ตอนที่ 16 เขาก็คงแซ่เดียวกับนาง
“เมื่อวานนี้ข้าได้กวางมาตัวหนึ่งและได้แบ่งให้เพื่อนบ้านไปครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือข้าจึงนำมาขายให้โรงเตี๊ยมของท่าน แม้แต่ในครอบครัวของข้ายังไม่เหลือไว้กินแม้แต่ชั่งเดียว ข้าเอามาส่งให้โรงเตี๊ยมท่านหมดเลย ! ” หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
หลงจู๊หานก็ยิ้มกว้างในขณะเหลือบมองเนื้อกวางในตะกร้า “ไอหยา! เจ้าเก็บรักษาเนื้อได้ดีมาก ราวกับว่าเพิ่งล่ามันมาสด ๆ เมื่อเช้าอย่างไรอย่างนั้น เนื้อกวางของเจ้า…ข้าให้ราคาสูงกว่าเนื้อวัวชั่งละ 5 อีแปะ เจ้าพอใจหรือไม่ ? ”
เมื่อก่อนพรานล่าสัตว์ชอบเอากวางมาขายทั้งตัว ดังนั้นโรงเตี๊ยมจึงต้องนำไปถลกหนัง เลาะกระดูกและแล่เนื้อเองทำให้ราคาค่อนข้างต่ำ ซึ่งเนื้อกวางล้วนเช่นนี้ก็เคยรับซื้อไว้เช่นกันและการที่เขาให้ราคาโดยยึดตามราคาของเนื้อวัวเพราะต้องการผูกสัมพันธ์กับหลินเว่ยเว่ยหนุ่มน้อยในสายตาของเขาผู้มีพรสวรรค์เรื่องการล่าสัตว์ คนเช่นนี้ย่อมควรค่าแก่การให้หลงจู๊หานลงทุน !
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้าอย่างพอใจแล้วกล่าวว่า “หลงจู๊หานเป็นคนใจถึงอย่างที่ข้าคิดไว้จริง ข้าชอบคนใจถึงเช่นท่านนี่ล่ะ ! ยึดตามที่ท่านกล่าวเลยแล้วกัน ข้าตกลงตามนั้น ! ”
เนื่องจากเกิดภาวะภัยแล้งจึงทำให้ราคาเนื้อในเมืองเพิ่มสูงขึ้นจนถึงชั่งละ 60 อีแปะ เนื้อกวางที่หลินเว่ยเว่ยนำมามีราคาสูงถึงชั่งละ 65 อีแปะและน้ำหนักทั้งหมดก็อยู่ที่ 92 ชั่ง หลงจู๊หานจึงให้ราคาเพิ่มและจ่ายให้นางทั้งหมด 6 ตำลึง “ที่ข้าเพิ่มให้อีก 20 อีแปะถือว่าให้น้องหลินเอาไปซื้อขนมให้น้องชายก็แล้วกัน ! ”
“ข้าไม่กินขนม ข้าจะเก็บไว้ซื้อยาบำรุงร่างกายให้ท่านแม่ ! ” น้องชายคนเล็กกล่าวอย่างรู้ความ
หลังออกมาจากหอจุ้ยเซียนแล้ว หลินเว่ยเว่ยได้นำเงิน 2 ตำลึงยัดใส่มือหลินจื่อเหยียน “ปีหน้าเจ้าตั้งใจลงสนามสอบถงเซิงไม่ใช่หรือ ? หากมีเวลาว่างจงท่องตำราให้มาก ไม่ต้องไปรับจ้างคัดลอกตำราให้ผู้ใดแล้ว เช่นนั้นมันเปลืองเวลาใช่หรือไม่ ? ”
หลินจื่อเหยียนเตรียมตัดสัมพันธ์กับพี่สาวของตนแล้ว แต่คาดมิถึงเลยว่านางไม่คิดเล็กคิดน้อยต่อคำที่เขาเอ่ยออกมาเลยสักนิด อีกทั้งยังเอาเงินให้เขาตั้ง 2 ตำลึงเพื่อไว้ใช้จ่ายโดยมิต้องกังวลสิ่งใด
