ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ผมนากามูระ มาตามที่ถูกเรียกไว้แล้วครับ!”
นากาที่รีบวิ่งมาจนถึงห้องสภานักเรียนนั้นได้เคาะประตูพร้อมกับพูดรายงานตัวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุภาพและยืนตรงรอคำตอบของไดเอน่าอยู่ที่หน้าประตูอย่างเกร็งๆ ก่อนที่เสียงของไดเอน่าจะดังขึ้นมาจากภายใน
“เข้ามาได้เลยจ้ะ!”
“ครับ! ขออนุญาตนะครับ”
“หึหึ~ ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้นะนากาคุง~ ฉันเคยบอกแล้วนี่ว่าให้คิดซะว่าฉันเป็นเพื่อนนักเรียนของเธอก็ได้น่ะ”
ไดเอน่าที่เห็นนากาเดินตัวตรงเข้ามาด้วยท่าทางเหมือนกับอัศวินฝึกหัดที่พยายามทำตัวให้ถูกต้องตามตำรานั้นถึงกับต้องยกมือขึ้นมาป้องปากหัวเราะคิกคักกับท่าทางของเขาและพูดออกมาด้วยความขบขันต่างจากเด็กสาวในมาดประธานนักเรียนสุดเคร่งขรึมที่เธอแสดงออกต่อหน้าทีออสและเดริคอย่างกับเป็นคนละคนกันจนทำให้นากาถึงกับทำตัวไม่ถูกไปเล็กน้อย
“อ…อ่า… ถ้าเธอว่าอย่างงั้นละก็นะ”
“แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะนากาคุง? เตรียมตัวพร้อมสำหรับการเปิดภาคเรียนหรือยังเอ่ย?”
“อ–อื้อ ก็น่าจะพร้อมแล้วล่ะ… มั๊ง…”
“หืม? มั้งหรอ?”
ไดเอน่าที่ได้ยินนากาตอบกลับมาเสียงสูงแถมยังพยายามหลบตาเธออีกนั้นถึงกับต้องเลิกคิ้วและถามเขากลับไปด้วยความสงสัย จนทำให้นากาได้แต่พยายามพูดจาบ่ายเบี่ยงออกมา
“ก–ก็แบบว่าช่วงนี้มันยุ่งๆ ใช่มั้ยล่ะ… เพราะก่อนหน้านี้พวกฉันก็ต้องมานั่งซ่อมบ้านกันแล้วไหนจะยังต้องเดินทางไปกราวิทัสมาอีกน่ะ…”
“อื้อ? แล้วมันทำไมหรอนากาคุง?”
“ก็แบบว่า…”
“แบบว่า?”
ท่าทางลังเลอย่างเห็นได้ชัดของนากานั้นทำให้ไดเอน่าต้องยกมือขึ้นมาประสานกันเอาไว้ด้วยมาดประธานนักเรียนอีกครั้งและจ้องมองเขาเหมือนกับจะบอกว่าถ้าเขายังไม่ยอมพูดออกมาตรงๆ เธอก็จะไม่มีทางยอมปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นก็ทำให้นากาต้องยอมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ้อมๆ แอ้มๆ ในทันที
“ก–ก็… เธอพอจะบอกฉันได้หรือเปล่าว่าวันเปิดภาคเรียนมันวันไหนกันแน่น่ะ…”
“อ๋อ ถ้าเรื่องวันเปิดภาคเรียนล่ะก็อีกประมาณสามสัปดาห์น่ะ แต่ว่าพวกเธอทั้งสามคนที่เพิ่งจะเข้ามาใหม่อาจจะต้องมาจัดการอะไรให้เรียบร้อยกันในโรงเรียนก่อนหน้านั้นสักสัปดาห์นึงจะได้จัดเตรียมหนังสือกับชุดเครื่องแบบให้เรียบร้อยก่อนน่ะ”
ไดเอน่าเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้งและสลายมาดประธานนักเรียนของเธอทิ้งไปพร้อมกับพูดตอบกลับมาเหมือนกับไม่ได้ถือสาอะไรนักเรียนใหม่อย่างนากาที่สมัครเข้าเรียนมาด้วยวิธีการพิเศษแต่กลับไม่รู้แม้แต่กระทั่งวันเปิดภาคเรียนเลยแม้แต่น้อยจนทำให้นากาถึงกับต้องหันกลับไปมองเธอด้วยแววตาประหลาดใจ
“หื้ม? นึกว่าฉันจะโกรธหรือไง?”
