ตอนที่ 51 สนิทสนมกลมเกลียว

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

หลังช่วยชีวิตเจ้าอ้วนน่าตายเอาไว้ได้ อาวุโสสี่ก็มานั่งคุกเข่าตรอมใจอยู่ตรงหลืบมุม

ปากพาซวยแท้ๆ ดันไปพนันเรื่องฉินจิ่วเกอจะรักษาตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ไว้ได้อันใด แถมผลยังออกมาเสมอกัน แค่เงินเดิมพันของอาวุโสใหญ่ก็เป็นจำนวนมหาศาลจนนับไม่ไหวแล้ว

นักปรุงยาผู้เกรียงไกรอย่างตน ยังไม่อาจควักเอาเงินก้อนใหญ่เช่นนั้นออกมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ

ไร้ทางออก อาวุโสสี่ได้แต่บากหน้าไปขอยืมเงินจากอาวุโสสาม ผู้เป็นที่รู้จักกันในนามหีบเงินเคลื่อนที่ได้ พร้อมเขียนหนังสือสัญญาที่มีเงื่อนไขเอารัดเอาเปรียบอย่างชัดเจนฉบับหนึ่ง เมื่อนั้นจึงเอาเงินมาได้

อาวุโสสี่เจ็บปวดใจ กินยาก็ไม่หาย รู้สึกเหนื่อยล้าเป็นกำลัง ต่อจากนี้จำต้องสงบสำรวมหน่อยแล้ว

ตกเย็นวันนั้น ภายในพรรคหลิงเซียวก็เกิดการจับกลุ่มสนทนาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกันอย่างออกรส

มีทั้งเรื่องที่ศิษย์พี่รองถูกฟ้าผ่า มีทั้งเรื่องที่ศิษย์พี่ใหญ่สำแดงเคล็ดวิชาเทพคลุมฟ้า ทั้งเรื่องที่อาวุโสสี่สิ้นเนื้อประดาตัว

พูดง่ายๆ ก็คือในช่วงหลายวันนี้พรรคหลิงเซียวมีหัวข้อสนทนาให้ได้แลกเปลี่ยนกันไม่หยุดปาก

อาวุโสใหญ่กู้หน้าไว้ได้ ทั้งยังได้ศิลาวิญญาณมาเป็นของแถม คนยิ้มร่าเดินเชิดอกเป็นนกยูงสยายหางกลับไปกลับมาอยู่หน้าศิษย์พี่ศิษย์น้องของมันหลายสิบรอบ

ตกดึก พรรคหลิงเซียวก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด ศิษย์ทุกคนนอนหลับฝันหวาน เข้าสู่สภาวะดูดซับไอวิญญาณฟ้าดินเข้าสู่ร่าง

ลั่วเฉินนั่งอยู่ในเรือนไผ่ตามลำพังคล้ายกำลังรออะไรบางอย่าง บนใบหน้าฉายแววกระสับกระส่ายอย่างปิดไม่มิด

จวบกระทั่งสกุณาภายในป่าแตกฮือโผขึ้นฟ้าคล้ายตกใจกลัวในอะไรบางอย่าง ลั่วเฉินถึงค่อยส่งเสียงแผว่เบาไปทางนอกประตู “ท่านลุงสอง?”

“เฉินเอ๋อร์” สายลมหอบหนึ่งพัดผ่านป่าเขา นำพากลิ่นอายบริสุทธิ์คืนสู่ธรรมชาติ

แทบจะในขณะเดียวกันกับที่เสียงลมดังกระทบหูลั่วเฉิน ต้นกำเนิดเสียงไม่ได้มาจากทางหน้าต่าง แต่กลับมาจากฉากบังลมทางด้านหลัง

“ท่านลุงสอง ข้าได้ยินมาว่าตอนที่ข้าออกไปพเนจรนอกพรรค ศิษย์พี่ใหญ่ธาตุไฟแตก นี่มีอันใดเกี่ยวข้องกับท่านหรือไม่” ร่างของลั่วเฉินแอบซ่อนอยู่ใต้แสงจันทร์ แผ่กลิ่นอายเย็นชาออกมา

