ตอนที่ 69 ท่านอ๋องตงผิงถูกลอบสังหาร

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 69 ท่านอ๋องตงผิงถูกลอบสังหาร

“คุณหนู เขาคือคนทำบัญชีที่นายหน้าแนะนำมา มีนามว่าหานฉีจงขอรับ”

เยียนสุยโน้มตัวยืนอยู่ข้างเยียนอวิ๋นเกอ

เยียนอวิ๋นเกอมองพินิจหานฉีจง ภาพแรกคือผอม สีหน้าเหลือง ท่าทางเหมือนบัณฑิตยาจก

หานฉีจงก็แอบพินิจเยียนอวิ๋นเกอเช่นเดียวกัน เขารู้สึกเป็นกังวลภายในใจ

คนที่ตัดสินใจบุกเบิกพื้นที่นี้เป็นคุณหนูตัวน้อยหรือ

แย่แล้ว แย่แล้ว!

คงจะเป็นตระกูลร่ำรวยตระกูลใดตระกูลหนึ่งหาเรื่องให้บุตรสาวทำ ซื้อที่ดินว่างเปล่าให้นางฝึกฝนความสามารถในการจัดการ

คุณหนูตัวน้อยทำงานจะยืนยาวได้อย่างไร

อย่างมากไม่ถึงครึ่งปี ที่ดินแห่งนี้ก็ล้มละลายแล้ว

เมื่อถึงเวลา ชื่อเสียงด้านการ ‘ดวงขัดนาย’ ย่อมไม่อาจหลุดพ้น เขาคงจะหมดหวังในการพลิกชีวิตแล้ว

หานฉีจงรู้สึกถึงความสิ้นหวัง

สวรรค์กำลังปิดกั้นทางรอดของเขา!

เขายืนอยู่ที่เดิมด้วยความคิดที่หลากหลาย ยากที่จะตัดสินใจ

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา จรดดินสอเขียน ‘ได้ยินว่าเจ้าคิดเลขเก่งมากหรือ’

เวลานี้หานฉีจงถึงได้รู้ว่าคุณหนูตัวน้อยตรงหน้าพูดไม่ได้

เขาพยักหน้า ไม่ถ่อมตนแต่ก็ไม่เย่อหยิ่ง “บัญชีทั่วไปล้วนคำนวณได้ขอรับ”

ในเมื่อคิดเลขเก่ง เยียนอวิ๋นเกอวางแผนจะออกข้อสอบทดลองวิชาของเขา

โจทย์ง่ายมาก เกี่ยวกับไก่และกระต่ายที่อยู่ในเล้าเดียวกัน หรือน้ำเข้าน้ำออกทั่วไป…

นางเขียนโจทย์วางไว้บนโต๊ะ บอกให้หานฉีจงแก้โจทย์

หานฉีจงลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเดินขึ้นหน้าไปตอบโจทย์

เอ๊ะ?

โจทย์นี้แปลกใหม่ยิ่งนัก!

เวลานี้ไม่เคยมีผู้ใดตั้งโจทย์เช่นนี้

แต่ว่ามันไม่ยากสำหรับเขา

เขาจรดปลายพู่กันเขียนอย่างรวดเร็ว หลงใหลอยู่ท่ามกลางโจทย์

เห็นได้ชัดว่าเขาชื่นชอบการคำนวณอย่างมาก

เมื่อคำนวณเสร็จสิ้น เขาจึงส่งคำตอบ

เยียนอวิ๋นเกอกวาดตามองกระบวนการตอบคำถาม มีความสามารถจริง

นางตั้งโจทย์อีกครั้ง ล้วนเป็นโจทย์สำเร็จรูป

ตั้งแต่การสร้างเรือน จนกระทั่งการแบ่งสัดส่วนของวัวไถนา หรือเมล็ดพืชพันธุ์…

ทดสอบไปทีละอย่าง ล้วนเป็นคำถามที่ต้องเผชิญเมื่อบุกเบิก

หานฉีจงตอบคำถามทีละข้อ

สมกับเป็นบัณฑิตที่โดดเด่นด้านการคำนวณจากโรงเรียนในเมือง สมองของเขาว่องไวอย่างมาก คำนวณอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

เยียนอวิ๋นเกอตอบตกลงรับเขาในทันที!

