ชิงโฉวมิใช่สาวใช้ธรรมดาทั่วไป
นางถูกส่งตัวมาที่สกุลหวัง ก็เพื่อปกป้องคุ้มครองสตรีสกุลหวัง ดังนั้นก่อนเข้าตระกูลหวังนางเคยผ่านการฝึกฝนแบบพิเศษมาก่อน เรื่ององครักษ์นี้ นางมีวิธีจัดการและประเมินสถานการณ์ของตัวเอง
แม้นมีการเฝ้าระวังอย่างแน่นหนา นางกล่าว แต่สีหน้าขององค์รักษ์กลับดูผ่อนคลายยิ่ง พวกเขาน่าจะระวังแค่เรื่องคนเข้าออกศาลากวางร้องเท่านั้น คล้ายกับมีบุคคลสำคัญพักผ่อนอยู่ในนั้น
หวังซีครุ่นคิด พลางกล่าว วันนี้มีคนจากวังหลวงมา เบื้องหน้ามีองค์ชายมาร่วมงานหลายพระองค์ แต่ผู้ใดจะกล้ารับประกันว่ามาเพียงเท่านั้นจริงๆ แต่เดิมศาลากวางร้องเป็นเรือนของเฉินลั่ว หากมีคนอยากไปดูเรือนที่เขาพักอยู่สักหน่อย การที่มีคนเฝ้าศาลากวางร้องเอาไว้ นั่นก็เป็นอะไรที่เป็นเหตุเป็นผลเข้าใจได้
ชิงโฉวพยักหน้าหงึกๆ กล่าวว่า ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าควรจะทดสอบองครักษ์เหล่านั้นดูดีหรือไม่ ภายหลังคิดๆ แล้ว บางเรื่องสู้ไม่รู้ไปเลยจะดีกว่า นอกจากนี้ข้าดูแล้วองครักษ์เหล่านั้นดูแปลกๆ เล็กน้อย บอกว่าเป็นคนของกองทัพ แต่ดูไม่ค่อยมีกฎระเบียบเท่าไรนัก แต่หากบอกว่าเป็นคนที่เชิญมาส่วนตัว เสื้อผ้าและอาวุธนั่นก็ดูดีมากเกินไป
กองทัพที่เคลื่อนไหวอยู่ในจิงเฉิงได้ คงมีแค่กองพลส่วนพระองค์ของราชวงศ์เท่านั้น คนเช่นนี้เป็นคนที่ถูกตรวจสอบมาแล้วสิบแปดชั่วโคตร มิใช่คนที่ก่ออาชญากรรมหรือกระทำผิดกฎหมายอย่างแน่นอน ในด้านมารยาทการวางตัวนั้นพวกเขาก็มีข้อกำหนดอื่นบางประการ ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือแค่มองก็สัมผัสได้แล้วว่าเด็ดเดี่ยวซื่อตรง ดูอยู่ในกฎระเบียบมากเป็นพิเศษ จดจำได้ง่ายเป็นอย่างยิ่ง ชิงโฉวบอกว่าพวกเขาไม่ค่อยมีระเบียบสักเท่าไร แสดงว่าลักษณะไม่ถึงมาตรฐานที่กำหนดไว้ เป็นไปไม่ค่อยได้ที่จะได้อยู่ในกองพลส่วนพระองค์ของราชวงศ์ ต้องรู้ว่า ในพระราชกฤษฎีกามีกฎข้อหนึ่งว่า ‘ต่อหน้าราชบัลลังก์ห้ามเสียมารยาท’ ถึงขั้นทำให้จิ้นซื่อถูกคุมขังในคุกหลวงได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขุนนางฝ่ายทหารในกองทัพแล้ว
ส่วนเรื่องเสื้อผ้าและอาวุธ นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว
แม้แต่ม้ายังอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพ หากตระกูลโหว ป๋อ และกั๋วกงค้นพบอาวุธสิบกว่าชิ้นก็ควบคุมตัวเจ้าในข้อหา ‘วางแผนก่อกบฏ‘ ได้แล้ว ผู้ใดจะกล้าแอบพกอาวุธกัน?