เกิดเสียงแผ่วทุ้มดังขึ้น เพียงสดับได้ยินจากภายในห้อง “ไม่เกี่ยวกับข้า”

บุคคลที่ถูกลั่วเฉินเรียกหาว่าท่านลุงสองกลับเป็นฝ่ายประหลาดใจแทน ตอนนั้นตนฉวยโอกาสที่ยอดฝีมือพรรคหลิงเซียวไม่ทันตั้งตัวลอบสังหารอีกฝ่าย ทำให้ดูเหมือนเป็นเหตุธาตุไฟแตก

แล้วเหตุไฉนเจ้าเด็กนั่นถึงยังไม่ตาย ตรงข้ามกลับทะลวงฝ่าด่านจนสามารถคับเคี่ยวสูสีกับเฉินเอ๋อร์ไปได้?

ได้รับคำยืนยันจากท่านลุงสอง ลั่วเฉินก็เป่าปากอย่างโล่งอก

ของที่มันหมายตาไว้ จำต้องได้มาอย่างชอบธรรม ไม่ใช่ให้ใครสอดมือยุ่งเกี่ยว ใช้วิธีไม่ซื่อเพื่อไต่เต้า

“ท่านลุงสอง ข้ามีอะไรให้ท่านดู”

หลังบอกกล่าวถึงเรื่องที่ตนเพิ่งประสบมาให้อีกฝ่ายฟังอย่างไม่อมพะนำ ลั่วเฉินก็ดึงเอากล่องที่เก็บต้นกำเนิดกฎเกณฑ์และถูกผนึกไว้สิบชั้นออกมาจากแหวนมิติ

แสงที่ส่องออกจากต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ได้บดบังแสงจันทร์ไปจนสิ้น แทนที่ด้วยประกายของวัตถุชั้นเลิศที่อาบทอไปทั่วทั้งห้อง

“ต้นกำเนิดกฎเกณฑ์นี้ คือสิ่งที่ชนชั้นกฎสรรพสิ่งขั้นสูงสุดผนึกเอาไว้ตอนร่วงหล่น ภายในบรรจุไว้ด้วยการหยั่งรู้ทางขอบเขตและกฎเกณฑ์อันไร้ทัดเทียม” ลั่วเฉินประคองต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ไว้ด้วยสองมือ ดวงตาที่ลุกวาวกลับไม่ได้มองตรงไปที่ต้นกำเนิด

หากกลับมองไปอีกด้านหนึ่ง “ท่านลุงสอง ท่านรีบเอามันไปย่อยสลายเถอะ เช่นนี้อาการบาดเจ็บที่แฝงอยู่ในกายท่านย่อมได้รับการเยียวยา หรืออาจกระทั่งทะลวงด่านฝีมือเลยก็ได้”

กายาที่ถูกสัตว์ประหลาดอย่างชนชั้นกฎสรรพสิ่งทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสแต่ไม่ตาย มีแต่ต้องใช้ต้นกำเนิดกฎเกณฑ์รักษาจึงจะหาย

หาไม่แล้ว ต่อให้มีพลังท่วมท้นฟ้าดิน การบาดเจ็บแฝงที่เกิดจากพลังแห่งกฎเกณฑ์ก็ยังกัดกร่อนทำลายสังขารได้อยู่ สุ่มเสี่ยงต่อการดับสูญได้ทุกเมื่อ

ภายในห้อง ท่านลุงสองที่ป่านนี้ก็ยังไม่เผยตัวกลับนิ่งงันไร้เสียง ผ่านไปเนิ่นนาน จึงค่อยถอนใจกล่าวออกมาว่า “ท่านลุงสองแก่แล้ว ต้นกำเนิดกฎเกณฑ์นี้เป็นแก่นพลังแห่งฟ้าดิน มูลค่าของมันแม้แต่ศาสตราวิญญาณระดับสูงสุดก็ยังไม่อาจเทียบเท่า ลุงสองต่อให้ใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์ มีแต่จะทำลายทรัพยากรอันล้ำค่าเปล่าๆ ยังคงให้เจ้าย่อยสลายจะดีกว่า”