หลินจื่อเหยียนจึงเกิดความรู้สึกผิดขึ้นในใจขณะที่กำลังคิดว่าจะยอมรับผิดต่อพี่รองดีหรือไม่ แต่พอถึงเวลาที่จะกล่าวออกมา ปากของเขาก็พูดออกไปว่า “ท่านรู้หรือไม่ ? การคัดลอกตำราก็ถือเป็นวิธีเรียนรู้อย่างหนึ่ง ดังนั้นการคัดหนึ่งรอบย่อมได้ผลกว่าการอ่านสองสามรอบเสียอีก…”
“เวลาที่เจ้าใช้คัดตำราหนึ่งรอบสามารถนำมาใช้ท่องตำราได้ห้าหกรอบ เหตุใดเจ้าจึงบอกว่าไม่เสียเวลา ? สหายน้อย เลิกปากแข็งได้แล้ว ! ทำตัวเช่นนี้ไม่น่ารักเลย ! ” หลินเว่ยเว่ยยกมือดีดหน้าผากน้องสามไปหนึ่งที
เดิมทีหลินจื่อเหยียนเกิดความรู้สึกซาบซึ้งอยู่ภายในใจ ทว่าเมื่อได้ยินคำกล่าวของพี่รองแล้ว เขาก็เอ่ยด้วยความโมโห “ข้ามิใช่น้องเล็กที่จะได้น่ารักถึงเพียงนั้น ข้ามิใช่เด็กแล้วนะ ! ”
“ใช่ ใช่ ! ต้าฮว๋าของข้าไม่ใช่เด็กแล้ว ทว่าเป็นเสาหลักของครอบครัวต่างหาก ! สหายน้อย หากเจ้ายังไม่ยอมไปเรียนอีกก็อาจสายได้นะ ! ” หลินเว่ยเว่ยเอ่ยเตือนน้องชายด้วยท่าทีที่เหมือนกำลังเตือนเด็กน้อย
หลินจื่อเหยียนมองเงินที่พี่รองยัดใส่มือให้ หัวพู่กันของเขาใกล้จะพังแล้ว กระดาษที่ใช้เขียนตัวอักษรก็ใกล้หมดเต็มที ไหนจะหมึกอีก…เงินสองตำลึงนี้สามารถแก้ไขความทุกข์ใจให้เขาได้จริง ตอนนี้เขามีความรู้สึกโล่งอกมากขึ้นราวกับว่ามีคนมาช่วยยกก้อนหินก้อนใหญ่ออกจากก้นบึ้งของจิตใจ !
แม้ว่าพี่รองเป็นคนหยาบโลนมุทะลุ อีกทั้งยังปากร้ายและเจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่นางก็ยังสัมผัสได้ถึงความยากลำบากของเขาในยามนี้ ทั้งยังเป็นกังวลแทนเขาด้วย…
“เป็นอันใดไปหรือ ? ยังโกรธข้าอยู่หรือไร ? ไม่อยากใช้เงินที่ข้าหามาได้ใช่หรือไม่ ? เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะรอให้เจ้าหาเงินมาฟาดหน้าคืนก็แล้วกัน ! ” หลินเว่ยเว่ยทำสีหน้าเหมือนติดค้างกับน้องชายคนโต
หลินจื่อเหยียนเม้มริมฝีปากแน่นแล้วเอาเงินยัดใส่ในซอกแขนเสื้อ จากนั้นก็ยกสัมภาระอันหนักอึ้งขึ้นมาแล้วเดินจากไปอย่างทุลักทุเล พี่รองจะปากร้ายไปถึงเมื่อใด เสียบรรยากาศหมด ! หากเขายังรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของนางก็คงใช้แซ่เดียวกับนางไปแล้ว ! ( เดิมทีเจ้าก็ใช้แซ่เดียวกับนางอยู่แล้วมิใช่หรือ ! )
ในยามนี้น้องเล็กเงยหน้ามองพี่รองแล้วกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “ดูเหมือนพี่สามจะโกรธท่านมากเลย ! ”
“เจ้าไม่คิดว่าพี่สามดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยไม่ยอมรับว่าตนมีเจตนายั่วโทสะน้องชายคนโตเพราะเด็กหนุ่มก็ควรมีมาดของเด็กหนุ่มถึงจะถูก !
