ตอนที่ 126 จุดเปลี่ยนของตระกูลฉินอยู่ที่

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 126 จุดเปลี่ยนของตระกูลฉินอยู่ที่…
Ink Stone_Romance
พระจันทร์เต็มดวงกลางฤดูใบไม้ผลิ
ใกล้ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ
ฉินปั๋วหงและคงอื่นๆ นั่งกอดเข่าเบียดกันเงยหน้ามองโคมลอยบนท้องฟ้าที่ประตูห้องเก็บฟืน
“เข้าสู่เทศกาลโคมไฟแล้ว”
เทศกาลโคมไฟและเทศกาลตรุษจีนของต้าเฟิง ผู้คนจะจุดโคมลอยเพื่อขอพรและระลึกถึง
พวกเขาเดินทางมาถึงจุดพักม้า เมื่อเห็นนักเดินทางที่จุดพักม้าคนอื่นๆ จึงนึกขึ้นได้ว่าถึงช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว หลังจากหาที่พักพิงได้พวกเขาก็ใช้เงินที่เหลืออยู่น้อยนิดแลกกับซาลาเปาเนื้อสองสามลูก นับว่าได้ฉลองเทศกาลแล้ว
“ท่านพ่อ ข้าคิดถึงท่านแม่ขอรับ” ฉินหมิงเยี่ยนซุกอยู่ในอ้อมแขนของฉินปั๋วหง สองพ่อลูกให้ความอบอุ่นซึ่งกันและกัน
ฉินปั๋วหงกอดเข่าพลางเอ่ย “พ่อรู้ ลำบากเจ้าแล้ว”
เขาลูบแขนบุตรชายที่อยู่ใต้เสื้อฝ้าย ผอมจนเหลือแต่กระดูก ยิ่งมองดูใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายก็เห็นว่าเต็มไปด้วยฝุ่นสกปรก ในใจอดนึกสงสารไม่ได้
“ลูกไม่ลำบากเลยขอรับ” ฉินหมิงเยี่ยนรีบเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นสายตาของบิดาก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง “ก็แค่คิดถึงบ้านนิดหน่อยขอรับ” บ้าน พวกเขายังมีบ้านอยู่อีกหรือ
หากนับบ้านหลังเก่าด้วยก็นับว่ายังมีบ้านอยู่หนึ่งหลัง แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสได้กลับไปหรือไม่
ฉินหมิงมู่ที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ไกลจากพวกเขาเห็นความอบอุ่นของท่านลุงและน้องชายลูกพี่ลูกน้องของเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปที่ฉินปั๋วกวงที่นอนตะแคงอยู่จึงอดขยับเข้าไปใกล้ไม่ได้
ฉินปั๋วกวงถูกทำให้ตกใจ เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นบุตรชายคนโตจากอนุ จึงถามว่า “มีอะไรหรือ”
ฉินหมิงมู่กล่าว “หากท่านพ่ออ่อนเพลีย ไม่สู้เข้าไปนอนในห้องเก็บฟืนจะดีกว่า ที่นี่ลมแรงขอรับ”
ฉินปั๋วกวงอ่อนเพลียเล็กน้อย หลายวันมานี้พวกเขาที่เป็นผู้ใหญ่ต้องคอยดูแลนายท่านผู้เฒ่า ดูแลเด็กน้อยอีกสองคน แล้วยังต้องรับมือกับนักโทษที่ถูกเนรเทศมาด้วยกันที่เอาแต่จ้องมองพวกเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้รับเสื้อผ้าฝ้ายหนาสำหรับกันหนาว จึงดึงดูดคนที่อยากได้เข้ามาปล้นพวกเขา หลายคนจำต้องลุกขึ้นต่อสู้ ตีกันไปหนึ่งยก ตอนนี้ใบหน้าของพวกเขายังปูดบวมอยู่เลย
