ตอนที่ 128 ตระกูลอวี้มีฉังคง

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 128 ตระกูลอวี้มีฉังคง
Ink Stone_Romance
ตระกูลอวี้แห่งต้าเฟิง ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปอย่างไร ไม่ว่าผู้ปกครองแผ่นดินจะเปลี่ยนเป็นใคร พวกเขาก็เป็นตระกูลซ่อนเร้นที่ไร้ความเคลื่อนไหว ตระกูลอวี้ไม่มีใครรับราชการในราชสำนัก แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อฐานะของพวกเขา ไม่ว่าจะในต้าเฟิงหรือแม้กระทั่งอาณาจักรเพื่อนบ้านเพราะตระกูลอวี้ได้วางแผนไว้อย่างดี หากได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลอวี้ย่อมประสบความสำเร็จด้วยดี
ทุกคนต่างให้ความเคารพต่อตระกูลอวี้ คนในราชวงศ์ล้วนอยากได้ตระกูลอวี้เป็นที่ปรึกษา แต่บรรพบุรุษของตระกูลอวี้มีกฎเกณฑ์ว่าจะเลือกคนมีคุณธรรมด้วยตนเอง
ตระกูลอวี้ยังมีฉังคง ร้อยปีถึงจะมีผู้มีความสามารถที่หาได้ยากเช่นนี้สักคน ได้รับการปลูกฝังเป็นทายาทตระกูลอวี้รุ่นที่ยี่สิบเอ็ดมาตั้งแต่เด็ก แต่น่าเสียดายที่เขาตาบอดตอนอายุสิบขวบ
ใต้หล้าเสียดายที่อวี้ฉังคงตาบอดแต่ก็อดยกย่องไม่ได้ คุณชายอวี้ฉังคงรูปงามราวกับหยก ความฉลาดเป็นเลิศไร้ผู้เปรียบ เป็นผู้นำตระกูลอวี้
ฉีเชียนก็คิดเช่นนั้น
หากดวงตาที่ใสสะอาดลุ่มลึกคู่นั้นสามารถมองเห็นได้ เขาก็คงเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งของต้าเฟิง
“รุ่ยจวิ้นอ๋อง”
เสียงเอ่ยถึงตำแหน่ง ‘รุ่ยจวิ้นอ๋อง’ ดึงสติฉีเชียนกลับคืนมา เสียงนั้นเยือกเย็นราวกับหิมะบนหุบเขา
ฉีเชียนได้สติกลับคืนมา มองไปเห็นบุรุษรูปงามตรงหน้า เขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงดำปักลายทองกำลังยกมือประสาน เขาจึงเดินก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วโค้งคารวะแม้ว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นก็ตาม
“ฉังคงเห็นข้าเป็นคนอื่นแล้ว จึงไม่เรียกชื่อข้าอย่างนั้นหรือ หรือว่าข้าก็ต้องเรียกเจ้าว่าคุณชายฉังคงเหมือนคนทั่วไป”
อวี้ฉังคงมีชื่อเล่นว่าอวี้ลิ่งสือ นามทางการคือฉังคง ใครๆ ก็เรียกนามทางการของเขาว่าคุณชายฉังคง
เมื่อได้ยินคำบ่นคล้ายหยอกล้อของฉีเชียน อวี้ฉังคงก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ฮ่าวหราน”
ฉีเชียนเดินไปหาเขา แล้วพาเดินเข้ามาในห้อง เอ่ยว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาเรือนรับรองฤดูร้อน เจ้าไม่ได้มาหลายปีแล้ว ข้าคิดว่าเจ้าจะอยู่ที่ตระกูลอวี้ไม่ไปไหนแล้ว”
คนตระกูลอวี้อาศัยอยู่ในอำเภอหลานของชิงโจวซึ่งติดกับเมืองหนิงโจว เป็นสถานที่ที่มีภูเขาสวยน้ำใส เรียกได้ว่าที่นั่นเป็นอาณาเขตของตระกูลอวี้
“สามปีแล้ว”
อวี้ฉังคงกับฉีเชียนเข้ามานั่งด้านในห้อง ซื่อฟังบ่าวรับใช้ยกถ้วยชามาให้ จากนั้นก็กลับไปยืนรอฟังคำสั่งอยู่ที่หน้าประตู
“เจ้าควรจะออกไปเดินให้มาก” ฉีเชียนกล่าวพลางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
อวี้ฉังคงฟังจากน้ำเสียง ใช้นิ้วเรียวยาวลูบขอบถ้วยชา กล่าวอย่างใจเย็น “อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน”
ฉีเชียนเข้าใจความหมายคำพูดนี้ เอ่ย “ฉังคง เจ้ารู้จักหมอลัทธิเต๋านามว่าปู้ฉิวหรือไม่”
“หืม?”
