หวังซีพาชิงโฉวออกมาจากสวนเล็กของตัวอาคาร เวทีการแสดงที่อยู่ไม่ไกลมีเสียงคนจอแจ ด้านข้างล้อมรอบไปด้วยบ่าวไพร่ที่คอยให้การปรนนิบัติรับใช้
นางยืนอยู่ตรงทางเข้ามองซ้ายมองขวากว่าครู่ใหญ่ และคิดทบทวนถึงตำแหน่งที่ตั้งของลานบ้านแต่ละแห่งที่อยู่ในแผนผังอย่างละเอียดอีกครั้ง ถึงได้ชี้ไปยังทิศทางที่เฉินอิงเพิ่งเดินไปเมื่อครู่ กล่าวกับชิงโฉวว่า หากข้าจำไม่ผิด ไปศาลากวางร้องจากทางนี้ไกลกว่าไปศาลากวางร้องจากเวทีการแสดงเล็กน้อย
แต่เส้นทางนี้กลับเงียบเชียบไร้เสียงคน สงัดและเปลี่ยวยิ่งนัก
การรับรู้เรื่องทิศทางของชิงโฉวดีกว่าของหวังซีมาก ถึงแม้จะปิดตาแล้วเอานางไปทิ้งยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย นางก็อาศัยสัญชาตญาณหาทางกลับมาได้ นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่เมื่อหวังซีต้องออกจากบ้านจะพานางไปด้วยเสมอ
นางพยักหน้า จากทางนี้ต้องเดินอ้อมสวนป่าผืนนี้ไป แต่จากเวทีการแสดงเดินตรงไปที่ศาลากวางร้องได้เลยเจ้าค่ะ
เช่นนั้นพวกเราไปทางนี้กัน หวังซีชี้ไปยังทิศทางที่เฉินอิงเดินไปอีกครั้ง กล่าวว่า ทางนี้คนน้อย
ที่เวทีการแสดงทางด้านโน้นมีคนมาก หากถูกคนรู้จักดึงเอาไว้เพื่อพูดคุยด้วยล่ะก็ คงไม่ได้แอบไปศาลากวางร้องอย่างเงียบๆ แล้ว
ชิงโฉวขานรับคำ ทั้งสองคนเลี้ยวขึ้นไปบนทางเดินหินที่เฉินอิงเดินผ่านไปอย่างเบามือเบาเท้า
หวังซีมองต้นไม้เขียวครึ้มหนาแน่นด้านข้าง ดึงปิ่นปักผมดอกไม้ที่ประกอบขึ้นมาจากการติดขนนกกระเต็นสีฟ้าร่วมกับพลอยสีม่วงอ่อน หินโมราสีแดงสดและไข่มุกสีขาวชิ้นนั้นออกมาแล้วะโยนทิ้งไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าต้นหนึ่งอย่างไม่ลังเล จากนั้นกำชับชิงโฉวด้วยดวงหน้าไม่เปลี่ยนสีว่า หากมีคนถาม เจ้าก็บอกไปว่าข้าทำปิ่นดอกไม้หล่นหายไป พวกเรากำลังตามหาเครื่องประดับกันอยู่
ปิ่นดอกไม้ชิ้นนั้นเป็นชิ้นที่ร้านเครื่องประดับร้านนั้นออกแบบให้นางเป็นพิเศษ ไม่เพียงล้ำค่าและหายากเท่านั้น ยังมีเอกลักษณ์หาใดเปรียบได้อีกด้วย ตระกูลที่ไม่ร่ำรวยมาก ใช้เป็นสมบัติตกทอดของตระกูลได้เลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าใครทำหล่นหายย่อมต้องเป็นกังวลใจ การหยิบยกสิ่งนี้มาเป็นข้ออ้าง น่าจะไม่มีผู้ใดสงสัย