“อ—อ่า มันก็อะไรประมาณนั้นแหล่ะ”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ฉันเข้าใจว่านายก็คงจะยุ่งจริงๆ นั่นแหล่ะ เพราะก่อนหน้านี้นายก็ต้องวิ่งออกไปช่วยเซซิลจังมาแล้วก็ยังต้องเดินทางไปเมืองกราวิทัสอีกด้วยนี่เพราะงั้นจะลืมๆ อะไรบ้างมันก็ไม่แปลกหรอก”
ไดเอน่าพูดขึ้นมาพลางใช้นิ้วของเธอจับปอยผมทวินเทลของเธอมาหมุนๆ เล่น ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นไปหยิบชุดน้ำชาที่อยู่บนเคาน์เตอร์ใกล้ๆ กันมาวางไว้บนโต๊ะตัวยาวตรงกลางห้องและพูดขึ้นมาต่อ
“ฉันรู้มาว่าคุณเอริกะกับอาจารย์เอริซาเบธเป็นคนทำเรื่องสอบเข้าให้พวกนายน่ะ แล้วก่อนหน้านี้ก็ดันเกิดเหตุระเบิดที่ห้องเก็บผลงานของคุณเอริกะไปแบบนั้นเธอก็คงจะยุ่งจนลืมบอกพวกนายเรื่องวันเปิดภาคเรียนล่ะสิท่า …ส่วนอาจารย์เอริซาเบธก็คงจะไม่พ้นปิดเงียบเอาไว้เพราะอยากแกล้งพวกนายหรอก เอาน้ำชาหน่อยมั้ย?”
“อ—อ่า…รบกวนด้วยนะ…”
นากานั้นได้แต่มองดูไดเอน่าที่กำลังชงชาอยู่ด้วยสายตาโล่งใจที่ประธานนักเรียนสาวดูเหมือนจะไม่ได้โกรธอะไรกับการที่เขาไม่รู้แม้แต่กระทั่งวันเปิดเรียน พลางนึกสงสัยถึงความสัมพันธ์ของเด็กสาวตรงหน้ากับเอริกะที่เหมือนจะรู้จักกันดีในระดับหนึ่ง
“อ่ะ นี่จ้ะน้ำชา”
ไดเอน่าพูดขึ้นมาพร้อมกับเลื่อนแก้วน้ำชาบนโต๊ะให้กับนากา ก่อนที่เธอจะเดินไปหมุนเครื่องเล่นแผ่นเพลงที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเองเพื่อให้มันบรรเลงเพลงออกมาเบาๆ แล้วจึงเดินกลับมานั่งบนโซฟาข้างๆ ตัวเขาและพูดออกมาด้วยท่าทีสนิทสนม
“หึหึ ถ้าเกิดว่าเป็นอาจารย์เอริซาเบธหรือว่าคุณเอริกะล่ะก็คงจะพูดว่านายกำลังประหม่าเพราะว่าอยู่กับเด็กผู้หญิงอย่างฉันสองต่อสองใช่มั้ยล่ะ… แต่ฉันว่าที่จริงแล้วเป็นเพราะว่านายกำลังเกร็งกับตำแหน่งประธานนักเรียนของฉันอยู่ซะมากกว่าล่ะสิ”
“ม—มันก็อะไรประมาณนั้นแหล่ะ… เพราะว่าก่อนหน้านี้เอริกะเขาก็ดันโฆษณาเรื่องเธอให้ฉันฟังมาอยู่พอสมควรซะด้วยเนี่ยสิ”
“เฮ้อ… ก็นั่นสิน๊า~”
ไดเอน่าที่ได้ยินนากาพูดตอบกลับมาตามตรงแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาและยกถ้วยน้ำชาของเธอขึ้นมาจิบเล็กน้อย ในขณะที่นากานั้นก็รวบรวมความกล้าอยู่สักพักแล้วจึงได้ตัดสินใจที่จะพูดถามขึ้นมาตรงๆ
“ว่าแต่ที่เธอเรียกฉันมานี่มีธุระอะไรหรือเปล่าน่ะไดเอน่า? เธอคงจะไม่ได้คิดจะเรียกฉันมาจิบน้ำชาคุยเล่นกันอยู่แล้วใช่หรือเปล่าล่ะ?”
“อื้ม ก็นั่นสินะ แต่ยังไงนายก็พักให้หายเหนื่อยก่อนละกัน เพราะยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรอยู่แล้วล่ะ”
“อ่า…ถ้าเธอว่าอย่างงั้นละก็นะ”
นากาที่ยังคงรู้สึกเกร็งๆ อยู่นั้นไม่กล้าที่จะขัดอะไรอีกฝ่ายมากนักจึงได้แต่ยกถ้วยน้ำชาของเขาขึ้นมาจิบพลางมองดูรอบๆ ห้องทำงานของสภานักเรียนที่ถูกตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม และเต็มไปด้วยถ้วยรางวัลกับเหรียญตราต่างๆ มากมาย ก่อนที่สายตาของเขาจะไปสะดุดอยู่ที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงของไดเอน่าที่ถูกสลักคำว่าเซมฟิร่าที่เป็นนามสกุลของเธอเอาไว้
ซึ่งนากาก็มองดูมันอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะละความสนใจไปมองอย่างอื่นที่อยู่ในห้องแทนจนกระทั่งในที่สุดสายตาของเขาก็กลับมาหยุดลงที่ไดเอน่าที่กำลังนั่งหลับตาฟังเพลงที่ถูกบรรเลงออกมาจากเครื่องเล่นเพลงพร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นมาจิบราวกับว่าเธอกำลังเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงที่ดังขึ้นมาเบาๆ นั้นอยู่
และเมื่อนากาเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังหลับตาฟังเพลงอยู่อย่างสบายใจนั้นเขาจึงได้ใช้โอกาสนี้ในการมองสำรวจดูประธานนักเรียนสาวสวยตรงหน้าอย่างพิจารณาก่อนที่เขาจะพบว่าเธอนั้นมีสัดส่วนไม่ได้ต่างไปจากพรีมูล่าที่เรียกได้ว่าว่าโตเกินวัยไปมากสักเท่าไหร่
อีกทั้งเส้นผมสีทองบลอนด์ยาวสลวยของเธอที่ถูกมัดเอาไว้เป็นทรงทวินเทลและดัดเป็นลอนเล็กๆ ตรงปลายทั้งสองข้างนั้นก็ยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ที่ชวนให้หลงใหลออกมาแตะจมูกของเขาอีกด้วย
“แล้วนากาคุงคิดยังไงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้บ้างล่ะ?”