แต่บนโลกใบนี้มิใช่ว่ายังมีเรื่องที่เรียกว่า ‘ข้อยกเว้น’ อยู่หรือ
ในเมืองหลวงมีผู้ทรงอิทธิพลมากมายดุจสุนัข คาดว่า ‘ข้อยกเว้น’ ประเภทนี้ก็คงมีมากเป็นพิเศษเช่นกัน
หวังซีวางใจลงมา ไม่ได้คิดอะไรมาก
ผู้ใดจะรู้ว่าตระกูลทรงอิทธิพลเหล่านั้นกำลังคิดอะไรกันอยู่
ต่อให้องครักษ์เหล่านี้มีปัญหาไม่ชอบมาพากล เกิดเรื่องขึ้น นั่นก็เป็นเรื่องของจวนจ่างกงจู่และจวนเจิ้นกั๋วกง นางก็แค่เพื่อนบ้านมาดูความครึกครื้นผู้หนึ่งเท่านั้น
หวังซีถามชิงโฉว นอกจากศาลากวางร้องแล้วเจ้ายังได้ไปที่อื่นอีกหรือไม่ เจ้าลองคิดให้ละเอียด
ชิงโฉวกับหงโฉวมีวิธีติดต่อแบบลับเฉพาะถึงกันที่ลับเฉพาะอยู่ วิธีนี้ได้รับการสืบทอดต่อกันมาหลายร้อยปีในหมู่บ้านฐานที่มั่นของพวกนาง ปีนั้นเพื่อขึ้นเขาไปสู้กับสัตว์ร้าย กลัวว่าคนในเผ่าจะพลัดหลงกันจึงนำวิธีดังกล่าวมาใช้ ต่อมาก็นำมาใช้เพื่อหลบเลี่ยงการปิดล้อมของผู้มีอำนาจเหล่านั้น ไม่ต้องพูดถึงสกุลหวัง แม้แต่ระหว่างแต่ละฐานที่มั่น ก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าแต่ละคนใช้วิธีการลับเฉพาะอะไรบ้าง
นี่ก็เป็นเหตุผลที่หวังซีให้หงโฉวเป็นคนไปตามหาชิงโฉว
ชิงโฉวคิดย้อนกลับไปอย่างเอาจริงเอาจังหลายรอบ กล่าวด้วยความมั่นใจว่า ไม่มีเจ้าค่ะ! ข้าไม่ได้ไปที่อื่น!
หวังซีกล่าว บางทีนางอาจรอจนร้อนใจก็เลยคลาดกับเจ้า เจ้าลองไปหาดูอีกหนึ่งรอบ ถ้าหากยังหาไม่เจอ พวกเราค่อยปรึกษากันอีกทีว่าควรทำอย่างไรกันดี
บางเรื่อง ไม่อาจรีบร้อน ยิ่งรีบก็ยิ่งเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย
ชิงโฉวพยักหน้า ทั้งสองคนแยกย้ายกันไป ผู้หนึ่งไปตามหาหงโฉว อีกผู้หนึ่งกลับไปที่อาคาร
บนอาคารคุณหนูรองอู๋และคนอื่นๆ กำลังเบียดกันอยู่ตรงหน้าต่างถือกล้องส่องทางไกลส่องดูเบื้องล่างอยู่ ได้ยินความเคลื่อนไหวก็รู้ว่าหวังซีขึ้นมาแล้ว ฉังเคอรีบหันมากวักมือเรียกนาง กล่าวว่า เร็วเข้า เร็วเข้า เจี่ยเฝิง!
ชั่วขณะนั้นหวังซียังไม่เข้าใจ
ลู่หลิงยิ้มร่ากล่าวว่า พี่สาวหวัง องค์หญิงฟู่หยางกำลังคุยกับเจี่ยเฝิงอยู่
นี่…นี่เป็นการกระทำที่ผิดกฎมิใช่หรือ
ทั้งสองคนช่างไร้หัวคิดเกินไปแล้วกระมัง
ต่อให้เป็นการพบหน้า ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกเวลานี้ ผู้คนมากหน้าหลายตา ถูกพบเห็นได้ง่ายนัก
อย่างไรก็ตาม โอกาสเช่นนี้หาได้น้อยยิ่งนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสิ่งที่รู้มาจากคำบรรยายของฉังเคอแล้ว คุณชายสี่เจี่ยเฝิงของจวนเซียงหยางโหวท่านนี้ก็เป็นบุรุษรูปงามท่านหนึ่ง และจนถึงบัดนี้นางก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอองค์หญิงฟู่หยางมาก่อน หวังซีจึงยิ่งอยากรู้มากขึ้น
นางวิ่งฉิวเข้าไป ยังกล่าวด้วยว่า พวกเจ้าเจอได้อย่างไร คงมิใช่เพราะมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังหรอกกระมัง นี่หากซูเฟยเหนียงเหนียงทราบเรื่อง เกรงว่าคงยากที่จะหนีพ้น
นางคิดว่า ถ้าไม่มีคนคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ต่อให้องค์หญิงฟู่หยางอยากพบหน้าเจี่ยเฝิงก็เป็นเรื่องยาก