การหยั่งรู้เห็นแจ้งที่สัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่งจากยุคบรรพกาลสั่งสมมาตลอดชีวิต หากเอาสู่โลกภายนอก เกรงว่าแม้แต่บรรพชนเฒ่าชั้นสุญญตายังต้องหวั่นไหว

ฉินจิ่วเกอไม่ได้นำไปแพร่งพรายบอกต่อ ลั่วเฉินเองทันทีที่ได้มาก็ไม่ได้นำออกมาย่อยสลาย แต่เก็บรักษาเอาไว้จนป่านนี้ถึงค่อยเอาออกมา

“ท่านลุงสอง แต่อาการบาดเจ็บแฝงในกายท่าน…”

ลั่วเฉินร้อนใจ หากไม่ใช่เพราะต้องการรักษาอาการบาดเจ็บให้ท่านลุงสอง ตอนนั้นเขาก็คงไม่ทำถึงขั้นใช้กำลังแย่งชิงมาเยี่ยงนั้น

“อย่ากังวลนักเลย ก็แค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อย ลุงสองค้นพบเคล็ดลับในการสะกดมันเอาไว้แล้ว รอจนเจ้าตบแต่งให้กำเนิดบุตรก็ยังได้ เพราะงั้นเจ้าวางใจแล้วย่อยสลายเถอะ ลุงสองจะช่วยเจ้ากำจัดขวากหนามบนเส้นทางของเจ้าเอง”

“แต่ว่า…”

“พอเถอะ” น้ำเสียงจากที่อบอุ่นพลันเปลี่ยนเป็นกระหายเลือดอย่างเข้มข้น “จงอย่าลืมความแค้นที่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของเจ้า หากไม่อาจทะลวงด่านกฎสรรพสิ่ง เจ้าจะต้องอยู่อย่างคนที่ไร้เป้าหมายไปตลอดชีวิต คิดถึงคนในตระกูลเจ้าที่ต้องนอนจมกองเลือดไว้ เจ้าต้องแยกแยะให้ได้ว่าอะไรสำคัญกว่า!”

กึด

ลั่วเฉินกำหมัดแน่นจนไม่อาจกำแน่นไปมากกว่านี้อีก ในดวงตาฉายแววคลุ้มคลั่งอย่างแรงกล้าออกมา

“จำไว้ว่า เจ้าจะต้องขึ้นเป็นศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวให้ได้ จากนั้นเจ้าจะได้ดำรงตำแหน่งประมุขพรรค มีแต่ทำเช่นนี้จึงจะสามารถเข้าถึงสมบัติลับประจำพรรคหลิงเซียว มีแต่สมบัติลับชิ้นนั้น ที่จะช่วยให้เจ้าล้างแค้นได้ พรรคหลิงเซียวมีพยัคฆ์ซ่อนเร้นอยู่มากมาย ช่วงนี้ลุงสองไม่อาจปรากฏตัวออกมาโดยพลการ”

ซ่อนตัวอยู่ในความมืด เสียงอันชืดชาไร้อารมณ์ค่อยๆ ถอยห่างออกไป ลั่วเฉินรีบร้องเรียกอย่างร้อนรน “ท่านลุงสอง!”

“เฉินเอ๋อร์ จำความอัปยศและความแค้นของตระกูลเราไว้ให้ดี วันหนึ่งลุงสองอยากเห็นเจ้าทะยานไปบนฟ้ากว้าง จำไว้ เจ้าจะต้องเอาสมบัติลับประจำพรรคมาไว้ให้ได้! ไม่งั้นแล้ว เจ้าจะไม่มีโอกาสแก้ตัวอีก”

ใช้ต้นกำเนิดกฎเกณฑ์รับมือกับขุมอำนาจระดับนี้ ยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอไปมาก

