ตอนที่ 33.2 อาจารย์ลุงของเจ้าผู้นี้หาใช่คนชั่วร้ายไม่ (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกตกใจเล็กน้อย แล้วเงยหน้าขึ้นมองจิ่วอูซึ่งยังคงอยู่บนก้อนเมฆ

“ท่านอาจารย์ลุง นี่… มันเหมาะหรือขอรับ”

“มีอันใดเหมาะหรือไม่เหมาะเล่า” จิ่วอูยิ้มกว้างพลางกล่าว “มีกฎที่ไม่ได้พูดกันในสำนักคือศิษย์ยี่สิบอันดับแรกของแต่ละรุ่นจะได้รับอนุญาตให้พยายามทำความเข้าใจพระสูตรนิรกรรมเล่มที่หนึ่งนี้ได้ก่อนล่วงหน้า ในขณะที่ศิษย์ธรรมดาจึงจะสามารถทำเช่นนั้นได้หลังจากที่พวกเขาบรรลุเซียนแล้วเท่านั้น

ยามนี้เจ้าน่าจะอยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นหกแล้วใช่หรือไม่ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในศิษย์สิบอันดับแรกของสำนัก ข้าจำได้ว่าดูเหมือนเจ้าจะข้ามขอบเขตพลังขั้นเล็กๆ ขึ้นไปอีกขั้นแล้ว เมื่อเราดื่มด้วยกันในครั้งล่าสุดนี้”

ครั้งล่าสุด…

หลี่ฉางโซ่วรู้สึกจนปัญญาเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์โดยมิได้เตรียมตัวไว้ก่อนถึงเวลา เขาต้องระงับฐานพลังของเขาและหยุดยั้งตัวเองไม่ให้บรรลุไปถึงคืนกลับเต๋าวิถีขั้นที่เก้า

อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาดื่มสุราและสนทนาเรื่องบทกวีอยู่กับจิ่วอูเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนั้น จู่ๆ ก็มีความรู้สึกแปลกๆ ท่วมท้นขึ้นมา แล้วทันใดนั้นเขาก็มีจิตอริยะขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ…

โชคดีที่เขายังมีขอบเขตพลังเล็กๆ อีกสามขอบเขตสำรองเอาไว้เพื่อรับสถานการณ์ และในเวลานั้นจิ่วอูก็เมาแล้วด้วย

เขาได้ยินจิ่วอูกล่าวเสริมอีกว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้เปิดเผยความจริงว่าเจ้าอยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นหก และพระสูตรนิรกรรมเล่มที่หนึ่งนี้ก็เป็นรางวัลตอบแทนสำหรับภารกิจที่ข้าจะไปในครั้งนี้ ข้าต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเจรจากับผู้อาวุโสแห่งหอรางวัลเพื่อจะได้รับมันมาล่วงหน้าแล้วให้กับเจ้า ข้าจึงนำมันมาให้เจ้าที่นี่ก่อน…

เป็นอย่างไร อยากฝึกหรือไม่ นี่คือมรดกเต๋าหลักที่แท้จริงแห่งสำนักตู้เซียนของเราเลยนะ!”

“ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่ส่งม้วนตำราหยกกลับไป “แต่ศิษย์ยังไม่อยากออกไปที่ใดในเร็วๆ นี้ เกรงว่าจะทำให้ท่านอาจารย์ลุงต้องผิดหวังแล้วขอรับ”

ดวงตาโตภายใต้คิ้วหนาของจิ่วอูก็หรี่แคบลงในทันใด “ข้ายังไม่เอ่ยอันใด แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะต้องออกไปข้างนอก”

“ย่อมไม่มีอะไรมากไปกว่า คำเชิญให้เข้าร่วมงานชุมนุมของวังมังกรแห่งทะเลบูรพา” หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบด้วยสีหน้าจริงจัง

“ข่าวได้แพร่กระจายไปทั่วสำนักนานแล้ว และไม่ยากที่ศิษย์จะคิดถึงเรื่องนี้ มีสหายร่วมสำนักที่โดดเด่นมากมายกำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงโอกาสเข้าร่วมงานชุมนุมกวาดล้างปีศาจครั้งนี้และสามารถสร้างชื่อให้กับตัวเองได้ แล้วเหตุใดท่านอาจารย์ลุงถึงอยากให้คนเกียจคร้านอย่างข้าไปด้วยเล่าขอรับ”

“ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่ามีผู้คนมากมายล้วนกำลังแย่งชิงโอกาสกัน แล้วเหตุใดถึงไม่อยากไปเล่า” จิ่วอูถามด้วยความฉงน

หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ราวสองสามอึดใจก่อนจะกล่าวว่า “ในงานชุมนุมครั้งก่อน เราไปที่ทะเลบูรพาเพื่อกำจัดปีศาจและได้สังหารพวกปีศาจเล็กๆ ไปเป็นจำนวนมาก และหากสำนักตู้เซียนส่งศิษย์ไปยังทะเลบูรพาอีกครั้งในคราวนี้ วังมังกรตงไห่ย่อมจะสร้างความลำบากให้กับพวกเราอย่างแน่นอน ท่านอาจารย์ลุงก็รู้ว่า ศิษย์ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับปัญหาวุ่นวายเยี่ยงนี้”

