บทที่ 13 ความสุข

เมื่อพี่สะใภ้ทั้งสองได้ยินว่าเหยาซูต้องการขายชาดทาหน้า พวกนางต่างตกตะลึงไป!

น้องสามีคนเล็กมีทักษะนี้ด้วยเหรอ? เหตุใดพวกนางจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน

สะใภ้ตระกูลเหยาทั้งสองคิดว่าน้องสามีคนเล็กคิดเองเออเอง พวกนางจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก และคงทนไม่ได้ที่จะขัดขวางความคิดกระตือรือร้นของน้องสามี

พี่สะใภ้ใหญ่ถามอย่างอ้อมค้อมว่า “อาซูคิดจะทำชาดหรือ เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน?”

เหยาซูไม่เห็นแววอดกลั้นในดวงตาของพี่สะใภ้ใหญ่ นางยังคงเดินจูงมือลูกชายคนโตเดินต่อไป พร้อมพยักหน้าแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ลืมไปแล้วหรือ? สมัยก่อนท่านตาเคยเก็บตำราไว้มากมาย ข้าเองก็เจอตำราเล่มหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับการทำชาดอยู่ด้วย”

ร่างเดิมของหญิงสาวสามารถอ่านออกเขียนได้ แต่เนื่องจากแม่เฒ่าเหยากังวลว่าเหยาซูจะเบื่อเกินไปจึงหยิบตำรามาให้อ่านมากมาย

เหยาซูในชาติก่อนนั้นได้สร้างบริษัทผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง แม้ว่าผลิตภัณฑ์ของนางจะไม่ได้ส่งออกต่างประเทศ แต่มันก็มีผลกำไรอยู่บ้าง

ในฐานะเจ้าของแบรนด์ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวแบบพื้นบ้านถือว่าเป็นเรื่องเล็ก

เหตุที่เริ่มทำชาดทาหน้าเป็นสิ่งแรก เพราะนางสังเกตเห็นว่าคนที่นี่ซื้อชาดทาหน้าเป็นจำนวนมาก ประการที่สองคือนางยังไม่มีหลักการที่แน่นอนนักว่าคนโบราณจะให้ความสนใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่นางทำหรือไม่

ส่วนในตำราโบราณที่เอ่ยถึงการทำชาดทาหน้านั้น ย่อมเป็นเรื่องที่นางโกหกขึ้นมา!

แต่อย่างไรก็ตามบรรพบุรุษของตระกูลเหยาเป็นบัณฑิต งานอดิเรกของเขาก็คือการอ่าน เพราะฉะนั้นตำราจึงยังถูกเก็บรักษาเอาไว้อยู่ นอกจากนี้ตำราที่เก็บเอาไว้ก็มีเพียงไม่กี่กล่องเท่านั้นรวมเกร็ดความรู้เล็กน้อยต่าง ๆ ไว้

เมื่อเหยาซูพูดเช่นนี้จึงไม่มีใครสงสัย

“โอ้ ไม่คิดเลยว่าอาซูของเราจะเก่งขนาดนี้!”

พี่สะใภ้ใหญ่คิดไม่ถึงว่าเหยาซูจะจดจำเนื้อหาในหนังสือได้ ทั้งยังสนใจเตรียมศึกษาค้นคว้าอย่างสุดกำลัง นางจึงกุมมือน้องสามีขึ้นมาพลางทอดถอนใจกับสะใภ้รองที่อยู่ข้าง ๆ “เจ้าดูสิ ต่อไปน้องเล็กของพวกเราต้องไม่ธรรมดาแน่”

พี่สะใภ้รองอุ้มเอ้อเป่าไว้ในอ้อมแขน เมื่อได้ยินดังนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “ใช่แล้ว! น้องเล็กนี่ฉลาดจริง ๆ แม้พี่รองของนางปกติจะดูไม่จริงจังอะไร ทว่าเวลาว่างมักชอบอ่านตำรา หากวันหลังถ้าอาซูอยากอ่านเพิ่มก็ให้พี่รองนำมาให้อีกนะ!”

เหยาซูพยักหน้าและยิ้มให้กับพี่สะใภ้รองด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณพี่สะใภ้ทั้งสองนะเจ้าคะ”

พูดจบนางก็แสร้งทำเป็นซุบซิบว่า “พี่สะใภ้ทั้งสองท่านเคยคิดที่จะแยกตัวออกมาดำรงชีวิตเองไหม?”