คุณหนูรองอู๋และคนอื่นๆ ได้ยินแล้วเอาแต่หัวเราะใส่นางไม่หยุด สายตาที่มองนางคล้ายกับนางเป็นคนโง่งมก็ไม่ปาน
หวังซีหัวใจปั่นป่วน
หรือว่าในเรื่องนี้ยังมีเรื่องลับลมคมในอะไรซ่อนอยู่อีก
ไม่รอให้นางถามให้ละเอียด คุณหนูรองอู๋ก็ดึงนางไปที่หน้าต่าง ยัดกล้องส่องทางไกลใส่มือของนางด้วย ชี้ไปยังต้นตั๊กแตนต้นใหญ่ทางทิศตะวันออกด้านล่างอาคารพลางกล่าว อ่ะ คนที่สวมอาภรณ์สีแดงคือฟู่หยาง ส่วนคนที่สวมชุดสีน้ำเงินคือเจี่ยเฝิง
โอกาสอันหาได้ยากยิ่ง หวังซีเองก็ไม่มีเวลาคิดอะไรมาก ยกกล้องส่องทางไกลเขย่งเท้าขึ้นโน้มตัวออกไปนอกหน้าต่าง
ดวงหน้าของเจี่ยเฝิงถูกกิ่งไม้บดบังเอาไว้ เห็นไม่ชัดเจนนัก แต่รูปร่างสูงสง่า นิ้วมือที่โผล่พ้นแขนเสื้อออกมาเรียวยาวขาวเนียน สละสลวยยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าเจี่ยเฝิงท่านนี้มีกิริยามารยาทที่ค่อนข้างโดดเด่น ส่วนองค์หญิงฟู่หยางที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับเจี่ยเฝิงนั้น รูปร่างสูงปานกลาง ดวงหน้ากลม ผิวขาวอมชมพู เส้นผมดำสลวยเงางาม หากอยู่เพียงลำพังก็ดูเป็นเด็กสาวที่หน้าตาดีผู้หนึ่ง แต่ถ้าอยู่รวมกับสตรีชั้นสูงที่งดงามดุจก้อนเมฆ ก็ดูธรรมดามากเกินไป
ไม่รู้ว่านางหน้าตาคล้ายผู้ใด
ขณะที่หวังซีพึมพำกล่าวกับตัวเองอยู่นั้น ก็เห็นเจี่ยเฝิงโบกมือ ถอยหลังติดๆ กันหลายก้าว จากนั้นกระซิบกล่าวอะไรสองสามประโยค
องค์หญิงฟู่หยางฟังแล้วดวงหน้าพลันเปลี่ยนสี ใบหน้าอมชมพูซีดเผือด
ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากันอีกครู่หนึ่ง เจี่ยเฝิงทำความเคารพองค์หญิงฟู่หยาง แล้วหมุนกายจากไป
หวังซีมองหน้าเขาจากด้านข้าง
ดวงหน้างามดุจหยก จมูกโด่งคิ้วกระบี่ รูปคางประณีตงดงามและดูอบอุ่น เป็นบุรุษรูปงามดั่งหยกสลักผู้หนึ่ง
เขากับเฉินลั่วเป็นคนสองประเภทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
องค์ชายสี่เองก็ได้ชื่อว่ารูปงาม ไม่รู้ว่าจะโดดเด่นเฉกเช่นเดียวกับเจี่ยเฝิงหรือไม่
หวังซีมองตามเงาร่างของเจี่ยเฝิงไป กระทั่งเขาหายลับไปจากดงไม้เขียวขจี
มององค์หญิงฟู่หยางอีกครั้ง ท่าทางนางคล้ายกับถูกตีมาอย่างรุนแรง ดวงหน้าตกตะลึง หยดน้ำตาขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลพรั่งพรูออกมาจากกระบอกตา
ทันใดนั้นซือจูวิ่งเข้ามาจากที่ไหนก็ไม่ทราบได้ กอดองค์หญิงฟู่หยางเอาไว้
องค์หญิงฟู่หยางซบไหล่ของนางร้องไห้โฮออกมา
ซือจูมองไกลออกไปตามทิศทางที่เจี่ยเฝิงจากไป สีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง
นี่…
หวังซีรีบยื่นกล้องส่องทางไกลส่งให้คุณหนูรองอู๋ กล่าวว่า เจ้าดู! คงมิใช่ว่าเจี่ยเฝิงปฏิเสธองค์หญิงฟู่หยางหรอกกระมัง
คุณหนูรองอู๋หยิบกล้องส่องทางไกลส่องมองไปยังเบื้องล่างไปด้วย แสยะยิ้มเย็นกล่าวไปด้วยว่า ซูเฟยมองโอรสธิดาสองสามคนของตัวเองเป็นดั่งขนมหวานที่ทุกคนโปรดปราน แต่ไม่คิดเสียบ้างว่าตราบใดที่ฮ่องเต้ยังไม่แต่งตั้งรัชทายาท ผู้อื่นย่อมไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับพวกนาง ดีร้ายเจี่ยเฝิงก็เป็นบุตรหลานจากตระกูลที่มีคุณูปการต่อแผ่นดิน ถึงแม้เขาต้องการรนหาที่ตาย ก็ไม่กล้าพาคนทั้งตระกูลไปตายด้วยกันหรอก!