“เจ้าช่างสังเกตได้ถี่ถ้วนนัก!” จิ่วอูหัวเราะเบาๆ ขณะพึมพำกับตัวเองอยู่บนก้อนเมฆ

จิ่วอูลดระดับของเมฆขาวลงมา และกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลอย่างจริงใจว่า “อันที่จริงแล้ว ข้าก็ไม่อยากรบกวนเจ้าในครั้งนี้ แต่เรามีศิษย์ที่มีสติปัญญาล้ำเลิศไม่มากนักในรุ่นของเจ้า แม้แต่ศิษย์ที่มีประสบการณ์ในการจัดการกับสิ่งต่างๆ ได้มากที่สุดอย่างหยวนชิงก็ยังต้องตายด้วยปัญหาของเขาเอง…

งานชุมนุมครั้งนี้ นอกจากวังมังกรทะเลบูรพาแล้ว ยังมีสำนักเซียนอื่นๆ ที่ไม่ถูกกับเรามาร่วมด้วย และบรรดาศิษย์ของพวกเขาก็อาจสร้างปัญหาให้พวกเรา… มีผู้อาวุโสสองสามคนกังวลว่าศิษย์รุ่นเยาว์ของเราจะไม่อาจรับมือได้ พวกเขาอาจจะถูกอีกฝ่ายยั่วยุได้ง่าย และสุดท้ายก็จะสร้างปัญหาจนทำให้พวกเราต้องอับอายกลายเป็นตัวตลก

ไม่มีผู้ใดในสำนักที่รู้ว่าเจ้า…หลี่ฉางโซ่ว… เป็นผู้ที่เต็มไปด้วยแผนการ…

อะแฮ่มๆ… พวกเขาไม่รู้จักศิษย์หลานฉางโซ่วที่เก็บตัวอยู่เท่าใดนัก แต่ข้าว่าเจ้าเป็นคนจิตใจมั่นคง สุขุมรอบคอบและเชื่อถือได้ ทั้งยังมีไหวพริบและเด็ดขาด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ข้าอยากขอให้เจ้าไปด้วย หากจำเป็นเจ้าก็สามารถนำทางสหายร่วมสำนักของเจ้าได้

ยิ่งไปกว่านั้น ในครั้งนี้อาจารย์ลุงผู้น่าสงสารอย่างข้าจะเป็นผู้นำคณะไปด้วยตัวเอง และจะมีผู้อาวุโสบางคนในสำนักไปด้วย ดังนั้นเจ้าจะปลอดภัยอย่างแน่นอน…

แล้วเจ้าจะว่าอย่างไร เจ้าลองคิดดูให้ดี? นี่คือพระสูตรนิรกรรมที่เรากำลังพูดถึง เป็นความลับที่แท้จริงในการคงชีพยืนยาว”

อันที่จริง หลี่ฉางโซ่วสนใจพระสูตรนิรกรรมอย่างยิ่ง แต่…

“ท่านอาจารย์ลุง ศิษย์หลานของท่านยังคงปรารถนาจะอยู่บนภูเขาและฝึกบำเพ็ญอย่างสงบสุขขอรับ”

มุมปากของจิ่วอูกระตุกเล็กน้อยพลางทอดถอนใจและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนจะกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด อาจารย์ลุงของเจ้าผู้นี้หาใช่คนชั่วร้ายไม่ ข้าย่อมไม่บังคับให้เจ้าทำในสิ่งที่เจ้าไม่ต้องการ…

อนิจจา… ข้าคงต้องจัดอันดับศิษย์ในสำนักใหม่เพื่อตรวจหาช่องโหว่…”

หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดหนักขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียอย่างรอบคอบอีกครั้ง จากนั้นจึงพยักหน้าตอบรับช้าๆ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า

“ศิษย์ขอปรากฏตัวในฐานะผู้บำเพ็ญระดับขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นที่สองขอรับ ข้าจะปฏิบัติตามคำแนะนำของท่านอาจารย์ลุง และหากจำเป็นข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเตือนสหายร่วมสำนัก แต่หากพวกเขาไม่ฟังข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจทำอันใดได้อีกขอรับ”

“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องห่วง พวกเขาจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องฟังเจ้า” จิ่วอูกล่าวพลางโยนม้วนตำราหยกคืนกลับไปให้ที่หลี่ฉางโซ่วแล้วกล่าวว่า “จงรับมันไปเสีย และทำความเข้าใจมันให้ดี จากนั้นก็รีบทะลวงผ่านเข้าสู่ขอบเขตคืนกลับเต๋าวิถีให้เร็วที่สุด”

หน็อยแน่! เจ้าโจรน้อยผู้นี้ ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่จับเหยื่อจนกว่าข้าจะให้ประโยชน์บางอย่างแก่เจ้า ผู้อาวุโสแห่งหอรางวัลได้อนุญาตให้ข้าส่งพระสูตรนี้ให้เจ้าตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีครึ่งที่แล้ว โชคยังดีที่ข้าเก็บเอาไว้และได้ใช้มันในเวลาที่เหมาะสมเช่นนี้