สีหน้าเช่นนี้ของเจ้าหนูน้อยช่างหาได้ยากเหลือเกิน ! หลินเว่ยเว่ยจึงอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา “ไปกันเถิด พี่รองมีเงินแล้วจะซื้อขนมให้เจ้าทาน แล้วก็ซื้อเค้กข้าวเหมือนเมื่อวานให้เจ้าอีก 1 ชั่งด้วย ! ”
“ไม่เอาเค้กข้าวแล้ว ที่ซื้อมาเมื่อวานข้ายังกินไม่หมดเลย ! ” เด็กน้อยส่ายศีรษะเป็นพัลวัน พี่รองหาเงินเก่งเหลือเกินและนางก็ใช้เงินเก่งอีกด้วย ทั้งที่เมื่อวานเพิ่งซื้อแป้ง เส้นหมี่ขาว วัตถุดิบคุณภาพดีและเนื้อเข้าบ้าน สามารถทำซาลาเปาทานเองได้แล้ว ไม่รู้ว่าเหตุใดนางต้องไปเสียเงินซื้อของกินอีก !
“หากเจ้าซ่อนไว้โดยไม่ยอมทาน มันจะงอกขนยาวออกมา ระวังทานไม่ได้เอานะ ! ” หลินเว่ยเว่ยแกล้งให้เจ้าหนูน้อยตื่นกลัว
เด็กน้อยได้ยินพี่สาวกล่าวเช่นนี้ก็ร้อนใจจนแทบร้องไห้ “ข้าควรทำเช่นไรดี ? พี่รองจ่ายเงินซื้อมันให้ข้าเชียวนะ ! ”
หลินเว่ยเว่ยจึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเก็บไว้ช่วงเช้าก็น่าจะไม่มีปัญหา เช่นนั้นพอกลับถึงบ้านเราจะทานเค้กข้าวให้หมด จะได้ไม่เสียของและเสียเงินเป็นร้อยกิมตุ้ง1 ! ”
“เป็นร้อยกิมตุ้งเชียวหรือ ? ฟังแล้วมันคงแพงมากใช่หรือไม่พี่รอง ? และมันคงสามารถซื้อเนื้อได้หลายชั่ง ! พี่รอง ต่อไปนี้เราไม่ต้องซื้อเค้กข้าวแล้ว ข้าไม่ชอบกิน ! ” เด็กน้อยพูดอย่างปวดใจ แม้ไม่เข้าใจว่ากิมตุ้งคือสิ่งใดก็ตาม
“เจ้าไม่ชอบทานแต่ท่านแม่ชอบ ! ” หลินเว่ยเว่ยอุ้มเด็กน้อยเดินไปตามถนนพลางมองหาร้านขายบ๊ะจ่างไปด้วย
เจ้าหนูน้อยขมวดคิ้วเหมือนลังเลอันใดบางอย่าง จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ก็ไม่ชอบกินเช่นกัน ! ”
หลินเว่ยเว่ยชักรู้สึกสนุกแล้วจึงแกล้งเขาต่อ “แต่ว่า…เค้กข้าวรสชาติหอมหวาน ข้าชอบทานนี่นา จะทำเช่นไรดี ? ”
เด็กน้อยเกิดความลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายเขาก็กัดฟันแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น…เช่นนั้นพี่รองก็ซื้อให้ตนเองสักนิดแล้วกัน แต่วันนี้อากาศร้อน พวกเราควรซื้อขนมที่เสียยากดีกว่า ! ”
คำว่า ‘สักนิด’ ของเจ้าหนูน้อยก็คือเค้กข้าวที่มีขนาดเท่ากำปั้นของเขา หลินเว่ยเว่ยเห็นดังนั้นก็หัวเราะร่าจนเกือบทำเด็กน้อยร่วงหลุดมือ นางจึงรีบกอดเขาเอาไว้แล้วลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู “เด็กน้อย เหตุใดเจ้าน่ารักได้ถึงเพียงนี้ ? ”
ตอนนี้นางเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับร่างกายนี้มากแล้ว อีกทั้งยังสามารถควบคุมพละกำลังได้อย่างชำนาญ เด็กน้อยเอนตัวซบในอ้อมกอดของนางด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ มุมปากของเขายกยิ้มขึ้น ขณะที่พูดในใจว่า ‘พี่รองของข้าช่างดีเหลือเกิน ข้าชื่นชอบพี่รองคนนี้ ! ’
“เฮ้…เฮ้…เฮ้ย…!”
