บทที่ 44 ตวัดมีดแย่งโฉมงาม

ชุดคลุมยาวสีแดงเข้ม เรือนผมยาวสีเงิน หน้ากากหมาป่าที่ปกปิดใบหน้ากว่าครึ่ง ทั้งยังนัยน์ตาสีเขียวเข้มและผิวพรรณขาวดั่งหยก ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เขาดูแตกต่างจากผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง ถึงจะเป็นเช่นนั้น บรรยากาศลึกลับและไม่แยแสสิ่งใดของเขาก็ยังสามารถดึงความสนใจจากใครหลายคน ทิ้งองค์หญิงเก้าเยว่ซินเหยียนที่งดงามและสดใสข้างกายเขาให้ถูกมองข้ามไป

หากแต่เยว่ซินเหยียนไม่ใส่ใจ นางชินชาเสียแล้ว เมื่อไหร่ที่นางเดินคู่กับพี่เยี่ยหลีเช่นนี้ ผู้คนจะมองข้ามนางไปเสมอ

“พี่ พี่! ท่านดู! ชางไห่อ๋อง!” น้ำเสียงตื่นเต้นของเด็กหนุ่มดังปลุกชิงอวี่ที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น

นางกลอกตามองเขา นางเบื่อหน่ายเสียจนแทบหลับไปอยู่รอมร่อ แต่เด็กคนนี้กลับไม่ยอมให้นางได้หลับอย่างสงบ ช่างเกินไปจริง ๆ

พวกเขามีฐานะต่ำต้อย ดังนั้นจึงได้นั่งอยู่แถวหลังสุด ตรงนี้มีคนไม่มากนัก ทั้งยังเงียบสงบ ดังนั้นถึงจะหลับไปก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ด้วยผู้ที่มีความโดดเด่นต่างพากันนั่งอยู่ด้านหน้า

หลังจากถูกชิงเป่ยปลุกจนตาสว่าง นางจึงไม่อยากงีบหลับอีก ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาเกียจคร้าน บุรุษที่ทุกคนจดจ้องนั่งอยู่ด้านบนเงียบ ๆ ริมฝีปากบางปิดสนิท นัยน์ตาเรียบเฉย บนศีรษะมีผมสีเงินเงางาม สภาพอากาศกลางฤดูร้อนเช่นนี้ดูจะไม่ทำให้บุรุษผู้นี้อบอุ่นขึ้นแม้แต่นิดด้วยกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างเขาให้ความรู้สึกเย็นชาสันโดษ

สายตาชิงอวี่พลันชะงักค้าง นัยน์ตาที่เมื่อครู่เปิดเพียงครึ่งอย่างเกียจคร้านพลันเบิกกว้าง ดูตกใจเล็กน้อย

ชิงเป่ยเห็นสายตานาง จึงหัวเราะขึ้นอย่างผู้ชนะ “เป็นอย่างไร? เป็นคนที่พิเศษมากใช่หรือไม่? ชางไห่อ๋องแข็งแกร่งมาก ข้าได้ยินว่าเขาสามารถเดินทางไปยังดินแดนระดับสูงได้ หากแต่ด้วยคำที่เคยให้สัญญาเขาจึงไม่ไป เป็นบุรุษที่มีคุณธรรมและรักษาคำพูดยิ่ง”

ชิงเป่ยนับถือชางไห่อ๋องจากใจจริง ไม่ใส่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นแม่ทัพของแคว้นอื่น

เดี๋ยวก่อน….. ข้าจะพอมีโอกาสได้พูดคุยกับเขาสักคำหรือไม่?

ชิงอวี่ไม่อาจเรียกสติตนคืนมาได้อยู่หลายอึดใจ หรือลางสังหรณ์นางอาจผิดพลาด?

เหตุใดคนผู้นี้….. นางจึงรู้สึกคุ้นเคยนัก ราวกับว่านางเคยรู้จักเขาเมื่อชาติก่อน

แต่บุรุษผู้นี้กับคนผู้นั้นก็ยังมีข้อแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือท่าทางเย็นชานั่น

แววตาชิงอวี่ซับซ้อนยิ่งนัก หรือเขาเองก็อาจจะมาเกิดใหม่ในร่างใหม่เหมือนกับนาง?