พวกเราต่างกำลังตามหาปิ่นดอกไม้ชิ้นนี้กันอยู่ หวังซีกล่าว ยืนมองสำรวจใต้ต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ค้นพบว่ายามเดินผ่านมาทางนี้ หากไม่ตั้งใจมองทางนั้นอย่างละเอียด ไม่มีทางค้นพบว่าใต้ต้นไม้นั่นมีเครื่องประดับอยู่ด้วยหนึ่งชิ้น มองสำรวจเสร็จแล้วถึงได้เดินตรงไปด้านหน้ากับชิงโฉวต่ออย่างพึงพอใจ หากหลงทางหรือเดินผิดทาง ผู้อื่นย่อมเข้าใจได้ ยิ่งไปกว่านั้นมีคนมากมายที่จำนวนมากเห็นข้าประดับปิ่นดอกไม้ชิ้นนี้
ชิงโฉวรู้ว่าในยามปกติหวังซีดูเหมือนเป็นคนง่ายๆ ไม่คิดอะไร แต่หากนางคิดจะทำอะไรสักอย่าง จะพยายามทำเรื่องนั้นให้ดีที่สุดอย่างเต็มกำลัง หงโฉวหายตัวไปทางไหนไม่รู้ที่ใกล้ๆ กับศาลากวางร้อง และที่ศาลากวางร้องเองก็ไม่รู้ว่าถูกคุ้มกันเอาไว้อย่างแน่นหนาอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไร แม้นนางจะร้อนใจเกี่ยวกับตำแหน่งแห่งที่ของหงโฉว แต่พอเห็นหวังซีจัดเตรียมการอย่างเป็นลำดับขั้นเช่นนี้แล้ว หัวใจของนางก็ค่อยๆ สงบตามลงมาด้วย
ทั้งสองคนรีบสาวเท้าเดินอ้อมสวนป่าผืนนั้นไป ไม่นานก็มองเห็นป่าไผ่ของศาลากวางร้องผืนนั้น
ศาลากวางร้องมิใช่ลานบ้านแบบปิด ป้ายชื่อของศาลากวางร้องก็มิได้แขวนอยู่บนประตูพระจันทร์ที่ไหน ที่กล่าวกันว่ามันคือศาลากวางร้องก็เพราะเฉินลั่วเป็นคนใช้สอยที่ผืนนี้ทั้งหมด และสาเหตุที่มันได้ชื่อว่าศาลากวางร้องก็เพราะว่าตอนเฉินลั่วเป็นเด็กฮ่องเต้พระราชทานตราประทับที่เสนาบดีกรมขุนนางเหราอวี้แกะสลักด้วยตัวเองให้เขาหนึ่งชิ้น เขาใช้ตราประทับนี้เป็นตราประทับประจำตัว ลานบ้านหลักขนาดห้าทางเข้าทางฝั่งตัวเรือนแถวตะวันตกของจวนจ่างกงจู่กับแปลงดอกไม้ สวนป่า บึงบัว สวนท้อและอื่นๆ โดยรอบล้วนเรียกว่าศาลากวางร้องทั้งสิ้น คนธรรมดาทั่วไปจะไม่รู้ว่าที่ไหนเป็นเขตของตัวเรือนแถวตะวันตกของจวนจ่างกงจู่และที่ไหนเป็นเขตของศาลากวางร้อง บางคนถึงขั้นเรียกตัวเรือนแถวตะวันตกทั้งหมดของจวนจ่างกงจู่ว่าศาลากวางร้อง
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่หวังซีกล้ายุ่มย่ามเข้ามา กล่าวคือนางเป็นเพียงเด็กสาวที่เดินทางมาจากสู่จงผู้หนึ่ง ไม่รู้เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นเรื่องปกติมาก
ทั้งสองคนไม่พบผู้ใดเลยตลอดทั้งทาง หวังซีกระซิบถามชิงโฉวว่า ที่ป่าไผ่มีองครักษ์อยู่หรือไม่