“……”
“นากาคุง?”
ไดเอน่าที่ไม่ได้ยินคำตอบจากนากานั้นได้เอ่ยปากถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยความสงสัยและหันมามองทางนากาจนทำให้เขาถึงกับสะดุ้งไปและรีบหันหน้าหนีพร้อมกับพูดตอบกลับไปอย่างลนลาน
“ป–เปล่า! ม… ไม่มีอะไรหรอก!”
“นากาคุงเนี่ยน๊า… ถึงฉันจะเป็นประธานนักเรียนแต่ก็ไม่ต้องกลัวกันขนาดหรอก จะคิดซะว่าฉันเป็นเพื่อนร่วมชั้นของนายเหมือนกันคนอื่นๆ เขาก็ได้นะ…”
“อ—อ่า… ขอโทษทีนะ…”
นากาที่เห็นว่าไดเอน่าพูดขึ้นมาด้วยแววตาเศร้าๆ เหมือนกับว่าเสียใจที่แม้แต่เด็กนักเรียนใหม่อย่างเขาก็ยังไม่กล้าสนิทกับประธานนักเรียนอย่างเธอนั้นถึงกับต้องรีบพูดขอโทษขึ้นมาในทันทีพลางนึกโล่งใจที่ไดเอน่าเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องที่เขาแอบมองดูเธอเมื่อสักครู่นี้
“แล้วตกลงนายได้ไปเจออะไรมาที่กราวิทัสบ้างล่ะ? จากที่พวกเขาเล่าให้ฉันฟังเหมือนว่านายกับเซซิลจะเข้าไปสู้กับใครก็ไม่รู้ที่หน้าปราสาทของกราวิทัสมาไม่ใช่หรอ? พอจะเล่าให้ฉันฟังได้หรือเปล่าล่ะ?”
“อื้ม ได้สิ มันก็….”
นากาได้ใช้เวลาสักพักหนึ่งในการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่กราวิทัสให้กับประธานนักเรียนสาวสวยฟังโดยมีเสียงดนตรีจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงของไดเอน่าดังคลอเบาๆ เป็นพื้นหลัง และเมื่อเขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เธอฟังจนหมดแล้ว ไดเอน่าก็พึมพำออกมาด้วยท่าทีครุ่นคิดพลางยกน้ำชาขึ้นมาจิบราวกับว่ากำลังใช้ความคิดอยู่
“ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างตรงกับที่คุณเดริคกับคุณทีออสเล่ามาสินะ จะรู้เพิ่มเติมก็แค่ชื่อของผู้หญิงคนนั้นที่เธอประกาศออกมาก่อนที่พวกคุณเดริคจะขับรถเข้ามาขวางเอาไว้น่ะ…”
“ว่าแต่ช่วงที่ฉันไม่อยู่นี่เกิดอะไรขึ้นบ้างน่ะ? พวกฉันไปกราวิทัสกันแค่คืนเดียวทำไมพอกลับมาอลิซเขาถึงกลายเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนี้ไปแล้วเนี่ย เธอพอจะรู้เรื่องบ้างหรือเปล่าน่ะ?”
“อื้ม… ถ้านายหมายถึงอาจารย์อลิซล่ะก็เขาจะมาเป็นอาจารย์สอนวิชาเรียนใหม่ที่จะเปิดในภาคเรียนหน้านี้น่ะ ที่นายรู้เรื่องไวขนาดนี้นี่คงจะได้ข่าวมาจากคุณเอริกะงั้นสินะ? …ว่าแต่นายสนิทกับอาจารย์อลิสเขาหรอถึงกล้าเรียกชื่อเขาเฉยๆ แบบนั้นน่ะ?”
“จะว่าแบบนั้นก็ได้ล่ะมั้ง ที่จริงแล้วพวกฉันเดินทางเข้าเมืองมาพร้อมกับอลิซน่ะ ส่วนเรื่องเรียกชื่อนั่น… ยัยนั่นไม่ค่อยชอบให้คนอื่นเรียกแบบสุภาพสักเท่าไหร่น่ะ เธอเองก็ระวังๆ เอาไว้หน่อยละกัน”
นากาพูดตอบไดเอน่ากลับไปพลางเลื่อนถ้วยน้ำชาที่ว่างเปล่าของเขากลับคืนไปให้เธอในขณะที่คุณประธานนักเรียนนั้นก็กำลังเดินไปที่ตู้เอกสารและหยิบเอาเอกสารบางส่วนออกมาส่งให้นากาดู
“เอาจริงๆ เรื่องนี้มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้วล่ะนะ แล้วยิ่งนายอยู่ใกล้ตัวอาจารย์อลิซเขาแบบนั้นเดี๋ยวไม่ช้าก็เร็วก็ต้องรู้อยู่แล้วล่ะ… แล้วฉันก็ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้นายพักอยู่ที่บ้านของคุณเอริกะถ้างั้นก็น่าจะเคยเห็นอุปกรณ์พวกนี้อยู่บ้างใช่มั้ยล่ะ?”