ไม่หรอก คงไม่มีเรื่องบังเอิญมากเช่นนั้น ให้นางรับเรื่องนี้ไว้ผู้เดียวก็พอแล้ว

ขนตานางสั่นไหวยามนางกะพริบตา นัยน์ตาก้มมองต่ำ เป็นตอนนั้นเองที่ชิงเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ห่างไกลออกไปพลันเบนสายตามองมาทางนาง นัยน์ตาสีเขียวเข้มทะมึนลง คนที่จ้องมองเขาอยู่เมื่อครู่เป็นใครกัน? สายตานั่นแรงกล้ามากจนเขาไม่อาจเมินเฉยได้ ไม่เหมือนกับสายตาเจือแววสงสัยหรือแววชื่นชมของคนอื่น ๆ เป็นสายตาที่ซับซ้อนและล้ำลึกยิ่งนัก

น่าเสียดายที่อีกฝ่ายหลบตาไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงหาเจ้าของสายตานั้นไม่เจอ

“ชางไห่อ๋องโดดเด่นสมคำร่ำลือ เป็นมังกรในหมู่มนุษย์โดยแท้!” หลังจากฮ่องเต้แห่งชิงหลานหลุดออกจากภวังค์ ก็เอ่ยชมชิงเยี่ยหลี หลังจากนั้นจึงเห็นเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างกายเขา นัยน์ตาของฮ่องเต้พลันเป็นประกายสดใส “ผู้นี้คงจะเป็นองค์หญิงเก้า สมกับที่เป็นโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งหลินยวน มาเถิด เชิญนั่ง!”

ข้ารับใช้ในวังเดินนำแขกไปยังที่นั่ง เป็นโต๊ะตรงกันข้ามกับเยี่ยนซู่

ถึงเยี่ยนซู่จะเคยพบชิงเยี่ยหลีมาก่อน หากแต่เวลาเจ็ดปีที่ผ่านมา บุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปมาก พละกำลังเพิ่มสูงขึ้นจนล้ำลึกไม่อาจคาดเดาได้ เยี่ยนซู่ปัดความคิดทุกอย่างทิ้งก่อนยกแก้วขึ้นกล่าว “ชางไห่อ๋อง ไม่ได้พบกันนาน ยินดีต้อนรับเข้าสู่แคว้นชิงหลาน ให้อ๋องผู้นี้ดื่มเป็นเกียรติให้ท่านสักหนึ่งจอก!”

ชิงเยี่ยหลีละสายตากลับมา มือใหญ่หยิบจอกสีม่วงอันงดงามขึ้นดื่มจนหมดจอก ก่อนที่น้ำเสียงน่าดึงดูดเจือแววเย็นชาเล็กน้อยจะเอ่ยขึ้น “ขอบคุณท่านมาก”

เสียงคนถอนหายใจหลายเสียงดังมาให้ได้ยิน ชางไห่อ๋องทั้งหยิ่งผยองและเย็นชาสมคำร่ำลือ

เมื่อเห็นดังนั้น เยว่ซินเหยียนก็คลี่ยิ้มสง่างาม ก่อนจะยกจอกของตนขึ้นเช่นกัน “ขอบคุณฮ่องเต้และหย่งอันอ๋องที่ต้อนรับขับสู้พวกเราเป็นอย่างดี ชางไห่อ๋องไม่ค่อยได้เข้าร่วมงานพิธี หากพวกเราทำกิริยาอันใดไม่งดงาม ข้าต้องขออภัยด้วย ซินเหยียนขอดื่มเพื่อแสดงความเคารพต่อทุกท่าน!”

สิ้นคำนางก็สามารถพลิกบรรยากาศน่าอึดอัดได้อย่างง่ายดาย

นางเป็นองค์หญิงที่แคว้นหลินยวนให้ความเคารพนับถือ ชาวเมืองทั้งรักและไม่เคยขัดใจนางเพียงนิด ถึงยามอยู่แคว้นบ้านเกิดนางจะเป็นเด็กสาวตัวน้อยผู้ซุกซน หากแต่ฐานะองค์หญิงแห่งแคว้นไม่ได้มีไว้เพียงโอ้อวดคน ท่าทางและความตรงไปตรงมาของนางเป็นดั่งคลื่นน้ำสดชื่นที่เข้าปะทะสู่กลางใจคน