ชิงโฉวตอบ ข้ารู้แค่ว่ามีคนอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเฝ้าอยู่ตรงไหนบ้าง
หวังซีครุ่นคิด กล่าวว่า ประเดี๋ยวข้ากับเจ้าแยกย้ายกันไป เจ้าไปตามหาหงโฉว หากมีคนมาพบ ก็ทำตามที่พวกเราหารือปรึกษากันไว้ก่อนหน้านี้ บอกว่ากำลังตามหาเครื่องประดับอยู่ จากนั้นเล่าเรื่องที่หงโฉวหายตัวไปให้พวกเขาฟัง บอกไปว่าเจ้ากับนางเดินมาผิดทาง ดูว่าองค์รักษ์เหล่านั้นจะว่าอย่างไร…
…ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยไปที่ป่าไผ่มาก่อน หากตอนนี้เข้าป่าไผ่ไปกับเจ้าด้วย ถูกคนสอบสวนขึ้นมาคงจบไม่สวยแน่…
…ข้าจะรอเจ้าอยู่นอกป่าไผ่…
…ถ้าหากผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้วเจ้ายังไม่ออกมา ข้าค่อยตรงเข้าไปในป่าไผ่ บอกว่าเจ้ากับหงโฉวไปตามหาเครื่องประดับ ทว่ากลับหายไปทั้งหมด ข้าจึงมาตามหาคน…
…ข้าเป็นแขกของจวนจ่างกงจู่ ที่พวกเขาเฝ้าอยู่ตรงนั้น แปดถึงเก้าในสิบส่วนก็เพราะกลัวว่าพวกเราจะไปชนกับบุคคลสำคัญเข้า พวกเรามิได้พบหน้าบุคคลสำคัญ พวกเขาคงไม่ทำอะไรพวกเรา…
…หากหงโฉวเพียงถูกพวกเขาคุมตัวเอาไว้ เช่นนั้นย่อมดีที่สุด แต่ถ้ามิใช่ ไม่แน่ว่าอาจช่วยพวกเราตามหาคนอีกแรงก็เป็นได้…
…เจ้าเพียงต้องกัดฟันยืนกรานว่ากำลังตามหาเครื่องประดับ ที่เข้าไปในป่าไผ่ก็เพราะหลงทาง พวกเราจะต้องสลัดตัวหนีออกมาได้อย่างราบรื่นแน่นอน
มิใช่ว่านางไม่อยากเข้าไปพร้อมกับชิงโฉว แต่ถ้านางไปนางจะกลายเป็นภาระและสร้างความลำบากให้ชิงโฉวแทน
แทนที่จะใช้แรงลงมือช่วย มิสู้ใช้สมองช่วยดีกว่า
ชิงโฉวสอบถามนางอีกสองสามประโยค วางแผนกรณีที่อาจเกิดเหตุการณ์หรือพานพบกับเรื่องที่เลวร้ายที่สุดเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็มาถึงศาลากวางร้องอย่างราบรื่น
ต่อให้เป็นเช่นนี้ หวังซีก็ไม่ประมาท หันไปส่งสายตาให้ชิงโฉวครั้งหนึ่ง กล่าวว่า พวกเราลองหาดูให้ทั่วอีกที
นี่คือการแสดงเต็มรูปแบบที่คุณหนูใหญ่พูดถึง จะโกหกก็ต้องพูดให้แนบเนียนจนแม้แต่ตัวเองก็ยังเชื่อ ผู้อื่นถึงจะเชื่อเจ้า
ชิงโฉวหันไปพยักหน้าให้หวังซีด้วยสายตาแน่วแน่ จากนั้นเริ่มต้นเสแสร้งแกล้งทำเป็นกำลังตามหาของอยู่ใกล้ๆ
ชิงโฉวค่อยๆ มุ่งหน้าไปทางป่าไผ่ หวังซีคล้ายกับเหน็ดเหนื่อยแล้ว นั่งลงบนหินก้อนหนึ่งใกล้ๆ บริเวณนั้น
นางรู้สึกเหนื่อยจริงๆ