“หื้ม—ไอเจ้านี่มัน!?”
นากาที่ยืนมือออกไปรับเอกสารพวกนั้นมาได้แต่พูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ เพราะว่าสิ่งที่ถูกระบุไว้ในเอกสารนั้นก็คือแบบแปลนของพาร์ทส่วนล่างที่เป็นโครงเหล็กติดกับไอพ่นที่อลิซยึดไปใช้งานและแบบแปลนของพาร์ทส่วนบนที่เป็นแขนกลที่เขาเพิ่งจะเห็นเมื่อเช้านี้นี่เอง
แต่ว่าในเอกสารที่อยู่ในมือเขานั้นพาร์ททั้งสองส่วนไม่ได้ถูกแยกกันใช้งานเหมือนกับที่อลิซและโมโกะนำมันไปแบ่งกันใช้ โดยมันถูกจับมารวมกันในชื่อ โปรโตไทป์ บลิซ ยูนิต เวอร์ชั่น เอฟ/เอน (Prototype Blitz Unit Ver.F/N)
“ไม่ต้องกังวลเรื่องที่ว่ามันอาจจะเป็นความลับหรืออะไรหรอกนะ เพราะว่าคุณเอริกะเขาเป็นคนส่งของพวกนี้มาให้กับทางโรงเรียนเองน่ะ”
“อ—อ่า งั้นเองหรอ”
“ส่วนเรื่องวิชาเรียนใหม่ที่ว่านั่นก็คือวิชาฝึกสอนให้พวกนักเรียนฝึกใช้ยูนิตพวกนี้กันน่ะ เพราะว่าท่านผู้อำนวยการเขาเห็นว่าอุปกรณ์พวกนี้น่าจะมีประโยชน์ในการป้องกันตัวแล้วก็มีความเป็นไปได้ว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มากในภายภาคหน้าน่ะ เรียกได้ว่าเป็นก้าวแรกเพื่อที่จะเผยแพร่มันไปให้ประชาชนทั่วไปใช้งานกันนั่นล่ะ… ต้องบอกว่าเป็นแผนการที่ใหญ่เกินตัวอยู่พอสมควรเลยล่ะต่อให้เจ้าของแผนการนี้จะเป็นคุณเอริกะเองก็เถอะ…”
“ห—หะ พวกยูนิตกับพาร์ทพวกนี้เนี่ยนะ?”
คำพูดของไดเอน่านั้นถึงกับทำให้นากาขนลุกเมื่อภาพของลำแสงสีเขียวจากพาร์ทที่เวก้าแอบขโมยไปใช้งานได้ผุดกลับเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้งพลางพูดขึ้นมาด้วยความสยองขวัญที่เอริกะมีความคิดจะให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่มีพลังทำลายมากมายขนาดนั้นกัน
“ใช่แล้วล่ะจ้ะ เพราะงั้นคุณเอริกะที่คิดอยากจะแจกจ่ายยูนิตพวกนี้ให้ประชาชนทั่วไปใช้กันก็เลยลองเอามันมานำเสนอที่โรงเรียนดูเพราะเห็นว่าพวกเด็กนักเรียนของเราน่าจะมีโอกาสแสดงความสามารถของยูนิตนี่ให้ประชาชนในเมืองกับคนของวังหลวงเกิดความสนใจขึ้นมาน่ะ แต่ว่ามันก็ยังมีปัญหาเรื่องการฝึกสอนอยู่นิดหน่อย…”
“เพราะงั้นก็เลยต้องให้อลิซที่ใช้งานพาร์ทนั่นเป็นมาเป็นอาจารย์สำหรับสอนเรื่องนี้งั้นสินะ?”