ความระแวดระวังและความเหนื่อยล้าที่เพิ่มขึ้นทำให้ฉินปั๋วกวงเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ เพียงแต่ท่านพ่ออยากดูโคมลอยจึงอยู่เป็นเพื่อน
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ มีจดหมายมาจากทางบ้านขอรับ” ฉินปั๋วชิงถือห่อกระดาษมันกับน้ำเต้าหนึ่งลูกวิ่งมาอย่างรวดเร็ว ในมือยังกำจดหมายหนาๆ มาด้วย
เมื่อทุกคนได้ยินพลันลุกขึ้นทันที
“ท่านพ่อ” ฉินปั๋วหงพยุงมือนายท่านผู้เฒ่า
“เข้าไปในห้องก่อน” นายท่านผู้เฒ่าห้ามใจไว้แล้วหันหลังเดินเข้าไปในห้องเก็บฟืน
ภายในห้องเก็บฟืนมีเพียงโคมไฟหนึ่งดวงส่องสว่างอยู่ อย่างน้อยก็ยังขอโคมไฟมาได้ แต่พอถึงเวลานอนก็ต้องเป่าให้ดับก่อนเพื่อไม่ให้เกิดไฟไหม้
ทั้งหกคนเดินเข้าไปในห้องเก็บฟืน
ฉินปั๋วชิงวางของในมือลงแล้วจึงเอ่ย “ท่านพ่อ เมื่อครู่ข้าอยู่ข้างนอกช่วยกลุ่มพ่อค้าขนสินค้า พวกเขาจึงให้เหล้าหนึ่งเหยือกเป็นรางวัลแก่ข้า แล้วยังมีขนมไหว้พระจันทร์อีกหนึ่งห่อด้วย”
ฉินหยวนซานอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วหันมองฉินปั๋วกวงเปิดกระดาษห่อนั้น ขนมไหว้พระจันทร์ที่มีกลิ่นหอม เนื้อแวววาวสะท้อนกับแสงไฟปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา อดรู้สึกดีใจไม่ได้
เขาหันไปมองหลานชายทั้งสองคนที่กำลังกลืนน้ำลายอยู่ เอ่ยว่า “วันนี้เป็นเทศกาลโคมไฟ แบ่งให้ทุกคนคนละชิ้น พวกเราก็นับว่าได้ฉลองเทศกาลแล้ว”
ฉินปั๋วกวงยิ้มพลางแบ่งขนมไหว้พระจันทร์เป็นสองซีกคนละครึ่งชิ้น เมื่อเปิดเหยือกเหล้าก็ได้กลิ่นหอมฟุ้งขึ้นมา ลองจิบดูหนึ่งอึก ดวงตาเป็นประกายพลางกล่าวว่า “นี่คือเหล้าเซาเตาจื่อ[1] ท่านพ่อ ท่านลองจิบดูจะได้อุ่นท้อง ร่างกายจะได้อุ่นขึ้นขอรับ”
ฉินหยวนซานรับมาดื่มแล้วส่งต่อให้บุตรชายคนโต ก่อนจะกล่าวกับฉินปั๋วชิงว่า “รีบดูเถิดว่าทางบ้านเขียนจดหมายอะไรมา”
ฉินปั๋วชิงรอไม่ไหวตั้งนานแล้ว เขากัดขนมไหว้พระจันทร์ไปหนึ่งคำแล้ววางไว้บนขา ก่อนจะแกะจดหมายออกอ่าน อ่านไปอ่านมาเขาก็สะอึกสะอื้น อีกทั้งยังมือสั่น
ฉินหยวนซานเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ ดึงจดหมายมาอย่างไม่คิดแล้วอ่านอย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อ จดหมายว่าอย่างไรหรือขอรับ” ฉินปั๋วกวงยื่นหน้าเข้าไปดู