มิใช่เพียงแค่ตึงเครียดเพราะหัวใจแขวนอยู่บนเส้นด้ายเท่านั้น ยังเป็นเพราะนางไม่ได้เดินไกลขนาดนี้มาเนิ่นนานแล้ว
เพียงแต่ว่ายามที่คนกำลังตื่นตระหนกจะไม่รู้สึกตัวว่าเหนื่อย แต่พอได้นั่งลงมา จึงรู้สึกเมื่อยขบไปทั้งเอวและขามากยิ่งขึ้น
หวังซีพักผ่อนครู่หนึ่ง ในใจยังคงขบคิดเรื่องนี้อยู่
นางรู้สึกว่าหงโฉวไม่คล้ายถูกองครักษ์เหล่านั้นจับได้แล้วคุมขังเอาไว้ เพราะจากที่ชิงโฉวกล่าวมา องครักษ์เหล่านั้นมิใช่กองพลส่วนพระองค์ธรรมดาเป็นแน่ อีกทั้งที่นี่เป็นคฤหาสน์ของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ หงโฉวก็แค่เดินหลงเข้ามาในเขตการเฝ้าระวังของพวกเขาเท่านั้น มิได้ถือดาบหรือธนูเหมือนนักฆ่า ตามปกติแล้วพวกเขาเองก็ไม่อยากเป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น
หงโฉวอาจจะเป็นเหมือนกับชิงโฉว สังเกตเห็นองครักษ์แล้วไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงซ่อนตัวเอาไว้ก่อน
หากไม่มีคำพูดนั้นของคุณหนูรองอู๋ หวังซีคิดว่าหงโฉวซ่อนตัวเอาไว้ก่อนได้ก็ซ่อนไปก่อน อย่างมากถึงเวลาค่อยแอบหนีกลับมา ขอเพียงไม่ถูกจับได้ก็พอ
กลัวก็แต่ว่าคนเหล่านั้นจะรั้งอยู่รับประทานอาหารเย็นที่นี่ ตอนกลับจวนสาวใช้ของนางขาดไปคนหนึ่ง ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ายังหลอกง่าย กลัวแต่ว่าซือจูจะหาเรื่อง เปิดโปงเรื่องนี้ออกไป ทำให้คนในวังหลวงเข้าใจผิด ปรารถนาปลิดชีวิตคนกระทำผิด ไม่ยอมปล่อยไป หน่วงเหนี่ยวชีวิตของหงโฉวเอาไว้
นึกถึงตรงนี้ นางอดถอนหายใจยาวๆ ครั้งหนึ่งไม่ได้
ผู้ใดจะคิดว่าเรื่องราวจะบังเอิญขนาดนี้ นางก็แค่อยากโต้กลับเฉินลั่วสักครั้งเท่านั้น ใครใช้ให้เขาเอาดาบเล่มใหญ่มาข่มขู่ตน คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นการย้ายก้อนหินมาทับเท้าตัวเอง พานางเข้าไปติดอยู่ในความวุ่นวายเสียได้
หวังซีมองปลายหลังคาสีแดงโค้งงอนของหอนกกระจ้อยขับขานที่มีฉากหลังเป็นต้นไม้เขียวขจีที่อยู่ไกลออกไปอย่างไร้ทางเลือก สงสัยเล็กน้อยว่าเฉินอิงไปไหน แล้วเฉินเจวี๋ยต้องการหาเฉินอิงด้วยเรื่องอะไร
นางนึกขึ้นได้ว่าด้านหลังป่าไผ่ผืนนี้เป็นบึงดอกบัว ข้างบึงดอกบัวมีศาลาหลังหนึ่ง
ฤดูนี้เป็นช่วงเวลาที่ใบบัวกำลังชูช่อแรกพอดี ไม่รู้ว่าเฉินอิงกับเฉินเจวี๋ยจะเลือกที่นั่นเป็นสถานที่พูดคุยกันหรือไม่