เนื่องจากแคว้นเหยียนไม่ได้มีข้อกำหนดมากมายในการแยกตระกูล ตราบใดที่ต้องการแยกครอบครัว ครอบครัวนั้นก็สามารถแยกตัวกันได้เพียงรายงานต่อผู้อาวุโสหรือผู้นำตระกูล

เหยาซูรู้สึกว่าตัวเองถามตรงเกินไป เกรงว่าพี่สะใภ้ทั้งสองจะเข้าใจผิดจึงรีบอธิบาย “ข้าไม่ได้มีความหมายอื่นใด เพียงแต่รู้ว่าพี่สะใภ้ทั้งสองเป็นลูกของเศรษฐีในเมือง เคยอาศัยอยู่ในเรือนใหญ่โต ตอนนี้กลับอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ เข้าออกก็ไม่สะดวก ข้าแค่อยากรู้น่ะ! ไม่ต้องพูดถึงความไม่สะดวกและการดำรงชีวิตไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน อย่างไรเสียพี่ใหญ่และพี่รองของข้าต่างมีความสามารถในการหาเงินได้ ไม่มีทางทำให้ครอบครัวของตนลำบากแน่นอน”

เมื่อตอนที่พี่สะใภ้ทั้งสองแต่งงานเข้าตระกูลเหยามา ตอนนั้นเหยาซูมีนิสัยเย็นชาและเย่อหยิ่ง นางไม่เคยคบหาหรือพูดคุยกับพี่สะใภ้ทั้งสองมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าพี่สะใภ้ทั้งสองจะเข้าหาน้องสามีก่อน

พี่สะใภ้ใหญ่มีชื่อเต็มว่า เหมียวจวน บ้านของนางขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปและมีความสัมพันธ์อันดีกับร้านขายผ้าตระกูลเหยา นางจึงได้พบเจอกับเหยาเฟิงที่มีบุคลิกร่าเริงและเฉลียวฉลาด

พี่สะใภ้ใหญ่หวนรำลึกถึงความหลังและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ตั้งแต่พี่ใหญ่ของเจ้ามาที่บ้านของข้าหลายรอบ พวกเราต่างมีใจให้กัน หลังจากแต่งงาน ท่านพ่อและท่านแม่ก็เป็นคนดีมากเช่นกัน แน่นอนว่าข้าไม่มีความคิดที่จะแยกบ้านออกมา”

ส่วนพี่สะใภ้รองที่มีนิสัยร่าเริงพูดออกมาว่า “ข้าได้รับความช่วยเหลือจากพี่รองของเจ้า เขาเป็นคนดี เช่นนี้ข้าจะคิดไปที่ใดได้ ข้าแต่งงานกับเขา ไม่ว่าจะพบความลำบากอันใดก็จะยินดีอยู่กับเขาตลอดไป นอกจากนี้ครอบครัวของข้ายังเคยสืบหามาว่าบรรพบุรุษของตระกูลเหยาเป็นขุนนาง และเนื่องจากเขาไม่มีเจตนาที่จะลาออกจากตำแหน่งในราชการ แถมนิสัยของเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร”

สะใภ้ใหญ่พยักหน้าเห็นด้วย “นอกจากนี้ บัณฑิตของแคว้นเหยียนของเราก็ต้องมีที่พักที่เหมาะสม ตระกูลเหยาของเราเป็นครอบครัวใหญ่ในหมู่บ้านตระกูลเหยา ในเมื่อสามีของพวกเรายังคงอยู่ที่ตระกูลเหยาพวกเราเองก็จะอยู่ที่นั่นเช่นกัน ไม่มีอะไรที่น่าพอใจเท่ากับการได้อยู่กับคนที่เรารักหรอกนะ”

เมื่อเหยาซูได้ยินพี่สะใภ้อธิบายเช่นนี้ก็นึกถึงบทกวีหนึ่งขึ้นมา ‘ภูเขาไม่สูงมีเซียนสถิตเป็นใช้ได้ น้ำไม่ลึกมีมังกรก็นับว่าขลัง…’

เหตุผลที่ชายชราเหยาไม่ย้ายเข้ามาในเมืองก็เพราะความคิดที่สงบสุขของหลิวอวี๋ซี(1)

…………………………………………………………………………………..

กวีและนักปรัชญาสมัยราชวงศ์ถัง ผู้เขียนบทกวี “จารึกเรือนซอมซ่อ”

สารจากผู้แปล

มีคนสนับสนุนแบบนี้ดีจังเลยค่ะ กิจการรุ่งเรืองแน่นอน

ไหหม่า(海馬)