เยียนสุยกังวลเล็กน้อย พูดเสียงเบา “คุณหนู เขามีดวงขัดนายขอรับ!”

เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะขึ้นมา ทำท่าทาง ‘เหตุใดจึงต้องกลัว! คนผู้นี้มีความสามารถด้านคำนวณเก่งกว่าพวกเจ้าทุกคน เขาคนเดียวสามารถทดแทนพวกเจ้าได้ห้าคน ส่วนเรื่องดวงขัดนาย ดวงชะตาข้าแข็ง เขาขัดข้าไม่ได้หรอก’

เยียนสุยตากระตุก คุณหนูดีทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องการพูดจา

เขาเงยหน้า พูดกับหานฉีจง “จากการทดสอบ เจ้าสามารถรับหน้าที่บัญชีของเรือนพักร่ำรวยได้ เงินเดือนเดือนละสองก้วน รวมกินอยู่ หนึ่งวันสามมื้อ หนึ่งเดือนหยุดสองวัน เจ้ายินดีรับหรือไม่”

จิตใจของหานฉีจงทั้งตึงเครียดทั้งผ่อนคลาย

อันที่จริง นับแต่ที่เยียนอวิ๋นเกอตั้งโจทย์ทดสอบเขา เขาก็ตัดสินใจแล้ว หากอีกฝ่ายยอมรับเขา เขาก็จะอยู่

ถึงแม้สถานที่แห่งนี้จะล้มละลายในอีกครึ่งปี เขาหมดซึ่งหนทางก็ไม่เสียใจ

แต่เขามีเงื่อนไข

“หากข้าเป็นคนทำบัญชีที่นี่ เถ้าแก่จะสามารถตั้งโจทย์ให้ข้าทำต่อได้หรือไม่” เขาพูดอย่างระมัดระวัง

เงื่อนไขของเขาช่างพิเศษ เขาไม่ต้องการเงิน เพียงแค่มีเพียงโจทย์คำนวณจำนวนมาก เขาก็พึงพอใจแล้ว

เอ๊ะ!

เยียนอวิ๋นเกอได้ยินเงื่อนไขของเขาก็หัวเราะขึ้นมา

บัณฑิตตกอับนามว่าหานฉีจงท่านนี้ช่างประหลาดเสียจริง เงื่อนไขที่เรียกร้องแตกต่างจากผู้อื่น

เยียนอวิ๋นเกอทำท่าทางเพื่อสั่งเยียนสุย ‘บอกเขา มีโจทย์คำนวณสามเดือนหนึ่งเล่มให้เขาทำ แต่ว่าข้าก็มีเงื่อนไข เขาต้องเปิดห้องสอนการคำนวณ ถือว่าสอนพื้นฐานให้กับทุกคน สอนทุกคนรู้จักหนังสือ นักเรียนไม่ต้องมาก มีสิบยี่สิบคนที่โดดเด่นก็พอ สวัสดิการเพิ่มให้เป็นเดือนละห้าก้วน’

เยียนสุยพยักหน้า พูดกับหานฉีจง “เจ้าขอมากเกินไป บังอาจขอให้คุณหนูของข้าใช้แรงงานออกโจทย์ให้เจ้าทำ เจ้าไม่ดูสารรูปตนเองเสียบ้างเลยหรือ”

หานฉีจงทำหน้าหวาดกลัว ครุ่นคิดในใจ จบแล้ว จบแล้ว! งานเดือนละสองก้วนหายไปแล้ว

แต่ไม่คิดว่าน้ำเสียงของเยียนสุยจะเปลี่ยนไปกะทันหัน “แต่ว่าคุณหนูของข้าใจกว้าง ไม่ถือสาเจ้า เจ้าอยากได้โจทย์คำนวณ ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่เพียงแค่งานบัญชี เจ้ายังไม่มีสิทธิ์ได้โจทย์ที่ล้ำค่าเหล่านั้น”