หวังซีชื่นชมเจี่ยเฝิง เป็นครั้งแรกที่เห็นตรงกันกับฉังเคอ รู้สึกว่าเจี่ยเฝิงเองก็เป็นบุรุษรูปงามที่พบเห็นได้ยากยิ่งผู้หนึ่ง เช่นนั้นเขาก็ไม่เลวเลยทีเดียว!
เพียงแต่ว่าคำพูดของนางเพิ่งจบลง ลู่หลิงก็ยื่นแขนออกมาหมายจะคว้ากล้องส่องทางไกลจากคุณหนูรองอู๋ เจ้ารีบให้ข้าดูสักหน่อยว่าเจี่ยเฝิงปฏิเสธฟู่หยางจริงหรือไม่ เขาเป็นบุตรชายคนรองของครอบครัว หากแต่งกับองค์หญิงได้ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่นา! ฟู่หยางนิสัยดีมาก นอกจากนี้ซูเฟยเหนียงเหนียงก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เหตุใดเขาต้องปฏิเสธด้วย ไม่กลัวซูเฟยเหนียงเหนียงขุ่นเคืองหรือ
หวังซีได้ยินแล้วเกือบจะล้มลง ถามด้วยความประหลาดใจว่า เจ้าว่าอะไรนะ ซูเฟยเหนียงเหนียงเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้อย่างนั้นหรือ!
คุณหนูรองอู๋ส่งกล้องส่องทางไกลให้ลู่หลิง ลู่หลิงหันไปดูองค์หญิงฟู่หยางกับซือจูอย่างอดรนทนไม่ไหวไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า แน่นอน! หาไม่เจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ไหนกัน หากไร้การยินยอมของซูเฟยเหนียงเหนียง เจ้าคิดว่าเจี่ยเฝิงจะเข้ามาถึงที่นี่ได้หรือ หากมิใช่เพราะซูเฟยเหนียงเหนียงเป็นคนทำเรื่องนี้ พวกข้าจะเรียกเจ้ามาดูด้วยความตื่นเต้นตกใจเพื่ออันใด
เอาล่ะ นางคิดตื้นเขินเกินไปจริงๆ
หวังซีไม่รู้จะตอบอะไร เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ว่า แล้วคุณชายสี่สกุลเจี่ยดีเพียงนั้นจริงๆ หรือ ซูเฟยเหนียงเหนียงถึงกับต้องทำถึงขนาดนี้
ในมุมมองของนาง หากซูเฟยเหนียงเหนียงถูกใจเจี่ยเฝิงจริงๆ อย่างมากก็ไปคุยกับฮ่องเต้โดยตรง ให้ฮ่องเต้มอบสมรสพระราชทานให้ การให้คนทั้งสองลักลอบมาพบกันเช่นนี้ นอกจากทำให้คนเอาไปติเตียนแล้ว ยังไร้เกียรติเป็นอย่างมากด้วย มิใช่สิ่งที่คนเป็นพระชายาสมควรกระทำเลย
คุณหนูรองอู๋กล่าวโดยไม่ต้องคิดว่า คิดๆ ดูก็รู้แล้ว ต้องเป็นเพราะฮ่องเต้ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน! แล้วก็ส่ายศีรษะอย่างเห็นใจ นับว่าเจี่ยเฝิงโชคร้ายแล้วที่ถูกลากเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานของฟู่หยาง ต่อให้เขาปฏิเสธองค์หญิงฟู่หยางอย่างสุภาพไปแล้วก็ตามจริง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องให้ซูเฟยเหนียงเหนียงยินยอมด้วย ยิ่งไปกว่านั้นซูเฟยเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยเช่นนี้ หากฟู่หยางยังไม่ได้ออกเรือน ครอบครัวของพวกเขาไหนเลยจะกล้าให้เขาหมั้นหมาย จากนั้นนางถามฉังเคอว่า เจี่ยเฝิงเองก็น่าจะสิบแปดปีแล้วกระมัง
ฉังเคอส่ายศีรษะ กล่าวว่า ปีนี้เขาอายุสิบเจ็ดปี ข้าจำได้ว่าเขาปีเดียวกับพี่ชายห้าของข้า