“ต้องบอกว่าตอนนี้นอกจากคุณเอริกะแล้วก็มีอาจารย์อลิซคนเดียวที่ใช้งานยูนิตนั่นได้คล่องถึงขนาดเอามันไปลงสนามจริงสู้กับคนอื่นมาแล้วด้วยน่ะจ้ะ เรียกได้ว่าถ้าไม่มีอาจารย์อลิซล่ะก็ท่านผู้อำนวยการเขาคงจะให้คุณเอริกะมาเป็นคนสอนเองแน่ๆ แล้วล่ะ”
“อื้ม… มันก็พอจะเข้าใจได้ล่ะนะว่าคงอยากจะได้คนที่มีความสามารถมากที่สุดมาเป็นอาจารย์สอนเด็กนักเรียน… แต่ว่าอลิซเขายังบาดเจ็บอยู่แล้วไม่ใช่หรือไงน่ะ อ่ะ.. แต่ว่าอารอนก็อยู่ในโรงเรียนนี้ด้วยงั้นก็คงไม่น่าจะเป็นห่วงสักเท่าไหร่ล่ะมั้ง”
นากาพยักหน้าให้กับไดเอน่าพลางไล่อ่านชุดเอกสารในมือไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาไม่พบอะไรที่น่าสนใจแล้วจึงได้ส่งมันกลับคืนให้เธอไป ซึ่งไดเอน่านั้นก็ได้นำมันกลับไปเก็บไว้ในตู้เอกสารตามเดิม
“จะว่าไปนี่เธอเรียกฉันมาเพื่อสอบถามเรื่องที่กราวิทัสอย่างเดียวหรอ? ถ้ามีอะไรที่อยากจะถามเกี่ยวกับกลุ่มของพวกฉันก็ถามมาได้เลยละกันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาส่งคนไปตามตัวมาอีกรอบน่ะ น่าสงสารซิลเวสเขาออกที่ต้องเดินไปตามพวกฉันมาตั้งไกลถึงคฤหาสน์แบบนั้นน่ะ…”
ในขณะที่ไดเอน่ากำลังจัดเก็บเอกสารกลับเข้าที่เดิมอยู่นั้น นากาก็ได้เอ่ยปากถามขึ้นมาเผื่อว่าเธอจะมีธุระอะไรเรื่องอื่นอีกเมื่อเขานึกถึงระยะทางจากที่นี่ไปยังคฤหาสน์ที่ซิลเวสต้องเป็นคนเดินไปแจ้งข่าวเพื่อตามตัวเขามาซึ่งไดเอน่าที่ได้ยินแบบนั้นก็พูดตอบเขากลับมาด้วยท่าทีสบายๆ
“เอาจริงๆ ตอนแรกฉันก็คิดว่าจะตามตัวน้องสาวของนายมาอีกคนด้วยน่ะนะ แต่ว่าคิดไปคิดมาก็ไม่เอาแล้วดีกว่า เพราะว่าจากที่มายะเล่าให้ฉันฟังดูเหมือนว่าเธอจะพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่ใช่มั้ยล่ะ… แล้วนี่นากาคุงยังมีธุระอะไรจะต้องไปทำหลังจากนี้หรือเปล่าน่ะ? ถ้าเกิดว่านายไม่มีแผนอะไรจะนั่งเล่นในห้องนี้ไปก่อนก็ได้นะ ไหนๆ ก็อุตส่าห์ได้เข้ามาแล้วทั้งทีนี่นา”
“ถ้าเกิดเธอคิดจะถามอะไรจากยัยพรีมูล่าล่ะก็ขอบอกเลยว่าเธอเสียเวลาเปล่าแล้วล่ะ… ส่วนฉันก็ไม่มีแผนจะทำอะไรต่อนะ เพราะต่อให้รีบกลับไปก็คงจะไม่พ้นกลับไปฝึกซ้อมต่อล่ะมั้ง”
“หืม~? ต่อให้จะฝึกวิชาดาบจนเก่งขนาดไหนแล้วก็เถอะแต่ว่าก็อย่าลืมเรื่องวิชาเรียนด้วยละกันนะจ๊ะ~ เพราะว่าพอถึงเวลาสอบแล้วโรงเรียนของเราไม่ได้มีสอบแค่วิชาการต่อสู้หรอกนะ~”
“ร—รู้แล้วล่ะหน่า! จะว่าไป…ถ้างั้นฉันขอถามอะไรเธอหน่อยได้หรือเปล่าน่ะไดเอน่า?”
นาการีบพูดตอบคำหยอกล้อของไดเอน่ากลับไปก่อนที่เขาจะนึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และตัดสินใจที่จะพูดถามไดเอน่าออกมา ซึ่งไดเอน่าที่เห็นว่านากาที่ตอนแรกมีท่าทีเกร็งๆ นั้นได้เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนเธอคุยขึ้นมาเองก็รีบตอบกลับไปด้วยความดีใจ
“ลองว่ามาสิ ถ้าเกิดว่าฉันตอบได้ก็จะตอบให้จ้ะ”
“อื้ม… เธอพอจะรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้สถานการณ์ของเมืองแพนเทร่าเป็นยังไงบ้างแล้วน่ะ”
“หืม? เมืองแพนเทร่างั้นหรอ? ทำไมอยู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ”
“ก็… พอดีว่าก่อนหน้านี้มีคนรู้จักของฉันเดินทางไปที่นั่นฉันก็เลยอดเป็นห่วงไม่ได้น่ะ เพราะงั้นถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่ความลับอะไรเธอพอจะบอกฉันได้หรือเปล่าล่ะ?”