หวังซีมิใช่คนไม่รู้จักหนักเบาประเภทนั้น แม้ในใจของนางสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก ทว่าไม่คิดจะไปยืนยันข้อสันนิษฐานของตัวเอง
นางพักผ่อนได้ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าคล้ายมียุงกำลังกัดนางอยู่
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เวลาพี่น้องอยู่ด้วยกัน ทุกคนต่างไม่เป็นอะไร มีแต่นางเท่านั้นที่มักจะถูกยุงกัดอยู่เสมอ
พี่สาวสิบสองของนางบอกว่า นั่นเป็นเพราะนางกินเก่งมากเกินไป เนื้อนุ่ม ไม่แน่ว่าเลือดอาจหวานด้วย ดังนั้นยุงก็เลยกัดแต่นางผู้เดียว
นอกจากนี้พอนางถูกยุงกัดได้ไม่นานก็จะกลายเป็นผื่นบวมแดงขนาดใหญ่เท่าเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่ง ต่อให้ใช้ขี้ผึ้งสมุนไพร่ไอ้เฉ่าที่ท่านหมอเฝิงปรุงขึ้นด้วยตัวเอง ก็ต้องใช้เวลาแรมเดือนถึงจะหายดีทั้งหมด ด้วยเหตุนี้นางจึงกลัวการถูกยุงกัดมากเป็นพิเศษ เมื่อถึงฤดูร้อน นางจึงไม่ไปศาลาริมน้ำหรือบึงบัวประเภทนั้นเลย
หรือว่ายุงที่บึงบัวได้กลิ่นของนางแล้วจึงบินตามมา?
ฉับพลันนั้นหวังซีรู้สึกคันยิกไปทั้งร่าง ลุกขึ้นมาตบๆ เสื้อและกระโปรงของตัวเอง ตั้งใจจะไปหาที่นั่งพักใหม่
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังสวบสาบออกมาจากป่าไผ่
ฝีเท้านั่นหนักเล็กน้อย ไม่คล้ายเสียงฝีเท้าของสตรี
บางทีอาจเป็นองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ตรงนี้?
หวังซีลังเลอยู่หนึ่งลมหายใจ สุดท้ายตัดสินใจซ่อนตัวก่อน ดูให้ชัดเจนแล้วค่อยว่ากันอีกที
นางหลบไปซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
เป็นบุรุษสองคนเดินทะลุออกมาจากป่าไผ่
พวกเขาตัวสูงพอๆ กัน แข็งแรงมีพละกำลัง สวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงินธรรมดา เข้าคู่กับฝักดาบหนังฉลาม แววตาคมและเย็นเยียบ
นี่มิใช่กองพลส่วนพระองค์อย่างแน่นอน
เนื่องจากกองพลส่วนพระองค์ใกล้เคียงกับกองทัพ ต้องตรวจสอบสามชั่วโคตร ต้องมีวิชายุทธ์สูงส่ง และไม่มีที่มาจากครอบครัวคนธรรมดา
แม้นวิชายุทธ์ของพวกเขาจะสูงส่ง ทว่าเนื่องด้วยพื้นเพของครอบครัวแล้ว จึงเป็นคนสุภาพอ่อนโยน
ไม่มีทางมีคนเยือกเย็นและเต็มไปด้วยรังสีสังหารเช่นนี้อย่างแน่นอน
หรือว่าจะเป็นนักฆ่า?