“ที่อารามชิงผิงในเมืองหลี มีหมอนักพรตเต๋านามว่าปู้ฉิว มีทักษะการรักษาที่น่าทึ่ง ข้าคิดว่า…”
อวี้ฉังคงขัดจังหวะเขา เอ่ย “ฮ่าวหราน ข้าไม่ได้มีความคิดจะรักษาอีกต่อไป”
“ทำไมหรือ หรือว่าเจ้าไม่อยากมองเห็นอีกต่อไปแล้ว” ฉีเชียนกังวลเล็กน้อย
“ข้าตาบอดมาสิบปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะชินกับมัน หากจะต้องทำความคุ้นชินใหม่ก็ค่อนข้างน่ารำคาญ” เสียงของอวี้ฉังคงแผ่วเบาและเย็นชา กล่าวว่า “อีกอย่าง จะมองเห็นหรือไม่แล้วสำคัญอย่างไร โลกใบนี้ไม่ได้สว่างไสวเหมือนเมื่อก่อนที่ข้าเคยเห็น ในเมื่อมันมืดมิด แล้วจะต่างจากความมืดมิดในดวงตาข้าอย่างไร มองเห็นไปก็เท่านั้น!”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ ความเฉยเมยและดูหมิ่นโลกใบนี้ราวกับว่าเป็นคนนอก
ฉีเชียนเม้มริมฝีปาก “หรือว่าเจ้าเต็มใจให้เป็นเช่นนี้”
อวี้ฉังคงเงียบไป
“ฉังคง บนโลกใบนี้ยังมีสถานที่ที่สดใสที่เจ้าอยากจะไปอยู่เสมอ คงน่าเสียดายหากเจ้ามองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้”
อวี้ฉังคง ‘มอง’ เขาด้วยสายตาว่างเปล่า “มีหรือ”
โลกของเขามืดลงตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว
“เจ้ามองไม่เห็น ไม่ได้หมายความมันไม่มีอยู่จริง” ฉีเชียนเม้มริมฝีปาก เอ่ยต่อว่า“อีกอย่าง หรือว่าเจ้าไม่อยากค้นหาคนผู้นั้น”
เมื่ออวี้ฉังคงได้ยินเช่นนั้นทั้งตัวของเขาก็เต็มไปด้วยไอเย็น ลุกขึ้นพลางเอ่ย “ดวงตาข้ามองไม่เห็น ไม่ขอไปส่งเจ้า”

หลังจากที่ฉีเชียนไปแล้ว อวี้ฉังคงยืนมือไขว้หลังอยู่หน้าหน้าต่างเป็นเวลานานราวกับว่าเวลาถูกหยุดไว้ ซื่อฟังบ่าวรับใช้เดินเข้ามาเอ่ยเสียงเบาว่า “คุณชาย ให้บ่าวเปลี่ยนกาน้ำชาให้ท่านหรือไม่ขอรับ”
“ลุงเฉียนล่ะ ให้เขามาหาข้าหน่อย”
“ขอรับ” ซื่อฟังตอบรับอย่างรวดเร็ว โค้งคำนับแล้วถอยออกไป
ไม่นานเขาก็พาชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบปีซึ่งมีผมหงอกเล็กน้อยตรงขมับทั้งสองข้างเดินเข้ามา
“ไยคุณชายมายืนตากลมที่หน้าต่าง ซื่อฟังเจ้าก็ไม่รู้จักปิดหน้าต่าง หากเป็นหวัดขึ้นมาจะทำอย่างไร” ลุงเฉียนเดินเข้าไป ต้องการจะปิดหน้าต่างที่แง้มอยู่