นี่ก็แปลกเกินไปแล้ว
หวังซีกล่าว มิใช่ว่าควรจะหว่านแหให้กว้างหรอกหรือ มีเจี่ยเฝิงมาเพียงคนเดียวหรือ
ถ้าหากได้เจอองค์ชายสี่ด้วยก็คงดี
คุณหนูรองอู๋ได้ยินแล้วตะลึงงัน จากนั้นหัวเราะเสียงดังขึ้นมา กล่าวว่า เจ้าดู แม้แต่เจ้ายังรู้ว่าต้องหว่านแหให้กว้างเลย คิดแล้วซูเฟยเหนียงเหนียงช่างมีความคิดคับแคบนัก คนเช่นนี้ไม่รู้จักก็แล้วไป ยังหยอกเย้านางอีกว่า แต่ว่า เจ้ายังอยากเจอผู้ใดอีกหรือ พวกเขาล้วนชมงิ้วอยู่ที่ศาลากระแสงนกขมิ้น เจ้าใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูได้
ไกลเกินไป มองอะไรไม่ชัดนัก
หวังซีเสียดายเล็กน้อย
หากรู้แต่แรกว่าคุณหนูรองอู๋เอากล้องส่องทางไกลมา นางก็น่าจะเอากล้องส่องทางไกลมาด้วย ไม่แน่อาจได้เห็นว่าองค์ชายหลายพระองค์นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไรจริงๆ ก็เป็นได้
ความคิดวาบผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ด้านลู่หลิงกระซิบเรียกเบาๆ พวกเจ้ารีบมาดู! เฉินอิงมา ซูเฟยเหนียงเหนียงคงไม่เรียกเขามาด้วยอีกคนหรอกกระมัง เขาอายุมากกว่าฟู่หยางตั้งหลายปี ปกติฟู่หยางก็ไม่ค่อยสนใจเขาสักเท่าไรด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเฉินอิงเป็นบุตรชายคนโต เจิ้นกั๋วกงไม่มีทางให้เขาแต่งกับองค์หญิงอย่างแน่นอน
เฉินอิงหรือ ไม่รอให้หวังซีกับคุณหนูรองอู๋ตอบ ฉังเคอก็กล่าวอย่างยินดีขึ้นมาก่อน เขามาได้อย่างไร ขณะที่กล่าวก็วิ่งไปยืนข้างๆ ลู่หลิง รีบให้ข้าดูสักหน่อย ข้าไม่ได้เจอคุณชายใหญ่สกุลเฉินมาหลายปีแล้ว ให้ข้าดูหน่อยว่าตอนนี้เขาหน้าตาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
ลู่หลิงยื้อแย่งกับนางไม่ไหว ส่งกล้องส่องทางไกลให้ฉังเคอ
หวังซีเองก็ขยับเข้าไปใกล้ด้วย
นางเองก็อยากดูว่าเฉินอิงหน้าตาเป็นอย่างไร
มีเพียงคุณหนูรองอู๋พึมพำกล่าวเสียงเบาอยู่ด้านข้างว่า เจตนาของซูเฟยเหนียงเหนียงอยู่ที่ใดกันแน่ นี่นางอยากให้ฟู่หยางได้หมั้นหมายหรืออยากใช้ประโยชน์จากการแต่งงานเพื่อสะสมคนกันแน่
คุณหนูรองอู๋ขบคิดครั้งแล้วครั้งเล่าก็คิดไม่ตก
เฉินอิงยังดีหน่อย สุดท้ายแล้วก็เป็นบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกง เป็นลูกเลี้ยงของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ ยังได้รับการดูแลจากฮ่องเต้ หลายปีมานี้ได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว เป็นรองแค่เฉินลั่วเท่านั้น แต่จวนเซียงหยางโหวนั้น ที่ผ่านมาเนิ่นนานหลายปีล้วนดำเนินชีวิตโดยอาศัยประโยชน์จากทั้งซ้ายและขวา ตระกูลเช่นนี้พูดกันตรงๆ ก็คือหญ้าบนยอดกำแพง อยากได้มากเท่าไรก็มีมากเท่านั้น เกี่ยวดองกับตระกูลเช่นนี้ มีอะไรดีกัน?
…………………………………………………………………..
ตอนต่อไป