ นางเป็นเสมือนพาหนะสำหรับสมาชิกอื่นของคณะของอินกอง

 

 และเมื่ออินกองเห็นแววตาตั้งมั่นของกัมมะ นั่นก็ทำให้เขานึกถึงเคทลิน

 

‘นางจะประหลาดใจขนาดไหนนะ?’

 

 อินกองในตอนนี้ไม่สามารถนำไปเทียบได้กับอินกองที่เคทลินเห็นครั้งล่าสุด แน่นอนว่านี่จะต้องทำให้นางประหลาดใจอย่าง‘สุดยอด’แน่นอน

 

 เมื่ออินกองไปถึงดินแดนของเหล่าไลแคนโทรป เขาตั้งใจว่าจะลองประลองกับเคทลินสักครั้ง แม้จะไม่ต้องใช้พสุธากัมปนาทหรือไวท์อีเกิ้ล เขาก็รู้สึกว่าเขาสามารถที่จะสู้กับนางได้อย่างสูสีมากขึ้น

 

‘นี่ถ้านางรู้เรื่องเคล็ดไอศวรรย์ราชันสุรจะเป็นยังไงนะ?’

 

 อินกองตั้งหน้าตั้งตารอคอยการตอบสนองจากคริสต์และเคทลิน

 

 ในเช้าวันรุ่งขึ้น…

 

 หลังจากที่เฟลิซียืนยันกับคณะสำรวจที่เดินทางมาจากวังหลวงเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เดินทางออกจากเขตปราสาทธันเดอร์ดูม

 

 เฟลิซีมองไปยังปราสาทด้วยนัยน์ตาโศกเศร้าในลักษณะเดียวกับเมื่อยามนางออกจากวิหารทั่งวัชรกร ถึงแม้ปราชญ์ดาบจะบอกว่าพวกเขามีเวลาราวครึ่งปี แต่นางก็ไม่สามารถวางใจได้เมื่อรู้ถึงเรื่องที่อมิตาภาชอบเร่รอนไปตามสถานที่ต่างต่าง พวกเขาจึงควรจะรีบออกเดินทางให้เร็วที่สุด

 

 และหลังจากคณะอินกองออกจากปราสาทธันเดอร์ดูมมาสามวัน ก็มีผู้มาเยือนตัวปราสาทเพื่อนำกลุ่มคณะสำรวจชุดใหม่

 

 เจ้าชายลำดับที่สอง แซเฟียร์ แร็กนารอส

 

&

 

 ความจริงเรื่องการตายของพลโทกาซบาลถูกรายงานไปยังวังหลวง ความจริงที่ว่าการตายนั่นเป็นเพียงหน้าฉากเพื่อล่อเจ้าชายแซเฟียร์ออกมา

 

 นี่ทำให้เผ่ามังกรผู้เป็นที่นับหน้าถือตาในเขตวังโกรธเกรี้ยวมาก แต่แซเฟียร์กลับใจเย็นต่างออกไป

 

 แซเฟียร์เลือกภารกิจสำรวจปราสาทธันเดอร์ดูม นั่นส่งผลให้เกิดเสียงนินทาขึ้นมากมาย

 

 บ้างก็ตำหนิในเรื่องความหยิ่งยะโสของเขา บ้างก็ชื่นชม แต่ไม่มีการตอบสนองใดจากจอมมาร

 

 แซเฟียร์มีทีท่าปกติเมื่อมาถึงตัวปราสาทธันเดอร์ดูม เขาตรวจสอบซากของกลุ่มนิรนามทั้งหลาย อ่านทวนรายละเอียดการสำรวจครั้งก่อน และหลังจากจัดการขั้นตอนพื้นฐานทั้งหมดเสร็จสิ้น เขาก็ตรวจดูร่องรอยการต่อสู้

 

 เขาตรวจตราบริเวณที่มือหอกเกราะน้ำเงินระเบิดตัวตายอย่างรัดกุม หลังจากนั้นก็ไล่สำรวจคลังแสง คลังสมบัติ และห้องทะเบียน

 

 แซเฟียร์เดินเข้าห้องทะเบียนตามลำพัง เขาไม่สนใจเอกสารมากมายที่ถูกจัดเรียงรายแม้แต่น้อย ถึงแม้นี่จะเป็นการมาเยื่อนครั้งแรก แต่แซเฟียร์เดินมุ่งหน้าตรงเข้าไปยังบริเวณลึกสุดของห้องทะเบียนอย่างไม่ลังเล

 

 สิ่งยั่วยวนบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้นำพาแซเฟียร์ไปยังจุดหนึ่ง

 

 ตรงหน้าเขาเป็นแผ่นหินที่แกะสลักบันทึกรูปภาพหนึ่งเอาไว้

 

 มังกรบรรพกาลทั้งหกและกลุ่มบุคคลปริศนาทั้งสี่

 

 แซเฟียร์รู้จักสามในสี่บุคคลนั้น

 

 มีเพียงใบหน้าหนึ่งที่เขาไม่คุ้นเคย

 

 สตรีผู้สวมมงกุฎด้านหน้าสุด

 

 แซเฟียร์หรี่ตาลงพลางมองไปยังใบหน้าอีกสามที่เขารู้จัก

 

 รณการ ทุพภิกขภัย และอาสัญ…

 

 ศัตรูคู่อาฆาตของเหล่ามังกรบรรพกาล

 

 นี่เป็นรูปบันทึกจากอดีตอันไกลโพ้น เรื่องราวของตำนานที่ถูกลืมเลือน… อดีตที่ผ่านมาราวพันปี

 

 สตรีสวมมงกุฎดึงดูดสายตาของแซเฟียร์อีกครั้ง ก่อนเขาจะวางแผ่นหินลงที่เดิมของมัน แทนที่จะเลือกค้นข้อมูลจากบันทึกอื่น เขาระลึกถึงความรู้สึกที่สัมผัสได้บริเวณศูนย์กลางของลานปราสาท

 

 ไอพลังแห่งอาสัญที่คาอยู่บริเวณที่มือหอกปริศนาระเบิดพลีชีพ

 

 แซเฟียร์หลับตาลงช้าช้า

 

 ดูเหมือนเส้นด้ายแห่งโชคชะตาที่เคยขาดจะถูกต่อกลับมาอีกครั้ง

 

 

จบบทที่ 11 – ปราชญ์ดาบ เริ่มบทที่ 12 – ตำนาน