“ไม่ต้องแล้ว ดอกจินกุ้ย[1]นี้กลิ่นหอมมาก มองไม่เห็น ได้ดมกลิ่นสักหน่อยก็ยังดี” อวี้ฉังคงหันกลับมา แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็น แต่ในใจกลับคำนวณระยะห่างระหว่างวัตถุในห้องได้ เขานั่งลงอย่างแม่นยำพลางถามว่า “ลุงเฉียนได้เข้าเฝ้าพระชายาผู้เฒ่าหนิงแล้วหรือ”
ลุงเฉียนมาอยู่ตรงหน้าเขา เอ่ยด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย “เข้าเฝ้าแล้วขอรับ อาการหนาวสั่นของพระชายาผู้เฒ่าหนิงดีขึ้นมากแล้ว บ่าวได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้รุ่ยจวิ้นอ๋องได้เชิญหมอนักพรตเต๋าจากเมืองหลีมารักษา”
เมื่อซื่อฟังได้ยินเช่นนั้นก็ถามแทรกขึ้นมาว่า “พระชายาผู้เฒ่าหนิงเจ็บป่วยด้วยโรคหนาวสั่นมาหลายปีแล้ว หมอชื่อดังที่เชิญมาก็ไม่ได้น้อยไปกว่าคุณชายของเรา รักษาหายแล้วจริงๆ หรือ”
“พระชายาผู้เฒ่าหนิงให้ข้าเข้าเฝ้า แล้วยังถามถึงคุณชายอีกด้วย คุณชายก็รู้ เมื่อก่อนในวันเช่นนี้พระชายาเอาแต่อยู่ในตำหนักไม่ออกไปไหน สวมเสื้อคลุมที่ทั้งหนาและหนักซ้ำยังจุดเตามังกรดิน[2]ให้ความอบอุ่น แต่ตอนนี้พระชายาสวมใส่เสื้อผ้าบาง ใบหน้าแดงระเรื่อ ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก จากที่พระชายาทรงเอ่ย โรคหนาวสั่นได้รับการรักษาหายขาดแล้ว หมอนักพรตเต๋านามว่าปู้ฉิวผู้นั้นมีทักษะการรักษาที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ขอรับ”
ลุงเฉียนกล่าวอย่างตื่นเต้น “พระชายาผู้เฒ่ายังบอกว่าเราสามารถไปรับการรักษาได้ คุณชาย พวกเราไปเมืองหลีกันเถอะขอรับ”
อวี้ฉังคงเอ่ย “ลุงเฉียน หลายปีมานี้ข้าถอดใจไปตั้งนานแล้ว หากรักษาให้หายได้จริง เวลาที่ดีที่สุดที่จะรักษาโรคตานี้คือตอนที่มันพึ่งเกิดขึ้น ตอนนี้ก็ผ่านมาสิบปีแล้ว”
“นั่นเป็นเพราะท่านยังไม่เคยได้พบหมอที่มีชื่อเสียงจริงๆ ขอรับ” ลุงเฉียนเอ่ยต่อว่า “บ่าวถามพระชายาผู้เฒ่ามาอย่างละเอียดแล้ว พระชายาตรัสว่าหมอนักพรตเต๋าผู้นั้นมีทักษะการรักษาแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร ได้ยินมาว่าเป็นวิธีของเต๋าขอรับ”