“ต้องการให้ข้าทำอันใด รับสั่งมาได้เลยขอรับ!” หานฉีจงพูดทันที

เยียนสุยทำหน้าบึ้ง “เจ้าก็เห็นแล้ว สถานที่แห่งนี้ทั้งเปล่าเปลี่ยวทั้งยากจน ไม่มีแม้กระทั่งชุมชน ซื้อขายต้องเดินทางไกลถึงหลายสิบลี้ ทุกคนที่ทำงานที่นี่ออกไปข้างนอกครั้งหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย หากเจ้ายอมรับหน้าที่สอนหนังสือให้ทุกคน สอนวิธีการคำนวณพื้นฐานให้พวกเขา รับรองว่าทุกคนสามารถจำตัวอักษรได้หนึ่งพันตัว คุณหนูของข้าก็จะออกโจทย์ให้เจ้า สามเดือนหนึ่งเล่ม หนึ่งเล่มอย่างน้อยมี…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เยียนสุยแอบเหลือบมองเยียนอวิ๋นเกอ

เยียนอวิ๋นเกอยื่นสามนิ้วอยู่ใต้โต๊ะ

อาจเป็นเพราะการบดบังของโต๊ะ ทำให้เยียนสุยมองผิด เขาจึงพูดออกมา ”…โจทย์คำนวณยี่สิบข้อ เจ้ายินดีหรือไม่”

“ยินดี ข้ายินดีขอรับ!”

หานฉีจงรีบตอบรับอย่างรีบร้อน เขากลัวว่าหากตอบรับช้า อีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ

อย่าว่าแต่สามเดือนยี่สิบข้อ ถึงแม้จะมีเพียงสิบข้อ ห้าข้อ เขาก็ยินดี

เยียนสุยตอบรับ พร้อมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อืม ข้าเตือนเจ้า ในเมื่อรับหน้าที่สอนหนังสือแล้ว เจ้าต้องตั้งใจสอน อย่าได้ทำอย่างขอไปที งานด้านบัญชีก็อย่าล่าช้า คุณหนูของข้าใจดี หากงานทั้งสองนี้เจ้าทำออกมาได้ดี เงินเดือนเพิ่มให้เจ้าเป็นเดือนละห้าก้วน จำไว้ เจ้าต้องทำงานให้ดีถึงจะได้รับเงินมากเพียงนี้ หากเจ้าทำให้คุณหนูของข้าผิดหวัง ข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็น”

หานฉีจงตัวสั่นเทา รีบพูด “ท่านวางใจขอรับ ข้าไม่กล้าทำให้เถ้าแก่ผิดหวัง ข้าย่อมจะตั้งใจทำงานขอรับ”

เขาดูออกว่าตระกูลเบื้องหลังของเรือนพักร่ำรวยยิ่งใหญ่กว่าอำนาจของตระกูลท้องถิ่นที่เขาพึ่งพาในตอนนั้นเสียอีก

เข้ามาทำงานในเรือนพักร่ำรวย เพียงแค่ทำงานให้ดีย่อมเท่ากับเขาก็มีโอกาสที่จะมีอนาคตก้าวไกลใช่หรือไม่

ฮือๆๆ …

หานฉีจงตื่นเต้น!

สถานการณ์ดีขึ้นอย่างกะทันหัน

สวรรค์ไม่ปิดกั้นเขา!

เมื่อเจรจาเสร็จสิ้น ต่อไปก็เป็นการจัดการเรื่องเอกสาร

เมื่อเรื่องจัดการเรียบร้อย เยียนอวิ๋นเกอก็เตรียมตัวขึ้นไปดูบนเขา

คนขี่ม้าจำนวนมากควบม้าพุ่งตรงมายังเรือนพักร่ำรวย ทำให้ฝุ่นควันตลบอบอวล

นางจำคนที่เดินทางมาได้เมื่ออีกฝ่ายใกล้เข้ามา พวกเขาเป็นองครักษ์ภายในจวน

เยียนอวิ๋นเกอตกใจ เมืองหลวงเกิดเรื่องแล้วหรือ

ม้างามที่กำลังวิ่งถูกดึงเชือกเอาไว้ หยุดอยู่ที่หน้าประตูเรือนพักพอดี

องครักษ์ลงจากม้า โค้งตัวคำนับ “ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากท่านหญิง เชิญคุณหนูกลับเมืองหลวงทันที ท่านอ๋องตงผิงถูกลอบสังหารขอรับ!”

อันใดนะ

ท่านอ๋องตงผิงถูกลอบสังหาร?