ในขณะที่มันกำลังจะจากไปนั้นเอง นอกเรือนไผ่ พลันมีเสียงเคลื่อนไหวที่ปกปิดไม่มิดดังขึ้น มีคนกำลังใกล้เข้ามา

ลั่วเฉินใช้สัมผัสเทวะลองสำรวจดู กลัวว่าจะมีคนค้นพบร่องรอยของท่านลุงสอง

สามารถสะกดบาดแผลทางกฎเกณฑ์ มีแต่ต้องเดินทางนอกสาย หรือก็คือผู้ฝึกวิชาปีศาจ

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงมองผู้ฝึกวิชาปีศาจดั่งภูติผีมารร้าย แต่ในสายตาลั่วเฉิน อีกฝ่ายก็คือญาติมิตรเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ของมัน

ศิษย์พี่ใหญ่? เมื่อรู้ว่าผู้มาเป็นใคร ลั่วเฉินก็เป็นต้องฉงนสงสัย อีกฝ่ายหอบหิ้วผ้าห่มกับกระโจมมาทำไม?

“เป็นมันเองรึ? ให้ข้าฆ่ามันทิ้งเลยแล้วกัน!” ท่านลุงสองตั้งท่าจะลงมือ อาจารย์ของเจ้าเด็กนี่เป็นถึงอาวุโสใหญ่ของพรรค หากเฉินเอ๋อร์ต้องการชิงตำแหน่งมา หากไม่กำจัดมัน เกรงว่าตนคงใช้ชีวิตมาอย่างสูญเปล่าแล้ว

“หยุดมือ!” ลั่วเฉินตวาดเสียงเบา น้ำเสียงยังแฝงด้วยอำนาจที่ไม่อาจขัดขืน กระทั่งทำให้ท่านลุงสองต้องเกิดความครั่นคร้าม “ข้าจะเป็นคนจัดการมันด้วยตัวเอง ไม่ว่ามันจะมีคนหนุนหลังหรือพบวาสนาเช่นไรมา ข้าจะพิสูจน์ต่อหน้าทุกคนว่าข้าต่างหากที่เป็นอัจฉริยะที่แท้จริง ให้ผู้คนยอมรับนับถือ!”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ เฉินเอ๋อร์เองก็โตแล้ว ลุงสองจะยอมฟังเจ้าก็แล้วกัน”

ท่านลุงสองกล่าวจบคำ ในหุบเขาพลันเกิดลมหอบหนึ่งพัดผ่านอีกครา ครั้นแล้วเงาร่างสายนั้นก็อันตรธานไปพร้อมกับลมหอบนั้น ความเงียบจึงปกคลุมภายในห้องอันมืดมิดอีกครั้ง

“เด็กคนนี้ สุดท้ายก็ยังใจอ่อนเกินไปอยู่ดี” ท่านลุงสองหลบซ่อนอยู่ในป่าไผ่ จับจ้องไปทางฉินจิ่วเกอที่กำลังตั้งกระโจมอยู่นอกเรือนไผ่ “เดียรัจฉานน้อย คราวก่อนเจ้าโชคดีคืนชีพจากความตาย ทางที่ดีอย่าได้เหยียบย่างออกจากพรรคหลิงเซียวแม้แต่ก้าวเดียวก็แล้วกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเฒ่าสวะพวกนั้น เจ้าย่อมตายไปแล้ว!”

สิ้นเสียง คนก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องไร้รอย

อาวุโสใหญ่ที่กำลังทำสมาธิหยั่งรู้วิถีฟ้าพลันลืมตาขึ้น สัมผัสเทวะส่องสำรวจไปทั่วพรรคอย่างถี่ถ้วน หากก็ไม่พบใครที่น่าสงสัย

“แปลก ทำไมจู่ๆ ถึงมีร่องรอยผู้ฝึกวิชาปีศาจอยู่แถวนี้?” อาวุโสใหญ่งุนงง สัมผัสเทวะหมุนวนคราหนึ่ง กลิ่นอายโลหิตก็ถูกสลายไป “พวกปีศาจโสมม ริอ่านมาข่มเหงคะเนงร้ายถึงพรรคหลิงเซียวข้า ถึงตอนนั้นข้าจะให้เจ้าต้องตายโดยไม่เหลือแม้แต่ซาก!”