หางตาของหลินเว่ยเว่ยเห็นเงาดำคล้ายคนถลามาจากร้านข้าง ๆ นางจึงรีบกอดเด็กน้อยไว้แน่นแล้วเบี่ยงตัวหลบด้วยความว่องไว จากนั้นนางก็เห็นว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าเนื้อดีสีฟ้าครามพร้อมจี้หยกที่ห้อยอยู่ตรงเอว ตอนนี้ใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นก็กำลังทิ่มอยู่บนรองเท้าของนาง
เจ้าบ้านี่คิดจะทำอันใด ? คิดมาหลอกเอาเงินใช่หรือไม่ ? หลินเว่ยเว่ยเห็นเช่นนั้นก็เขี่ยใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นออกจากรองเท้าแล้วถอยหลังออกไปสองก้าวราวกับไม่รู้เห็นอันใดเพื่อเตรียมตัวหนีออกจากตรงนี้ !
“คุณชาย…คุณชายไม่เป็นไรใช่หรือไม่ขอรับ ! ”
จากนั้นไม่นาน นางก็เห็นบ่าวรับใช้สองคนที่ดูคุ้นหูคุ้นตารีบวิ่งปรี่เข้ามาประคองชายหนุ่มในชุดสีฟ้าคราม “ท่านจะรีบร้อนไปไหนขอรับ ? ผู้มีพระคุณของท่านไม่หนีหายไปที่ใดหรอก ! หากท่านสะดุดล้มแล้วเป็นอะไรขึ้นมา พวกบ่าวจะชดใช้ให้นายท่านได้อย่างไรขอรับ ! ”
หืม ? บ่าวสองคนนี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตามาก ไหนจะพ่อหนุ่มคนนี้อีก พูดไปแล้วถ้าเพ่งมองใบหน้าของพ่อหนุ่มชุดฟ้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน แม้บนแก้มจะเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่นคราบดินแต่นางก็คุ้นเคยเหลือเกิน หลินเว่ยเว่ยถึงขั้นกุมขมับพร้อมกล่าวว่า “เจ้าอีกแล้ว เหตุใดเวลาเจอเจ้าเป็นต้องมีเรื่องทุกที ? ”
ลู่เหวินจวินปัดฝุ่นที่เปื้อนตามเนื้อตัวออกแล้วยิ้มกว้างให้นาง “ช่างมีวาสนาต่อกันเหลือเกิน ในที่สุดก็ได้พบน้องชายอีกครา ! น้องชาย เมื่อวานนี้เจ้าช่วยเหลือข้าไว้ อีกทั้งยังไม่ต้องการให้ข้าตอบแทน ช่างเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งและทำให้ข้ารู้สึกนับถือชื่นชมในตัวเจ้ามิน้อย วันนี้มีวาสนาได้พบกันอีกครา หวังว่าน้องชายจะให้โอกาสข้าได้เลี้ยงอาหารสักมื้อ”
“ข้าขอรับน้ำใจเจ้าไว้ แต่เรื่องทานอาหารเอาไว้คราวหน้าแล้วกัน เพราะข้ายังมีเรื่องด่วนต้องรีบไปทำ ! ” หลินเว่ยเว่ยจะรีบไปซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเพื่อเอาไปปลูกซ่อมในส่วนที่ข้าวสาลีตายไป !
ลู่เหวินจวินได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเขาก็หันไปเห็นใบหน้าเล็ก ๆ ที่มีดวงตากลมโตสีดำขลับซึ่งยามนี้กำลังมองมาที่ตนด้วยความสงสัย เขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้องชาย นี่คือน้องของเจ้าใช่หรือไม่ ? ช่างหน้าตาน่ารักเหลือเกิน…รับไปสิ ถือว่าเป็นของขวัญแห่งการพบกันที่พี่ชายคนนี้มอบให้เจ้า รับไปเถิด ! ”
1 กิมตุ้ง มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า หยวนเป่า เป็นเงินจีนในสมัยโบราณหรือเรียกว่า เงินตำลึงจีน มีลักษณะเป็นแท่งเงินที่มีปลายโค้งสูงทั้งสองด้าน มีรูปร่างคล้ายเรือสำเภานั่นเอง
ตอนต่อไป