อาเป่ยออกเสียงถามแทนเยียนอวิ๋นเกอ “ท่านอ๋องตงผิงถูกลอบสังหาร เรื่องเกิดขึ้นเมื่อใด”

องครักษ์ตอบ “วันก่อนตอนดึกขอรับ”

“เวลานี้สถานการณ์ในเมืองหลวงเป็นอย่างไร”

“เมืองหลวงมีการเฝ้าระวังเข้มงวดเพื่อค้นหามือสังหาร! ท่านอ๋องตงผิงได้รับบาดเจ็บสาหัส อันตรายถึงชีวิต ฝ่าบาททรงโกรธอย่างมาก…สถานการณ์ภายหลังไม่แน่ชัด คุณหนูโปรดอภัยขอรับ”

เยียนอวิ๋นเกอรีบสั่งให้อาเป่ยเก็บสัมภาระและเตรียมรถม้าเดินทางกลับเมืองหลวงทันที

ระยะทางทั้งหมดสองร้อยลี้ มีเพียงร้อยห้าสิบลี้ที่เป็นทางหลวง ทางที่เหลือล้วนเป็นทางเขาที่ขรุขระ

สิ่งเดียวที่น่ายินดีคือ อากาศปลอดโปร่ง ฝนไม่ตก ถนนจึงแห้ง

เดินทางเป็นเวลาสองวันกว่าจะกลับมาถึงเมืองหลวง

เหนื่อยจนร่างแทบสลาย

แต่เยียนอวิ๋นเกอไม่มีเวลาพักผ่อน นางลงจากรถม้า เดินทางไปพบเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาในห้องตำราอย่างรีบร้อน

‘ท่านแม่ เรื่องเป็นอย่างไร’

เซียวฮูหยินเห็นเยียนอวิ๋นเกอมาก็โล่งใจเช่นเดียวกัน บอกให้นางอย่ารีบร้อน นั่งลงพักดื่มน้ำก่อน

“เดินทางมาสองวัน เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่!”

เยียนอวิ๋นเกอวางถ้วยชาลง สองมือทำท่า ‘ลูกไม่เหนื่อย!’

เซียวฮูหยินยิ้ม “ตอนนั้นข้าคิดว่าเจ้ากำหนดพื้นที่บุกเบิกไว้ที่แคว้นชีและแคว้นหยวนเป็นเรื่องที่เหมาะสมยิ่งนัก แต่ดูจากเวลานี้ มันคงจะไกลเกินไป เส้นทางก็ไม่ราบรื่นนัก”

เยียนอวิ๋นเกอสังเกตปฏิกิริยาของเซียวฮูหยินที่ดูไม่รีบร้อน!

เรื่องคงไม่หนักหนาเหมือนที่นางคิด

นางถามทันที ‘ท่านอ๋องตงผิงตายแล้วหรือเจ้าคะ’

เซียวฮูหยินส่ายหน้า “ยังไม่มีข่าวการตายออกมาก็เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ตาย ส่วนได้รับบาดเจ็บหนักเพียงใด หรือได้รับบาดเจ็บหรือไม่ยังไม่รู้ในเวลานี้ แต่ฝ่าบาททรงถอดถอนตำแหน่งขุนนางหลายคน อีกทั้งยังรับสั่งให้ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเหนือนำทัพเฝ้าระวังชายแดน เหลือไว้เพียงทหารสามค่ายคุ้มกันเมืองหลวง”

กองทัพเหนือมีสามหมื่นคน

แบ่งออกเป็นทั้งหมดหกค่าย

เหลือทหารสามค่ายไว้คุ้มกันเมืองหลวง แสดงว่าแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเหนือนำกำลังพลครึ่งหนึ่งไปเฝ้าที่ชายแดน

เยียนอวิ๋นเกอขมวดคิ้ว “ท่านอ๋องตงผิงถูกลอบโจมตี แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเหนือนำกำลังพลครึ่งหนึ่งไปเฝ้าที่ชายแดน เรื่องร้ายแรงถึงเพียงนี้์ คนที่ลอบโจมตีท่านอ๋องตงผิงเป็นคนจากต่างถิ่นหรือเจ้าคะ”

ศัตรูที่ต้องการป้องกันแถบชายแดนก็คือคนจากต่างถิ่น

เซียวฮูหยินส่ายหน่า “ข่าวเกี่ยวกับมือสังหารมีหลากหลายนัก แต่ไม่มีเรื่องจริงสักเรื่อง”