ภายในห้อง ลั่วเฉินตอนนี้รับทราบแล้วว่าฉินจิ่วเกอได้ทำการย้ายสำมะโนครัวมาตั้งรกรากอยู่นอกห้องหับของตัวเอง

ขณะกำลังจะออกไปซักถามให้รู้เรื่อง พลันนึกได้ว่าสมองของศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้ถูกประตูหนีบจนฟีบแบนใช้งานไม่ได้อีก ลั่วเฉินแม้ขัดเคืองแต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความตั้งใจ

ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ทะเล่อทะล่าเข้ามา มันจะทำอะไรก็ช่าง ตนมิสู้ใช้เวลานี้ฝึกฝีมือต่อจะดีกว่า

เริ่มต้นจากความห่างเหิน จบลงด้วยความใกล้ชิด ฉินจิ่วเกอที่พกพาความคิดเช่นนี้วางแผนที่จะสานสัมพันธ์ศิษย์พี่ศิษย์น้องกับพระเอกของเรื่องให้แน่นแฟ้น เริ่มต้นจากรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เป็นลำดับแรก ยกตัวอย่างเช่นการได้เป็นเพื่อนบ้านกัน ดังนั้นฉินจิ่วเกอจึงได้ทำการหอบข้าวหอบของมาตั้งรกรากอยู่นอกเรือนไผ่ของน้องรองในคืนนี้

มีโอกาสได้ฝึกปรือข้างตัวเอกเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจได้รับอานิสงค์บางประการ เช่น สมองสดชื่นแจ่มใส โรคภัยไม่อาจกล้ำกราย คิดแล้วก็ไม่เลวเลยเหมือนกัน

ลั่วเฉินเป่าลมขุ่นมัวออกจากปากคราหนึ่ง ไอวิญญาณภายในร่างก็ขับเคลื่อนเข้าสู่จุดตันเถียน

ลั่วเฉินคร่ำเคร่งฝึกฝนตลอดคืน จวบจนไอวิญญาณหมุนวนครบทั้งสิบรอบ พลังวิญญาณในกายก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

ยามลืมตา สิ่งที่ลั่วเฉินเห็นเป็นลำดับแรกกลับไม่ใช่ความสวยงามของวันนี้ หรือความสวยงามของวันพรุ่งนี้ หากแต่เป็นใบหน้าของฉินจิ่วเกอ

“แม่ร่วง!”

ลั่วเฉินตั้งตัวไม่ทันอย่างแท้จริง ไม่ว่าใครก็ตามหากได้ลืมตาในตอนเช้าแล้วเห็นใบหน้าคนยื่นเข้ามาใกล้ เชื่อว่าก็ต้องเสียความเยือกเย็นไปตามๆ กัน

เกิดเสียงโครมครามคราหนึ่ง ลั่วเฉินตะเกียกตะกายเหินตัวออกจากห้อง ยังคงขวัญเสียไม่หาย หากไม่นานก็ได้เห็นว่าผู้มาเป็นใคร

อะไร หรือมันตั้งใจจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้มาหลอกให้ตนหัวใจวายตายกัน?

ฉินจิ่วเกอไม่เห็นว่าตนเป็นคนนอก มันฉวยโอกาสที่ฟ้าไม่ทันสาง ทำการปัดกวาดเช็ดถูเรือนไผ่จนสะอาดเอี่ยม ก่อนเอ่ยปากถามเหมือนเป็นคนบ้านเดียวกัน “อ้าว น้องรองเจ้าตื่นแล้ว อยากทานอะไรรองท้องหน่อยหรือไม่? มีทั้งเค้กข้าวหน้าเม็ดบัว ซุปไข่ และเกี๊ยวหมูใส่ต้นหอม เจ้าเลือกมาได้เลย”

“จะ.. เจ้าเข้ามาได้ยังไง?” ลั่วเฉินปีนกลับเข้ามา ถามด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