เมื่อกล่าวจบ จิ่วอูก็หันหลังกลับและขับเคลื่อนเมฆของเขาขึ้นไปด้านบนพร้อมด้วยรอยยิ้มบางที่มุมปากแล้วหายลับไป

หลังจากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ปิดค่ายกลขนาดใหญ่เพื่อปล่อยให้อาจารย์ลุงของเขาจากไป แล้วจึงเปิดใช้งานอีกครั้งอย่างไม่ยุ่งยากนัก จากนั้นก็จ้องมองไปที่ม้วนตำราหยกในมือของเขาและครุ่นคิดลึกซึ้งอีกครั้ง

บัดนี้มันกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นที่เขาจะระงับฐานพลังของเขาในช่วงสองปีเหล่านี้ เมื่อเขาไปถึงขอบเขตคืนเต๋าวิถีขั้นเก้า แน่นอนว่าเขาย่อมจะไม่อาจควบคุมความก้าวหน้าของเขาได้ เวลานี้เขามีพระสูตรนิรกรรมแล้ว และเขาสามารถมองหาสถานที่เงียบสงบในทะเลบูรพาอันกว้างใหญ่เพื่อใช้ปิดด่านฝึกบำเพ็ญได้

ยิ่งไปกว่านั้น พระสูตรนิรกรรมเล่มที่หนึ่งนั้นย่อมง่ายต่อการทำความเข้าใจ มันไม่ใช่ตำราหลอกลวงไปครึ่งเล่มเฉกเช่น เก้าฝ่ามือพิฆาตมังกร อย่างไรก็ตามครั้งนี้เขาก็ไม่ได้ขาดทุน และยังถือว่าได้กำไรด้วยซ้ำ

……

ในยามรุ่งอรุณของวันถัดมาหลังจากที่ฉีหยวนทะยานสู่เซียน

หลันหลิงเอ๋อร์นวดไหล่ของนางด้วยความเหนื่อยล้าขณะที่นั่งอยู่หน้ากระท่อมมุงจากที่ไม่มีผู้ใดในขณะนี้

คืนก่อนหน้านั้น อาจารย์ของนางไปร่วมงานเลี้ยงที่ยอดเขาอีกแห่งหนึ่งพร้อมกับกลุ่มอาจารย์ลุง อาจารย์ป้า และอาจารย์อาที่นางไม่เคยพบมาก่อน และหลังจากนั้นนางก็ใช้เวลาถึงสองชั่วยามในการทำความสะอาดทั้งภายในและภายนอกกระท่อมมุงจากของอาจารย์

“เจ้าศิษย์พี่หน้าเหม็น ไม่รู้จักมาช่วยข้าเลย!”

หลังจากบ่นกระปอดกระแปด ทันใดนั้นหลันหลิงเอ๋อร์ก็เห็นน้ำเต้าใหญ่บินมาจากท้องฟ้า นางมุ่ยปากทันที

อาจารย์อาจิ่วจิ่วมาหาศิษย์พี่อีกแล้ว…

สองคนนี้ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ!

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ระยะเวลาที่อาจารย์อาจิ่วจิ่วไม่ได้มาที่ยอดเขาหยกน้อย ห่างกันนานที่สุดก็คือยี่สิบวันเท่านั้น!

ฮึ่ม! เราทั้งคู่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญสตรี ท่านเป็นเซียนเสิ่นแล้วอย่างไรเล่า!

นั่นไม่ถูกต้อง การที่เซียนเสิ่นจะเติบโตเต็มที่มาได้ถึงขนาดนี้ นางต้องยอดเยี่ยมอย่างเหลือเชื่อแน่นอน…

แล้วเมื่อมองลงมาที่หน้าอกของนางเอง หลันหลิงเอ๋อร์ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นในใจทันที

ศิษย์พี่ต้องชอบแบบนี้แน่ๆ…

“ขอโทษนะ?”

ทันใดนั้นก็มีคำทักทายดังมาจากด้านหลังของหลันหลิงเอ๋อร์ นางพลันสะดุ้งตกใจแล้วหันไปมองทางต้นเสียงอย่างระมัดระวังทันที พร้อมกันนั้นนางก็จับเข็มสีเงินจำนวนหนึ่งเอาไว้ในมือในขณะที่ชุดกระโปรงของนางพลิ้วไหวไปตามสายลม

จากนั้นหลันหลิงเอ๋อร์ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง

ปรากฏว่าผู้มาเยี่ยมและส่งเสียงทักทายสวมชุดกระโปรงสีน้ำเงินผูกไหล่ข้างเดียว นางมีกระบี่ใหญ่อยู่ในฝักสะพายไว้ที่หลังของนาง เส้นผมยาวของนางถูกมัดและห้อยลงมาเป็นหางม้าอย่างนุ่มนวลเรียบง่ายและปลิวไสวไปตามสายลม ใบหน้างดงามแต่เย็นชาของนางนั้นดูคุ้นเคยอย่างยิ่ง

“ศิษย์พี่ฉางโซ่วอาศัยอยู่ที่นี่หรือไม่”

……………………………………………………………………