ฉินหยวนซานกลับยิ้มขึ้นก่อนจะเอ่ย “เป็นข่าวดี” เขาส่งจดหมายให้ฉินปั๋วหง ชี้ไปที่ฉินปั๋วชิงพลางกล่าวว่า “คนเป็นพ่ออย่างเจ้ากลับเอาแต่ตกใจอยู่ได้”
“ท่านพ่อ ข้า ข้าเป็นพ่อคนอีกแล้ว ภรรยาข้าคลอดบุตรชายฝาแฝดให้ข้า ข้ามีบุตรชายแล้วขอรับ” ฉินปั๋วชิงกระโดดโลดเต้น วิ่งไปรอบๆ ห้องเก็บฟืน ตะโกนหัวเราะเสียงดัง ทันใดนั้นก็นั่งยองๆ แล้วร้องไห้เสียงดัง “บุตรชายข้าเกิดในเดือนเจ็ดยังไม่ทันครบเดือน ซ้ำยังเป็นฝาแฝด ในจดหมายนางไม่ได้เอ่ยถึงความลำบากในการคลอดลูกแฝด แต่ข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องอันตราย ข้าเองที่ไร้ประโยชน์ ไม่ได้อยู่ข้างกายพวกนาง เป็นข้าที่ผิดต่อนาง”
เขานั่งก้มตัวแล้วตบหัวตัวเองอย่างแรงหลายครั้ง
ฉินหมิงมู่รีบดึงมือเขาไว้ เอ่ย “ท่านอาสาม ท่านก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ ท่านอาสะใภ้สามคลอดน้องชายทั้งสองคน ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนสุดท้ายทั้งแม่และเด็กก็ปลอดภัย ต้องดีใจจึงจะถูก และท่านยิ่งต้องดูแลตัวเองด้วย”
ฉินปั๋วชิงเงยหน้าขึ้น เช็ดน้ำมูกน้ำตาก่อนจะยิ้มพลางเอ่ย “ดีใจสิ ในใจข้ามีความสุขจะตาย”
ฉินปั๋วหงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้องสาม ยินดีกับเจ้าด้วยที่ได้บุตรชายฝาแฝด นี่นับเป็นพรที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลฉินเรา”
ฉินปั๋วชิงเกาหัวอย่างตื่นเต้น กล่าวว่า “จริงสิ สะใภ้กู้บอกว่าเป็นซีเอ๋อร์บุตรสาวคนโตของพี่ชายใหญ่ที่ช่วยนางทำคลอดจึงได้ช่วยชีวิตพวกนางสามคนแม่ลูกไว้ได้ พี่ชายใหญ่ ซีเอ๋อร์เป็นวิชาแพทย์ด้วยหรือขอรับ”
ฉินปั๋วหงก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อย บุตรสาวคนโตไม่ค่อยออกจากบ้าน เขาเองก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับบุตรสาว ฮูหยินเป็นคนคอยดูแลเรือนหลังมาโดยตลอด เขามัวแต่ยุ่งงานราชการ ย่อมไม่ค่อยรู้เรื่องของนางมากนัก จึงมีสีหน้าอึดอัดพลางกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมาก”
ทันใดนั้นฉินหยวนซานกล่าวขึ้นมาว่า “น่าจะเรียนกับนักพรตชื่อหยวน”
สองสามคนหันไปมอง ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ไม่เพียงแต่เป็นนักพรต ซ้ำยังรู้วิชาแพทย์ด้วยหรือ”