ถึงแม้ว่านากาจะเคยมีโอกาสได้พบกับพวกรัสเซลและยุยได้เพียงแค่สองครั้ง แถมในครั้งแรกเหล่าทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงพวกนั้นก็ยังเป็นคนที่บุกเข้ามาโจมตีหมู่บ้านของเขาอีกด้วย แต่ว่านากาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงกลุ่มของทหารรับจ้างพวกนั้นอยู่ดี ซึ่งไดเอน่านั้นก็ก้มหน้าลงใช้เวลาตัดสินใจอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยปากตอบนากากลับมา
“ถ้าเป็นที่แพนเทร่าล่ะก็ตอนนี้เห็นบอกว่าสถานการณ์โดยร่วมค่อนข้างจะเป็นปกติแล้วล่ะจะมีก็แต่ทางวังหลวงที่ยังต้องซ่อมกำแพงกับปรับสายบังคับบัญชาทดแทนพวกขุนนางที่เสียชีวิตกันไปอีกสักพักใหญ่นั่นล่ะ ส่วนตัวเมืองส่วนอื่นๆ ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว จะมีก็แต่ซากรถขนของที่ถูกโจมตีในเวลาใกล้ๆ กันแถวๆ หน้าประตูเมืองน่ะ”
“หมายความว่าไม่น่าจะมีอันตรายอะไรแล้วสินะ…?”
“อื้ม ถ้าจะมีอะไรแปลกๆ หน่อยนึงก็คงเป็นเรื่องที่ว่าเริ่มมีหมอกกระจายปกคลุมตัวเมืองชั้นในของแพนเทร่าในช่วงเช้าน่ะ”
“หมอกงั้นหรอ?”
“ก็เห็นว่าหลังจากวันที่เกิดเรื่องนั้นขึ้นมาตอนช่วงเช้าจะมีหมอกปรากฏขึ้นครอบคลุมไปทั่วตัวเมืองชั้นในของกราวิทัสน่ะ แต่นั่นน่าจะเป็นเพราะว่าอากาศทางทิศเหนือเริ่มเย็นตัวลงแล้วซะมากกว่าล่ะมั้ง เพราะงั้นไม่น่าจะต้องเป็นห่วงอะไรหรอก แถมอากาศสบายๆ แบบนั้นยังทำให้น่าไปเที่ยวยิ่งกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ”
ไดเอน่าพูดอธิบายออกมาให้นากาฟังพลางมองออกไปทางหน้าต่างที่มีแสงอาทิตย์เจิดจ้าสาดส่องอยู่ในขณะที่นากานั้นก็ค่อนข้างจะโล่งใจที่เพื่อนใหม่ของเขาคงจะไม่เจอกับอันตรายอะไรแล้ว
“ต้องบอกว่าพวกนั้นเลือกไปได้ถูกจังหวะเลยสินะเนี่ย… แต่พอพูดถึงเรื่องเที่ยวนี่ตั้งแต่เข้าเมืองมาก็วุ่นๆ จนแทบไม่มีเวลาได้ไปเดินเที่ยวในเมืองอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกเลยนะเนี่ย… แถมอีกไม่นานก็จะเปิดเรียนแล้วแบบนี้คงมีหวังได้แต่หมกตัวติวหนังสือกับฝึกซ้อมอยู่ในคฤหาสน์แล้วล่ะมั้ง…”
“เอ… จะว่าไป…”
ไดเอน่าที่ได้ยินคำว่าคฤหาสน์จากปากของนากานั้นได้ชะงักไปเล็กน้อยเหมือนกับว่าเธอเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นจากโซฟาและเดินไปนั่งอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับนากาและพูดขึ้นมาด้วยท่าทางเป็นงานเป็นการ
“นากาคุง… คฤหาสน์ที่นายไปอยู่ตอนนี้เนี่ยอย่าบอกนะว่าหมายถึงคฤหาสน์ของคุณเวก้า รีวิซคนนั้นน่ะ?”
“—-!?”
“ใช่จริงๆ ด้วยสินะ เพราะว่าคฤหาสน์ที่น่าจะว่างอยู่ตอนนี้และไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ก็น่าจะมีแต่ที่นั่นจริงๆ นั่นแหล่ะ”
ไดเอน่าพูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมาประสานกันเอาไว้บนโต๊ะด้วยมาดประธานนักเรียนสุดเคร่งขรึมอีกครั้งและพูดขึ้นมาต่อ
“อื้ม… อันนี้อาจจะเป็นเรื่องนอกเหนือจากหน้าที่ประธานนักเรียนของฉันอยู่บ้างนะ แต่ว่าหลังจากนี้นายพอจะมีเวลาว่างสักพักมั้ยล่ะนากาคุง”
คำถามที่ไดเอน่าพูดขึ้นมาหลังจากรู้เรื่องที่พวกเขาเข้าไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของเวก้านั้นถึงกับทำให้นากาสะดุ้งไปและรู้สึกหวั่นๆ ขึ้นมาว่าคุณประธานนักเรียนคนนี้อาจจะกำลังแอบสืบเรื่องที่เกิดขึ้นภายในคฤหาสน์ก่อนหน้านี้อย่างเรื่องของแมรี่ที่ตอนนี้ใช้ชื่อว่าคาร์เทียร์หรือเรื่องที่ว่าจริงๆ แล้วเวก้าได้ถูกปล่อยให้รอดชีวิตไปหรือเปล่า จนทำให้นากาได้แต่เอ่ยปากถามกลับไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“อ–เอ๋? เธอหมายความว่าไงน่ะไดเอน่า?”
“มันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก แค่ว่ามีคนที่อยากจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์นั่นอยู่น่ะ”
“ง—งั้นเองหรอกหรอ…”
คำตอบของไดเอน่านั้นถึงกับทำให้นากาหน้าซีดและรีบมองซ้ายมองขวาเพื่อหาทางหนีทีไล่ในทันทีพลางนึกขอบคุณที่ไดเอน่าได้ลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อเดินไปชมวิวที่หน้าต่างในทันทีที่เธอพูดจบจนทำให้ไม่เห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้
“แล้วตกลงว่าหลังจากนี้นายว่างหรือเปล่าล่ะนากาคุง?”
“จะว่าว่างมันก็ว่างอยู่แหล่ะ…”
“ถ้างั้นก็พอดีเลย… เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะพานายไปพบกับปู่ทวดของฉันหน่อยน่ะ น่าจะใช้เวลาไม่นานสักเท่าไหร่หรอก พอดีว่าท่านอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับงานวิจัยที่คุณเวก้าเขาได้รับมอบหมายไปน่ะ”
“อ—เอ๋— ก็แบบ— เฮ้อ…ก็ได้แหล่ะ เพราะไหนๆ เธอก็ยอมตอบคำถามของฉันมาแล้วนี่เนอะ”
นากาที่ถูกไดเอน่าหันกลับมาจับจ้องอย่างไม่ยอมละสายตานั้นได้แต่ยอมพูดตอบตกลงกลับไปด้วยความเกรงใจ เพราะว่าไดเอน่าเองก็เพิ่งจะยอมบอกข้อมูลเกี่ยวกับแพนเทร่าให้กับเขาโดยไม่อิดออดจนทำให้เขาได้แต่อยากจะตอบแทนอะไรเธอกลับไปบ้างเช่นเดียวกัน
“อื้อ! ขอบใจมากนะนากาคุง แต่เอาจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าปู่ทวดของฉันเป็นคนขอเอาไว้ ฉันก็ไม่ได้อยากจะรบกวนเวลาของนายไปมากกว่านี้หรอกจ้ะ”
“จะว่าไปเธอเรียกท่านว่าปู่ทวดงั้นหรอ? หมายถึงว่าเขาเป็นคุณพ่อของคุณปู่ของเธออีกทีอะไรแบบนั้นน่ะนะ?”
“เรื่องนั้น… เอาจริงๆ ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนั่นแหล่ะ… เพราะว่าทุกคนในตระกูลเองก็เรียกท่านกันว่าปู่ทวดกันหมดเลยไม่ว่าพวกเขาจะอายุเท่าไหร่กันน่ะ… ขนาดพ่อแม่ของฉันก็ยังเรียกท่านว่าปู่ทวดเหมือนกันเลย”
“ห—หะ—?”
คำตอบของไดเอน่านั้นถึงกับทำให้นากาหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจว่าเขาได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่ว่าไดเอนาก็กลับหันกลับมาหยักไหล่ให้กับนากาแบบจนปัญญาก่อนที่เธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของนากา
“อ่ะจริงด้วยสิ ตามที่ระบุไว้ในเอกสารดูเหมือนว่านายจะมาจากหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลสินะ แบบนี้ก็หมายความว่านายน่าจะไม่รู้จักตระกูลของฉันสินะเนี่ย”
“อื้ม เอาจริงๆ ฉันก็เพิ่งจะเคยได้ยินนามสกุลเซมฟิร่าของเธอเป็นครั้งแรกตอนที่เอริกะเขาเล่าเรื่องของเธอให้ฟังนั่นแหล่ะ”
“ว่าแล้วเชียว… เพราะว่าไม่งั้นนายคงจะตกใจกว่านี้ตอนที่ได้ยินนามสกุลของฉันน่ะนะ…”
ไดเอน่าพยักหน้ากลับมาเหมือนกับว่าเข้าใจอะไรได้ ก่อนที่เธอจะนั่งไขว่ห้างลงบนโต๊ะทำงานของเธอและยื่นมือไปปิดเครื่องเล่นเพลงบนโต๊ะแล้วจึงพูดอธิบายออกมาให้นากาฟัง
“ตระกูลของฉัน… ตระกูลเซมฟิร่าน่ะ เขาว่ากันว่าเป็นตระกูลที่สืบทอดสายเลือดของหนึ่งในผู้กล้าที่เข้าร่วมการต่อสู้เคียงข้างท่านเทวทูตจากสวรรค์ที่เล่าสืบต่อกันมาในตำนานน่ะ… ว่าแต่นายรู้เรื่องสงครามในตำนานนั่นหรือเปล่าน่ะนากาคุง?”
“อ๋อ ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็เอริกะเคยเล่าให้ฉันฟังอยู่นะ แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องปู่ทวดของเธอล่ะ?”
“ก็… คนที่ในตระกูลของฉันเขาเรียกกันว่าท่านปู่ทวดก็คือหนึ่งในผู้กล้าที่อยู่เรื่องเล่านั่นน่ะสิ”
“ห—-หะ—!?”