อวี้ฉังคงเงียบไป ใช้ปลายนิ้วเคาะฝาถ้วยชาเบาๆ ฟังเสียงกระทบกันที่คมชัด เอ่ย “สิบเต๋าเก้าวิชาแพทย์ เสวียนเหมินมีวิชาการรักษา แต่ลุงเฉียนอย่าลืมสิว่าตอนนั้นท่านปู่ก็เคยพาข้าไปเยี่ยมอาจารย์ของเสวียนเหมิน[3] แม้แต่พระภิกษุของสำนักพุทธก็ยังเคยดูให้ ลองมาแล้วทุกวิธีก็ยังทำอะไรไม่ได้ไม่ใช่หรือ”
เขาหลุบตาลง ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความเย็นชาเล็กน้อย
ตอนที่พึ่งสูญเสียการมองเห็น แน่นอนว่าเขาตื่นตระหนกและไม่เต็มใจ กระตือรือร้นที่จะหาแพทย์หรือยามารักษา เพียงแต่ว่าความหวังของเขากลายเป็นความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า นานวันเข้าเขาก็สูญเสียความมั่นใจ
หลังจากเคยชินกับการสูญเสียแสงสว่าง เขาก็สงบลงกว่าเดิม ในเมื่อคุ้นชินแล้ว ยังมีอะไรที่เขาจะรับไม่ได้อีก
เพียงแต่ว่าเสียงตีบอกเวลาในยามค่ำคืนนั้นช่างยาวนานเหลือเกิน
“คุณชาย ไม่ว่าจะมุ่งหวังสิ่งใด ตราบใดที่เชื่อมั่นในสิ่งนั้นก็จะสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมได้ หมอเมื่อก่อนทำไม่ได้ เป็นเพราะคุณชายยังไม่ได้เจอหมอที่เก่งที่สุดผู้นั้น เป็นดั่งที่รุ่ยจวิ้นอ๋องกล่าว ไม่เคยพบเจอ ไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง บ่าวคุกเข่าขอร้องคุณชายอีกสักครั้งขอรับ” ซื่อฟังคุกเข่าลงกับพื้น
ลุงเฉียนมีสีหน้าอ้อนวอนเช่นกัน “คุณชาย ซื่อฟังกล่าวถูกแล้ว หากไม่ลองจะรู้ได้อย่างไรว่ารักษาไม่ได้ เราลองสักครั้งเถิด แม้แต่โรคที่พระชายาผู้เฒ่าเป็นมาตลอดยังสามารถรักษาให้หายขาดได้ บ่าวเชื่อว่าคนผู้นั้นต้องมีความสามารถอยู่พอตัวแน่นอนขอรับ!”
อวี้ฉังคง ‘มอง’ ออกไปนอกหน้าต่าง กล่าวด้วยน้ำเสียงห่างเหิน “ข้าแค่ไม่อยากผิดหวังอีกแล้ว”
ลุงเฉียนกลับเอ่ยขึ้นมาว่า “แต่ที่คุณชายเรียกหาบ่าวก็ไม่ใช่เพื่ออยากถามเรื่องสุขภาพและความคิดของพระชายาผู้เฒ่าหรอกหรือ หากคุณชายไม่กล้าลอง อีกร้อยปีข้างหน้าท่านจะกล้าไปพบท่านแม่ของท่านหรือขอรับ”
[1] ดอกจินกุ้ย ดอกหอมหมื่นลี้สีทอง
[2] เตามังกรดิน วิธีการให้ความร้อนแบบโบราณ มีอุโมงค์ไฟอยู่ใต้ดินในพระราชวังหลายแห่ง อุโมงค์ไฟมีรูอยู่ที่พื้นดิน ไฟจะถูกเผาภายนอกและความร้อนจะถูกส่งเข้าไปในบ้านผ่านอุโมงค์ไฟ
[3] เสวียนเหมิน เป็นอีกชื่อหนึ่งของลัทธิเต๋า