“สิบเต๋าเก้าวิชาแพทย์ ศิลปะห้าแขนงของเสวียนเหมิน วิชาแพทย์ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาจะรู้วิชาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ตอนที่เขาพาแม่หนูผู้นั้นไปในตอนนั้น ได้กล่าวว่าชะตาชีวิตของนางแปลกประหลาดแต่กลับมีจิตใจเป็นเต๋า เป็นคนเสวียนเหมินแต่กำเนิด” ฉินหยวนซานนึกถึงอดีตก่อนจะเอ่ยต่อ “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็จะไม่ปิดบังพวกเจ้า ความจริงแล้วตอนนั้นเขาเคยทำนายว่าตระกูลฉินเราจะเผชิญเคราะห์ภายในสิบปี มีเพียงแม่หนูซีเท่านั้นที่เป็นจุดเปลี่ยน”
ทุกคนพากันตกใจ พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“เรื่องการทำนายนั้นเลื่อนลอยเกินไป แม้ว่าข้ากับเขาจะเป็นสหายเก่ากัน แต่ก็ไม่กล้าเชื่อทั้งหมด ตอนนั้นร่างกายแม่หนูซีก็ไม่แข็งแรง สามวันดีสี่วันไข้ เมื่อนักพรตชื่อหยวนเอ่ยเช่นนั้น ข้าจึงปล่อยให้เขาพาแม่หนูซีกลับไปเลี้ยงที่บ้านเกิด” ฉินหยวนซานเล่าเรื่องราวในปีนั้น กล่าวต่อว่า “เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปสิบปีแล้ว เคราะห์กรรมที่พูดถึงยังไม่มา ข้าจึงถือว่าเขาทำนายไม่แม่นจึงได้ผ่อนคลายความระมัดระวัง ใครจะไปคิด…เฮ้อ เมื่อเคราะห์กรรมมาถึงจะหลีกอย่างไรก็หลีกไม่พ้น เป็นข้าที่ทำให้ตระกูลฉินเดือดร้อน ทำให้พวกเจ้าติดร่างแหไปด้วย”
“ท่านพ่อ ท่านเอ่ยอะไรกันขอรับ” ฉินปั๋วหงเอ่ย “ทำให้เดือดร้อนอะไรกัน ทุกคนต่างก็เป็นคนตระกูลฉิน รุ่งเรืองก็รุ่งเรืองด้วยกัน สูญเสียก็สูญเสียด้วยกัน ท่านอย่าได้เอ่ยเช่นนี้เด็ดขาดนะขอรับ”
“ใช่แล้ว ท่านปู่ โชคดีแค่ไหนที่ผู้ที่ถูกเนรเทศเป็นบุรุษอย่างพวกเรา บรรดาสตรียังสามารถกลับบ้านเก่าได้ มีที่ให้พักพิง แม้ว่าชีวิตจะขมขื่นบ้าง แต่อย่างน้อยครอบครัวก็ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา” ในเวลานี้จู่ๆ ฉินหมิงมู่ก็กล่าวขึ้นมา
ฉินหยวนซานรู้สึกซึ้งใจอย่างมาก เอ่ยชื่นชม “เจ้ารู้ความแล้ว”
เมื่อฉินหมิงมู่ได้รับคำชมก็แอบบีบกำปั้นด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
ฉินหยวนซานกล่าวต่อว่า “เคราะห์กรรมสิบปีมาถึง ตระกูลฉินของพวกเราล้มลงจริงๆ ซ้ำสะใภ้กู้ตกใจจนกระทบกระเทือนทำให้คลอดก่อนกำหนด เป็นแม่หนูซีที่คอยประคองไว้ ตรงกับคำทำนายของนักพรตเฒ่าผู้นั้นทั้งหมด ตอนนี้ทุกอย่างเกิดขึ้นตามที่เขาพูด จุดเปลี่ยนของตระกูลฉินเราคงขึ้นอยู่กับแม่หนูซีเอ๋อร์ผู้นี้แล้ว!”
ฉินหยวนซานกล่าวต่อว่า “เคราะห์กรรมสิบปีมาถึง ตระกูลฉินของพวกเราล้มลงจริงๆ ซ้ำสะใภ้กู้ตกใจจนกระทบกระเทือนทำให้คลอดก่อนกำหนด เป็นแม่หนูซีที่คอยประคองไว้ ตรงกับคำทำนายของนักพรตเฒ่าผู้นั้นทั้งหมด ตอนนี้ทุกอย่างเกิดขึ้นตามที่เขาพูด จุดเปลี่ยนของตระกูลฉินเราคงขึ้นอยู่กับแม่หนูซีเอ๋อร์ผู้นี้แล้ว!”