ทั้งยังมีกลิ่นอายองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ และความเอื้ออารีแผ่ออกมาจากเด็กสาวผู้นี้

ด้วยเหตุนั้น ฮ่องเต้ชิงหลานจึงโปรดนางมาก เยี่ยนซู่เองก็มีรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า นับถือองค์หญิงเก้าที่ได้ยินคำร่ำลือมานานเป็นอย่างมาก

และเยี่ยนหนิงลั่วที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดท่ามกลางกลุ่มสตรี ในสายตานางมีอารมณ์ซับซ้อนเจืออยู่

ชิงเยี่ยหลีไม่ชอบให้ใครอยู่ใกล้ชิดเขานัก กระทั่งยามที่เขาบาดเจ็บสาหัสก็ยังไม่ยอมให้ผู้ใดแตะต้องตัว แต่กลับกล้ำกลืนฝืนความเจ็บปวดและใส่ยาพันแผลด้วยตนเอง ส่วนนางได้แต่นั่งมองเขาอยู่เงียบ ๆ

หากแต่ตอนนี้ เยว่ซินเหยียนผู้นั้นกลับนั่งอยู่ข้างกายเขา บนใบหน้ามีรอยยิ้มงามราวกับดอกไม้แรกแย้ม

เช่นนั้นความรู้สึกที่เขามีต่อเยว่ซินเหยียน….. ต่างจากคนอื่นงั้นหรือ?

“นิสัยใจคอองค์หญิงน้อยผู้นั้นไม่เลว” ชิงอวี่ก้มหน้าลงจิบเหล้าผลไม้ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างใจลอย

ตั้งแต่ที่นางเห็นชางไห่อ๋องปรากฏตัวขึ้น จิตใจนางก็ยุ่งเหยิงเล็กน้อย ถึงนางจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ในใจนางก็ยังคิดเตลิดไปไกล

เด็กหนุ่มด้านข้างนางไม่ทันสังเกตเห็นท่าทางของนาง ด้วยกำลังตื่นเต้นดีใจ กระซิบเสียงเบาว่า “ชางไห่อ๋องมีกลิ่นอายผู้อยู่เหนือคนทั้งปวงจริง ๆ! ข้านับถือเขายิ่งนัก!”

ไม่ว่าเขาจะเย็นชาและเย่อหยิ่งถึงเพียงไหน ชิงเป่ยก็รู้สึกเพียงว่าท่าทางเช่นนั้นเป็นท่าทางที่ผู้แข็งแกร่งควรมี

ชิงอวี่ส่ายหัวอ่อนใจ นางยกมือขึ้นเท้าคาง ดูท่าทางเบื่อหน่ายเฉื่อยชายิ่ง หากแต่ทันใดนั้นขนอ่อนทั่วร่างพากันลุกเกรียวยามที่นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายชั่วร้ายที่วาบผ่านร่างไปเพียงชั่วพริบตา

นางรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ท่าทางเฉื่อยชาเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นขึงขัง ส่งผลให้ชิงเป่ยตกใจ รีบเอ่ยถามขึ้น “มีอะไรหรือท่านพี่?”

“เปล่าหรอก จู่ ๆ ก็รู้สึกหนาวขึ้นมา”

“อ้อ เช่นนั้นคงเป็นลมหอบหนึ่งพัดเข้ามากระมัง”

“อืม”

ชิงอวี่ไม่พูดต่อ หากแต่หันไปด้านข้างเล็กน้อย สายตามองออกไปนอกห้องโถงหลวง

พระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ยิ่งเทศกาลหนึ่งร้อยนักบุญใกล้เข้ามาพระจันทร์ก็ยิ่งดวงกลมโตขึ้นเรื่อย ๆ เกิดเป็นภาพงดงามจับตา

ที่ภายนอกห้องโถงใหญ่ในพระราชวังหลวง ต้นไม้สูงเทียมเมฆหลายต้นเรียงกันเป็นแถวยาว ลำต้นดูสูงราวกับจะแตะถึงดวงจันทร์ได้ เห็นเป็นเงาต้นไม้สีดำหลายเงา พื้นที่ด้านนอกเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงลม กิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใหญ่ไม่สั่นไหวแม้เพียงนิด

หากแต่เมื่อครู่นางสัมผัสถึงลมแรงที่หนาวลึกถึงกระดูก หรือนางจะรู้สึกไปเอง?