“ผู้ใดอยากสังหารท่านอ๋องตงผิงกัน หรือเป็นเพราะฝ่าบาทไม่ทรงลงโทษเซียวอี้เสียที ทำให้ตระกูลเถาอับอายจนกลายเป็นความโกรธ ดังนั้นจึงระบายความโกรธต่อท่านอ๋องตงผิงอย่างนั้นหรือ”

“ตระกูลเถาไม่กล้า! อย่างน้อยเวลานี้ยังไม่กล้า” เซียวฮูหยินมั่นใจอย่างมาก ”ตระกูลเถามีความสามารถในการลอบสังหารท่านอ๋องตงผิง แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำ นอกจากระบายความโกรธแล้วก็ไม่มีผลดีต่อพวกเขา ข้าคิดว่านายท่านเถายังไม่เสียสติถึงเพียงนั้น เขาไม่มีทางตัดสินใจลอบสังหารท่านอ๋องตงผิง”

ผู้ใดจะลอบสังหารท่านอ๋องตงผิงกัน

คงไม่อาจใช่ฝีมือของซียวอี้

เอ๊ะ?

เดี๋ยวก่อน เซียวอี้น่าสงสัย

ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่เยียนอวิ๋นเกอกระจ่างใจยิ่งนัก คนผู้นั้นสามารถเข้าออกคุกหลวงในสำนักองครักษ์จินอู่ได้อย่างอิสระ

ผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะลอบสังหาร

อีกทั้งตัวเขาเองก็เป็นมือสังหารมืออาชีพ

เขาจะสังหารบิดาของตนเองหรือ

มีผลดีอย่างไร

เยียนอวิ๋นเกอขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ

นางใช้สองมือทำท่า ‘มีเรื่องหนึ่ง ขอท่านแม่โปรดไขข้อสงสัยเจ้าค่ะ ท่านอ๋องทั้งหลายเข้าเมืองมากว่าครึ่งปีแล้ว เรื่องที่ควรทำล้วนเสร็จสิ้นแล้ว เหตุใดฝ่าบาทยังรั้งคนเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยพวกเขากลับพื้นที่ศักดินาเสียทีเจ้าคะ’

เซียวฮูหยินพูดอย่างครุ่นคิด “ก่อนหน้านี้ภายในราชสำนักก็มีเสียงเรียกร้องให้เรียกคืนพื้นที่ศักดินาของพระบรมวงศานุวงศ์ในสมัยของเสด็จปู่ หรือฮ่องเต้จงจ้ง เวลานั้นข้ายังเด็ก เวลานี้กลับมาครุ่นคิด ฮ่องเต้จงจ้งทรงเห็นด้วยกับการเรียกคืนพื้นที่ศักดินาเพื่อตัดทอนอำนาจของพระบรมวงศานุวงศ์ เพียงแต่เรื่องนี้มีการเรียกร้อง ไม่มีการปฏิบัติ ต่อมาตำหนักบูรพาเกิดเรื่อง ยิ่งไม่มีคนสนใจเรื่องนี้”

เยียนอวิ๋นเกอถาม ‘ความหมายของท่านแม่คือ ฝ่าบาททรงต้องการเดินตามรอยของฮ่องเต้จงจ้ง พระองค์จะทรงเรียกคืนพื้นที่ศักดินาของพระบรมวงศานุวงศ์หรือเจ้าคะ’

เซียวฮูหยินส่ายหน้า “ไม่รู้! ความคิดของฝ่าบาทนับวันยิ่งคาดเดายาก พระองค์มีความคิดนี้ก็ไม่น่าประหลาดใจ แต่ไม่มีความคิดนี้ก็ไม่น่าประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม พระองค์มีพระปรีชาสามารถในการตีสองหน้าเป็นอย่างยิ่ง ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ความคิดของเขาได้”

ภายในคำพูดของเซียวฮูหยินไม่ปิดบังน้ำเสียงเสียดสีแม้แต่น้อย

เซียวฮูหยินเป็นลูกพี่ลูกน้องกับฮ่องเต้หย่งไท่

นอกจากคนที่เกี่ยวข้องแล้ว ผู้ใดก็มิอาจรู้ว่าทั้งสองคนมีความขัดแย้งกันในตอนนั้นหรือไม่