หวังซีตกใจกลัวจนเบื้อใบ้ไปเรียบร้อยแล้ว
ยืนพิงต้นไม้เอาไว้แน่น แม้แต่การหายใจก็เชื่องช้าไปหมด
ได้ยินเพียงหนึ่งในนั้นกระซิบกล่าวว่า เจ้าลองหาดูอีกที หากไม่ได้การ ก็เร่งไปรายงานใต้เท้า
อีกผู้หนึ่งขานตอบ อืม เบาๆ เสียงหนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใดฝีเท้าหยุดลงครู่หนึ่ง แล้วทั้งสองคนก็พุ่งทะยานเข้าไปในป่าไผ่อีกครั้ง
หวังซีตระหนักได้ว่าตัวเองตัดสินใจพลาดไปแล้ว
นางไม่ควรแยกกับชิงโฉว
บัดนี้นางมือไม้อ่อนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง พบคนเช่นนี้สองคน คาดว่าข้ออ้างทั้งหมดของนางคงใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้
จะทำอย่างไรดี
นี่คงเป็นโอกาสแน่แล้ว
หวังซีขบคิดว่าควรจะเดินออกไปด้วยท่าทีสงบเป็นธรรมชาติ หรือร้องตะโกนออกมา โวยวายเสียงดังไปเลยสักครั้งหนึ่ง
เป่าชิ่งจ่างกงจู่คงไม่สั่งโบยหรือสั่งฆ่าเพียงเพราะนางกับสาวใช้เดินไปผิดที่ผิดทางหรอกกระมัง
นั่นมิเท่ากับเป็นการบอกผู้อื่นว่ามีเรื่องที่ไม่อาจบอกเล่าให้ผู้อื่นฟังเกิดขึ้นที่ศาลากวางร้องหรอกหรือ
ขณะที่หวังซีกำลังใช้สมองขบคิดอย่างรวดเร็วอยู่นั้น ฝั่งตรงข้ามก็มีคนเดินออกมาอีกสองคน
ล้วนมีรูปร่างสูง ไหล่กว้างเอวคอดขาเรียวยาว เพียงแต่ว่าผู้หนึ่งสวมชุดจื๋อตัวคอป้ายตัวยาวสีแดงเข้มทอลายก้อนเมฆสีทอง อีกผู้หนึ่งสวมชุดจื๋อตัวคอป้ายตัวยาวสีเหลืองอ่อนทอลายก้อนเมฆสีทอง สีหน้าผ่อนคลาย กำลังคุยอะไรบางอย่างอยู่
หวังซีเพ่งตามอง คนที่สวมชุดสีแดงเข้มคือเฉินลั่ว และคนที่สวมอาภรณ์สีเหลืองอ่อนคือองค์ชายรอง
หรือว่าสองคนเมื่อครู่จะหลบพวกเขา
ขณะที่หวังซีกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ใครจะรู้ว่าคนทั้งสองกลับไม่ได้เดินมาทางนาง แต่เลี้ยวเข้าป่าไผ่ไปตรงจุดที่อยู่ห่างจากนางไปหนึ่งลูกศรยิง
นางพลันนึกขึ้นได้ว่าพวกเขากำลังจะไปที่บึงบัว
สองคนก่อนหน้านี้อาจจะเป็นโจรผู้ร้ายจริงๆ ก็เป็นได้!
หวังซีรู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาในฉับพลัน ยกกระโปรงขึ้นวิ่งตามเฉินลั่วไปโดยไม่คิด วิ่งไล่ไปด้วย นางยังตะโกนไปด้วยว่า เฉิน…
เพียงแต่ว่าชื่อสกุลเพิ่งออกจากปากไปได้เพียงคำเดียว นางก็รีบปิดปากแน่นสนิทในทันที
นางกับเฉินลั่วเคยเจอกันอย่างเป็นทางการเพียงครั้งเดียว ตอนนั้นเฉินลั่วก็มิได้แจ้งชื่อแซ่ของเขา
นางทำเช่นนี้ จะชวนให้เฉินลั่วเกิดความสงสัยหรือไม่
ในความคิดของหวังซีนั้น ต่อให้เฉินลั่วค้นพบนพบแล้วว่านางแอบสอดส่องเขา แต่ตราบใดที่เขาไม่มีพยานหลักฐาน ตราบใดที่ไม่มาประจันหน้ากับนาง นางก็ไม่มีทางยอมรับ และจะยืนกรานว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น
………………………………………………………………………….
ตอนต่อไป