ลางสังหรณ์นางมักแม่นยำไม่ค่อยผิดพลาดนัก อย่างไรก็ระมัดระวังไว้ก่อนดีกว่า

บนที่นั่งยกระดับ ฮ่องเต้ชิงหลานและขุนนางยศสูงคนอื่น ๆ กำลังสนทนาอยู่กับชิงเยี่ยหลีและคณะเดินทางจากแคว้นหลินยวน เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างแคว้น ทั้งสองฝ่ายต่างพูดคุยเรื่องเบาสมองกันพอเป็นพิธี กว่าจะได้เวลาเข้าประเด็นหลักแล้ว

“ได้ยินว่าองค์หญิงเก้าเดินทางมาในครั้งนี้เพื่อหาคู่ครอง หากแต่เราว่าแค่ชื่อเสียงท่านก็สามารถดึงความสนใจจากชายหนุ่มมากความสามารถนับไม่ถ้วนให้อยากเป็นราชบุตรเขยของแคว้นหลินยวนได้แล้วไม่ใช่หรือ? เราแปลกใจนักว่าหรือองค์หญิงเก้าจะมีใครในดวงใจที่อยู่ในแคว้นชิงหลานของเราหรือไม่?”

บนใบหน้าฮ่องเต้ชิงหลานมีความเมตตานัก หากแต่ในใจกลับคิดอีกอย่าง ถึงอีกฝ่ายจะไม่มีความคิดจะก่อสงคราม หากแต่การมาในครั้งนี้ก็คงมาเพื่อท้าทายและยุแหย่เป็นแน่ เขาไม่เชื่อว่าแคว้นหลินยวนจะเดินทางหลายพันลี้มาเพียงเพื่อเที่ยวชมวิวทิวทัศน์เล่นแน่

บนใบหน้าเยว่ซินเหยียยังคงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มสงวนท่าที “ซินเหยียนเพิ่งอายุเข้าพิธีปักปิ่น ในตอนนี้ยังไม่คิดหาคู่ครอง หากจะมีคนเอาชนะใจข้าได้ คนผู้นั้นจะต้องแข็งแกร่งกว่าข้าเท่านั้น”

พูดจบนางก็เว้นระยะเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองซวนหยวนเช่อ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “ข้าได้ยินว่าองค์รัชทายาทแห่งแคว้นชิงหลานเป็นศิษย์เอกของเจ้าสำนักละอองหมอก ถึงอายุจะยังน้อย หากแต่ฝีมือล้ำหน้าศิษย์รุ่นพี่อายุมากกว่านัก ข้าคิดว่าองค์รัชทายาทเองก็เป็นผู้ที่มีความสามารถแข็งแกร่งผู้หนึ่ง”

เมื่อนางเอ่ยเช่นนั้น ผู้คนก็ไม่อาจสงบใจได้อีกต่อไป

องค์หญิงแห่งแคว้นหลินยวนมีความประสงค์ใดถึงได้เดินทางมาที่นี่กันแน่?

จุดประสงค์ของนางเด่นชัดนัก ทุกคนในห้องโถงรู้ว่านางต้องการทำสิ่งใด นางน่าจะรู้ว่าองค์รัชทายาทและองค์หญิงหนิงเฟิ่งได้หมั้นหมายกันแล้ว หากก็ยังเอ่ยท้าทายคิดแย่งบุรุษขององค์หญิงหนิงเฟิ่ง เป็นการกระทำที่หยิ่งผยองเกินไปกระมัง?

ถึงนางจะเป็นองค์หญิงจากต่างแคว้น หากแต่ก็ไม่น่าจะเดินทางมาที่นี่เพื่อช่วงชิงคู่หมั้นผู้อื่นอย่างโจ่งแจ้งไร้ยางอายเช่นนี้ได้!