ฉินหมิงเยี่ยนกัดขนมไหว้พระจันทร์คำเล็กๆ เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็ประหลาดใจเล็กน้อย หากพี่หญิงใหญ่ของเขาเป็นจุดเปลี่ยนจริงๆ เช่นนั้นนางก็คือผู้นำความโชคดีมาให้แก่ตระกูลฉิน ไม่รู้ว่านางหน้าตาและนิสัยเป็นอย่างไร
ฉินปั๋วหงกลับเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ ซีเอ๋อร์ก็เป็นแค่เด็กผู้หญิง หากจะบอกว่าเป็นจุดเปลี่ยนของตระกูลเรา เกรงว่าคงค่อนข้างฝืนใจผู้อื่น ไม่แน่นักพรตเฒ่าชื่อหยวนอาจจะแค่ปลอบท่านก็ได้”
“ข้าย่อมยอมให้เขาปลอบข้า” ฉินหยวนซานกัดขนมไหว้พระจันทร์ เคี้ยวอย่างละเอียดแล้วกลืนลงไปก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้าดูสิตลอดทางที่พวกเราถูกเนรเทศ แม้ว่าจะลำบาก แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ก็นับว่าดีกว่า ได้รับความช่วยเหลือจากผู้สูงศักดิ์ถึงสองครั้ง ราวกับว่ามีคนแอบขอให้ทำเช่นนั้น พวกเจ้าว่าเป็นใครกัน”
“หรือว่าเป็นญาติฝ่ายสะใภ้ของพวกเรา” ฉินปั๋วกวงกล่าว
“หากเป็นญาติฝ่ายสะใภ้ก็คงเผยตัวตนไปนานแล้ว” ฉินหยวนซานถอนหายใจพลางเอ่ย “ตอนนี้จะถึงตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว ยังไม่เห็นญาติฝ่ายสะใภ้ผู้นั้นปรากฏตัวเลย เกรงว่าพวกเขาคงไม่อยากถูกสงสัยไปด้วย”
ทุกคนพากันเงียบ
ฉินปั๋วกวงกัดฟันอย่างโกรธแค้น เอ่ยว่า “ต้องเป็นนางสนมปีศาจผู้นั้นที่คอยชักลมฝนในเมืองหลวงแน่ๆ ข้าล่ะอยากสังหารทิ้งให้หมด”
“เจ้ารอง!” ฉินหยวนซานกล่าวเตือน “เจ้าสงบเสงี่ยมคำพูดคำจาไว้บ้าง ตอนนี้พวกเราตกอับ หากให้คนจับจุดอ่อนอีก เกรงว่าเมื่อไปถึงตะวันตกเฉียงเหนือจะยิ่งลำบาก ข้าที่เป็นพ่อของเจ้าก็เสียเพราะปาก แค่ก แค่ก…”
เมื่อเห็นว่านายท่านผู้เฒ่าสำลัก ฉินปั๋วหงจึงรีบลูบหลังเขาในทันที ไม่ทันได้สนใจอะไรนักยกเหยือกเหล้าขึ้นมาให้เขาจิบหนึ่งอึก
ฉินหยวนซานผ่อนคลายลง ทอดถอนใจว่า “สรุปแล้ว จากนี้ไปเราต้องระมัดระวังคำพูดและการกระทำ ในวันข้างหน้าหากสวรรค์มองเห็นย่อมได้กลับไปยังราชสำนักอีกครั้ง”
เขาเอ่ยอย่างปล่อยวาง แต่หลายคนกลับคิดไม่ตกอยู่บ้าง มันง่ายเพียงนั้นเลยหรือ แม้จะได้รับอภัยโทษก็คงจะได้กลับบ้านเดิมเท่านั้นกระมัง
กลับคืนสู่ราชสำนัก เรื่องไกลตัวเช่นนี้ ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
ทุกคนเงียบไปอยู่พักหนึ่ง กินขนมไหว้พระจันทร์ก็ไม่มีรสชาติแล้ว