ความคิดของเซียวฮูหยินเหม่อลอยไปชั่วขณะ ก่อนจะดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

นางพูดกับเยียนอวิ๋นเกอ “ข้าเรียกเจ้ากลับมาเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ท่านอ๋องตงผิงถูกลอบสังหาร อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี เกรงว่าต่อจากนี้เมืองหลวงคงไม่สงบนัก ระยะนี้เจ้าอยู่ในจวน อย่าได้ออกจากจวนไปที่ใด พวกเรารอดูทิศทางลมก่อน”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า ‘ข้าฟังท่านแม่ พอดีเรื่องทางเรือนพักนั้นจัดการเสร็จสิ้นเกือบทั้งหมดแล้ว ร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยก็เป็นไปได้ดี มีเยียนมู่เฝ้าเอาไว้ ข้าไม่ต้องกังวลใจ’

เซียวฮูหยินหัวเราะขึ้นมา “มีโอกาสเราไปเยี่ยมพี่สาวของเจ้าที่จวนองค์ชายสองบ้างเถิด ไม่รู้ว่านางกับองค์ชายสองเป็นอย่างไรบ้าง”

องค์ชายสองป่วย!

เขาป่วยง่ายในฤดูร้อน เมื่ออากาศร้อนขึ้น ร่างกายของเขาจึงอ่อนแอลง

หมอหลวงสี่ห้าคนรวมตัวอยู่ในจวนองค์ชายสอง หารือการใช้ยาร่วมกัน

อันที่จริงอาการประชวรขององค์ชายสองเป็นเรื่องปกติ

ประชวรมานานเพียงนี้ ใบสั่งยาล้วนสำเร็จรูป

แต่อย่างไรเขาก็เป็นองค์ชาย

เมื่อประชวร หมอหลวงย่อมต้องรักษาและจ่ายยาให้องค์ชายสองตามหน้าที่

เยียนอวิ๋นฉีเฝ้าองค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินกินยาอยู่ด้านข้าง

“องค์ชายทรงรู้สึกดีขึ้นหรือไม่เพคะ”

องค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินพยักหน้า “ยาในวังเห็นผลดีมาก เมื่อได้กินยาก็ดีขึ้นมากแล้ว ทางข้าเจ้าไม่ต้องกังวล ข้ามีขันทีคอยปรนนิบัติ เจ้าไปทำสิ่งอื่นเถิด”

เยียนอวิ๋นฉีพูด “ภายในจวนมีเรื่องน้อย ไม่มีเรื่องใดให้หม่อมฉันทำ หม่อมฉันอยู่ดูแลองค์ชายจะดีกว่า!”

“ไม่ต้อง!”

ท่าทีขององค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินแน่วแน่ เขาไม่ต้องการให้เยียนอวิ๋นฉีอยู่เคียงข้าง

ถึงแม้ทั้งสองเป็นคู่ครองกัน แต่ไม่เท่ากับว่าเขาต้องเปิดเผยทุกเรื่องต่อนาง

อีกอย่าง ทั้งสองอภิเษกสมรสกันเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ยังไม่คุ้นเคยถึงขั้นที่สามารถเปิดเผยทุกเรื่องได้

เยียนอวิ๋นฉีได้ยินน้ำเสียงแน่วแน่และเย็นชาของเขา หัวใจของนางเย็นยะเยือก

นางสูดลมหายใจเข้า พยายามเค้นยิ้มออกมา “ได้เพคะ! องค์ชายทรงรักษาพระวรกายให้ดี วันพรุ่งนี้หม่อมฉันจะมาเยี่ยมองค์ชายใหม่เพคะ”

นางลุกขึ้นจากไปด้วยความรู้สึกหดหู่

สาวรับใช้อยากจะปลอบนาง แต่ก็ถูกนางห้ามเอาไว้

นางไม่ต้องการการปลอบใจจากผู้ใด

นางคาดเดาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ก่อนออกเรือนแล้ว

อีกอย่างองค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินไม่ยินดีให้นางอยู่เคียงข้าง นางก็ไม่อยากอยู่เช่นเดียวกัน

นางแค่แสดงความเกรงใจเท่านั้น ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจริงจัง

นางหัวเราะเย้ยหยันพลางพึมพำ “น้องสี่พูดไม่ผิด อย่าเห็นบุรุษสำคัญเกินไป”