ผู้คนในโถงจัดเลี้ยงจึงเริ่มมองหาเยี่ยนหนิงลั่ว ในที่สุดก็พบว่านางนั่งอยู่ในหมู่สตรี หากแต่ถูกท้าทายต่อหน้าคนหมู่มากเช่นนี้ นางกลับไม่แสดงความโกรธออกมา ทั้งยังดูมั่นคงไร้ความรู้สึกกับคำพูดเมื่อครู่ ด้วยอารมณ์ที่ไม่เปลี่ยนแม้เพียงเล็กน้อย

ผู้คนจึงชื่นชมนางอยู่ในใจ เป็นเด็กสาวอัจฉริยะอันดับหนึ่งโดยแท้ จิตใจเข้มแข็งเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้

หากแต่พวกเขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเยี่ยนหนิงลั่วไม่ได้มีความรู้สึกใดต่อซวนหยวนเช่อ ถึงจะมีใครท้าทายนาง ให้คนผู้นั้นชิงซวนหยวนเช่อไปเลยก็ดี นางจะได้ถือโอกาสถอนหมั้นเสีย

ชิงอวี่เริ่มสนใจในตัวองค์หญิงน้อยผู้ตรงไปตรงมาผู้นี้ นางชอบองค์รัชทายาทหรือ? เหตุใดนางจึงคิดว่าจุดประสงค์ขององค์หญิงไม่ง่ายดายเช่นนั้น?

ในฐานะผู้เกี่ยวข้องโดยตรง ซวนหยวนเช่อได้ยินประโยคที่ฟังดูราวกับกำลังสารภาพความในใจเช่นนั้น เขาก็ชะงักไปเช่นกัน เขาจึงหันไปพยักหน้าพอเป็นมารยาทให้องค์หญิงเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณคำชมขององค์หญิงเก้า หากแต่ข้ามีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว”

คำปฏิเสธของเขาชัดเจนนัก ส่งผลให้ใจดวงน้อย ๆ ของเหล่าหญิงสาวทั้งหลายที่ในใจยังมีความหวังต่อซวนหยวนเช่อพากันแตกสลายไม่มีชิ้นดี องค์รัชทายาทมีความรักล้ำลึกเช่นนี้ พวกนางคงไม่มีหวังเป็นแน่แท้

ทว่าเยว่ซินเหยียนกลับยิ้ม ดูท่าจะไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “ข้าทราบดี ดังนั้นข้าจึงมีเพียงหนึ่งคำขอ หวังว่าองค์ฮ่องเต้จะทรงประทานให้”

“องค์หญิงเก้าต้องการสิ่งใดหรือ?” ฮ่องเต้ชิงหลานตกใจกับความในใจของเยว่ซินเหยียน หากแต่ก็ยังสงสัยว่าเจตนาที่แท้จริงของนางเป็นสิ่งใดกันแน่

“องค์หญิงเช่นข้าไม่เคยก้าวเท้าออกจากแคว้นหลินยวนมานานกว่าสิบปี ได้แต่หมั่นบำเพ็ญเพียรฝึกตน ดังนั้นข้าจึงคิดว่าตนเองมีฝีมือไม่น้อย หากแต่ข้าได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่าในแคว้นชิงหลานมีเด็กสาวอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สูงส่งอยู่ ว่ากันว่าเป็นสตรีที่มีฝีมือที่สุดแห่งแคว้น ผู้คนนำข้าไปเปรียบเทียบกับนางอยู่บ่อยครั้ง ข้าจึงเกิดความสงสัยในใจ”

ได้ยินดังนั้น นัยน์ตาเยี่ยนหนิงลั่วก็ลึกล้ำขึ้น ราวกับรู้ว่าองค์หญิงกำลังจะพูดคำใดต่อไป

เป็นไปดั่งที่คาดคิด คำพูดต่อมาของเยว่ซินเหยียนที่เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มงาม “ตัวข้าสงสัยยิ่งนักว่าระหว่างข้ากับแม่นางอัจฉริยะในแคว้นอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ ผู้ใดจะเก่งกาจกว่ากัน ดังนั้นข้าจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อขอท้าสู้กับนาง”

เยว่ซินเหยียนค่อนข้างตัวเล็ก ดวงหน้างามน่ารักซุกซน หากมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของนาง ก็คงคิดว่านางเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปตั้งแต่ยังไม่เริ่มสู้แน่แล้ว

เด็กสาวผู้นี้คือคนที่กระหายการต่อสู้เป็นอย่างมาก บุรุษมากหน้าหลายตาในแคว้นหลินยวนยังไม่อาจมีฝีมือเทียบเท่านาง