เรือนเดี่ยวขนาดเล็กในจุดพักม้า
ผู้ดูแลคนหนึ่งยกถ้วยชามาให้เจ้านายของตนพร้อมรายงานเรื่องราวต่างๆ อย่างนอบน้อม
“นายท่าน อีกไม่กี่วันก็จะถึงด่านหยางแล้ว เช่นนั้นเมื่อตระกูลฉินเดินทางเข้าสู่ด่านแล้วก็ต้องหาที่พักเอง ข้าเห็นว่าพวกเขาทั้งผู้ใหญ่และเด็กเจ็บป่วยกันจนเหลือเงินไม่มากเท่าไหร่แล้ว พวกเราไม่ต้องดูแลแล้วหรือขอรับ” จ้าวชางส่งชาให้ จากนั้นจึงยืนกุมมืออยู่ด้านข้าง มองไปยังชายผู้มีจมูกโค้งงุ้ม
หากตระกูลฉินอยู่ที่นี่ด้วยคงจำได้ว่า เคยมีวาสนาได้เจอกับคนผู้นี้หนึ่งครั้งที่จุดพักม้าก่อนหน้านี้
กงปั๋วเฉิง หัวหน้าสมาคมค้าขายของต้าเฟิง เขาขยายกิจการไปทั่วต้าเฟิง แม้กระทั่งแคว้นเล็กๆ บริเวณรอบๆ ก็ร่วมลงทุนด้วย เรียกได้ว่าเป็นบุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในต้าเฟิงแล้ว
“นางบอกว่าไม่ต้องเตรียมให้เพียบพร้อม เช่นนั้นก็ไม่ต้องแล้ว รักษาชีวิตไว้ได้ก็พอ เมื่อถึงด่านหยางค่อยดูว่าพวกเขาจะทำอย่างไร” กงปั๋วเฉิงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ใบหน้าแข็งกระด้างแฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น เอ่ย “ไปซินจิงหลี่ ให้เสวี่ยอิงแสดงตัว ได้เวลาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแล้ว จะปล่อยให้คนเดียวครองตำแหน่งไม่ได้ เมื่อตระกูลเหมิงมีปัญหาก็จะไม่สนใจฝั่งตระกูลฉิน”
“ขอรับ” จ้าวชางยกมือขึ้นคำนับ คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “นายท่าน เกรงว่าคุณหนูใหญ่จะไม่ได้เกลียดชังตระกูลฉิน มิเช่นนั้นไยจึงได้ทำถึงเช่นนี้”
“ความเกลียดชังเป็นสิ่งที่สมควร ตระกูลฉินก็ไม่ได้ดีกับนางเท่าไหร่ แต่ข้าคิดว่าคนอย่างนางคงจะไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น จึงไม่ได้ใส่ใจความเคียดแค้น หรือไม่ก็ไม่เคียดแค้นเพราะมันเปลืองแรง” กงปั๋วเฉิงนั่งเล่นหยกอุ่นในมือ หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “นางเพียงไม่ได้สนใจ”
สิ่งที่ไม่ได้สนใจ หรือแม้กระทั่งคน ย่อมทิ้งได้ทุกเมื่อ
[1] เซาเตาจื่อ (烧刀子) ชื่อเหล้าจีนที่มีความเข้นข้นของแอลกอฮอลล์อยู่ที่ 65% 烧แปลว่าเผาไหม้ 刀子แปลว่ามีด ชื่อนี้ได้มาเพราะ เวลาดื่มแล้วร้อนแสบคอเหมือนกลืนมีดร้อนๆลงไป
โหมดอ่านต่อเนื่อง
เมื่อเข้าสู่หน้านิยายที่ถูกล็อกด้วยเหรียญระบบจะใช้เหรียญปลดล็อกตอนต่อไปโดยอัตโนมัติ
อ่านเพิ่มเติม