นากาที่ได้ยินคำพูดของไดเอน่านั้นถึงกับร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าถ้าเรื่องที่ไดเอน่าพูดมาเป็นความจริงนั่นก็หมายความว่าปู่ทวดของไดเอน่านั้นน่าจะมีอายุถึงหลักร้อยหรือไม่ก็หลักพันเข้าไปแล้วซะด้วยซ้ำ
“เอาจริงๆ ทางครอบครัวของฉันสั่งเอาไว้ว่าห้ามเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้คนนอกฟังน่ะนะ… แต่ฉันคิดว่านายควรจะรู้เอาไว้สักหน่อยถ้าเกิดว่าต้องไปเจอท่านปู่ทวดจริงๆ น่ะ”
“เดี๋ยวนะถ้างั้น— เอ่อ… ถ้างั้นก็หมายความว่าเรื่องสงครามในตำนานนั่นก็เป็นเรื่องจริงอย่างงั้นหรอ?”
“เรื่องนั้นฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ…”
“อ่าว? แต่เธอบอกเองนี่ว่าปู่ทวดของเธอคือหนึ่งในผู้กล้าที่อยู่ในสงครามครั้งนั้นน่ะ”
ไดเอน่าได้ชายตามามองนากาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ก่อนที่เธอจะพูดอธิบายออกมาให้เด็กหนุ่มผู้แสนใสซื่อฟัง
“นั่นมันเป็นเรื่องที่พ่อแม่ของฉันเป็นคนเล่าให้ฟังน่ะ แต่ว่าความจริงจะเป็นยังไงนั่นท่านปู่ทวดก็ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย เวลามีคนพยายามถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องตำนานนั่นท่านก็จะปิดปากเงียบสนิทเหมือนกับไม่อยากจะพูดถึงมันน่ะ”
“แล้วเธอไม่เชื่อเรื่องที่พ่อแม่ของเธอบอกมานั่นหรอ?”
“ฉันเชื่อแค่เรื่องที่ว่าท่านเป็นปู่ทวดแล้วก็อายุยืนมากเท่านั้นแหล่ะ ส่วนเรื่องที่ว่าท่านเป็นผู้กล้าในตำนานจริงๆ หรือเปล่านั่นฉันเองก็เคยถามท่านดูแล้วแต่ว่าท่านก็ไม่ยอมตอบอะไรฉันมาเหมือนกัน”
ไดเอน่าพูดตอบนากากลับมาพลางพองแก้มข้างหนึ่งราวกับเด็กน้อยที่ถูกขัดใจเหมือนกับว่าตัวเธอเองนั้นก็ไม่ชอบใจนักที่ไม่อาจจะพิสูจน์เรื่องของตำนานที่ทุกคนพูดถึงนั่นได้
“แต่ก็นั่นแหล่ะ ท่านปู่ทวดของฉันเขาวานไว้ว่าถ้าเกิดได้เจอคนที่น่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณเวก้าก็ช่วยเชิญตัวคนๆ นั้นไปหาท่านปู่ทวดหน่อยน่ะ นากาคุงได้ยินแบบนี้แล้วจะเอายังไงล่ะ? ถ้าเกิดว่านายไม่สะดวกจริงๆ ฉันจะช่วยปิดเรื่องนี้เอาไว้ให้ก่อนก็ได้นะ ถึงน่าจะปิดเอาไว้ได้ไม่นานสักเท่าไหร่ก็เถอะ…”
“ก็นะ… เธอเล่นเล่ามาให้ฉันฟังแบบนี้แล้วจะให้ฉันบอกปฏิเสธไปมันก็คงจะเสียมารยาทแย่ใช่มั้ยล่ะ แล้วอีกอย่างฉันเองก็ไม่มีแผนอะไรหลังจากนี้ด้วย งั้นก็เอาเป็นว่าตกลงละกันนะ คุณประธานนักเรียน”
“แหม่ ถึงจะเรียกแบบนั้นแต่ฉันก็ไม่มีขนมให้เป็นรางวัลหรอกนะจ๊ะ ถ้างั้นเอาเป็นว่าฉันขอจัดการเอกสารพวกนี้สักแป๊บนึงก่อนละกันนะ”
ไดเอน่าที่ได้ยินแบบนั้นได้ยิ้มตอบนากากลับไป ก่อนที่เธอจะเดินไปกดเครื่องเล่นแผ่นเพลงเพื่อให้มันบรรเลงเพลงออกมาอีกครั้งแล้วจึงหยิบเอาเอกสารบางส่วนออกมาจากตู้เก็บและเดินตรงไปที่โต๊ะของเธอ
“ถ้าเกิดมีอะไรสงสัยก็ถามมาได้ตามสบายเลยนะ แต่ถ้าอยากได้น้ำชาเพิ่มเธอคงจะต้องจัดการเองแล้วล่ะเพราะฉันกะจะเร่งมือจัดการเอกสารนี่ก่อนน่ะ”
“อื้ม…”
นากาพยักหน้าตอบไดเอน่ากลับไปพลางรินน้ำชาใส่แก้วชาของตนและยกมันขึ้นมาจิบด้วยความสงบใจแตกต่างจากตอนที่เขาเกร็งจนแทบจะตัวแข็งในตอนที่เพิ่งจะเข้ามาในห้องอย่างสิ้นเชิง ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่าเขาค่อนข้างจะรู้สึกสนิทสนมกับไดเอน่าขึ้นมาบ้างหลังจากที่ได้คุยกับเธอมาสักพักแล้วก็เป็นไปได้