“ไอโหยว เมื่อเย็นลมแรงเกินไป พัดเอาประตูกระโจมข้าพังเสียหาย ข้าจึงเชิญตัวเองเข้ามานี่แหละ”

“ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!” เผชิญกับคำพูดอันหาสาระไม่ได้ของฉินจิ่วเกอ ลั่วเฉินตวาดออกมาเสียงแข็ง แทบจะเตะโด่งอีกฝ่ายไปให้พ้นหน้าอยู่แล้ว

ตนประเมินความหน้าหนาของฉินจิ่วเกอต่ำไปจริงๆ อีกฝ่ายไม่ได้มองว่าบ้านคนอื่นก็คือบ้านของคนอื่นเลยแม้แต่น้อย

“ตอนทำข้าวเช้าเสร็จ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ว่า ตลอดเวลาห้าปีเราศิษย์พี่ศิษย์น้องกลับไม่เคยมีโอกาสได้มานั่งเสวนาชมดูท้องฟ้าด้วยกันเลย คิดแล้วก็น่าเสียใจจริงๆ มาๆๆ เจ้าอยากทานอะไรก็เลือกเอาเลย พวกเราทานไปคุยกันไปดีกว่า”

นอกจากกรณีทดลองอย่างการเลี้ยงโต๊ะเพื่อลอบสังหารอันเป็นกรณีพิเศษแล้ว วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า ยามร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกัน จะช่วยให้สภาพจิตใจผ่องใสปลอดโปร่ง

เพียงแต่ตื่นมาก็ต้องพบเจอคนที่ไม่อยากเห็นหน้า สภาพจิตใจของพระเอกเราในตอนนี้จึงขุ่นมัวเป็นอย่างยิ่ง

“เป็นอะไรไป หรือว่าเจ้าไม่อยากทานข้าวเช้า?” ฉินจิ่วเกอถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา มันอดตาหลับขับตานอนอยู่ในห้องครัวร่วมชั่วยาม ต่อให้ไม่เป็นไปตามแผนอย่างน้อยก็พยายามสุดฝีมือแล้วนะ

“เห็นแก่ความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องหน่อยเถอะ หากเจ้าไม่ยอมทาน เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะใช้กำปั้นทุบศีรษะตัวเองตายต่อหน้าต่อตาเจ้า ให้เจ้าได้ดูว่าน้ำสมองที่แท้เป็นสีอะไร?”

ลั่วเฉินหนังตากระตุกยิบๆ คนบ้าที่ยอมแม้แต่ทำร้ายตัวเองเช่นนี้ ทางที่ดีอย่าได้ไปยั่วยุมันจะดีกว่า

ไม่กี่นาทีต่อมา ฉินจิ่วเกอก็ยกโต๊ะที่ทำจากไผ่มาตั้งไว้ในลานที่อยู่ใต้ร่มไม้พอดิบพอดี ก้นยังไม่ทันแตะพื้นคนก็คว้าเกี๊ยวนึ่งไส้ต้นหอมเข้าปากราวพายุบุแคม

ลั่วเฉินฝืนกินเค้กข้าวสองสามลูก รสชาตินับว่าพอถูไถ เพียงแต่เจ้าคนตรงหน้าต่างหากที่ทำให้มันไม่อาจคลายใจ

ฉินจิ่วเกอเป่าซุปให้หายร้อน ขณะเดียวกันก็เสวนาถกเถียงกับศิษย์น้องรองไม่หยุดปาก บรรยากาศกลมเกลียว

เช้าที่สวยงามมีสหายร่วมเจรจาพาที เริ่มจากการทานข้าวต้มร้อนๆ รับรุ่งอรุณ บรรยากาศอบอุ่นหัวใจ

หลังทานเสร็จ ฉินจิ่วเกอก็เป็นฝ่ายเก็บข้าวเก็บชามด้วยตัวเอง ทั้งยังเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้นว่า “อะแฮ่ม น้องรอง ทานข้าวเสร็จแล้วเจ้าตั้งใจจะทำอะไรต่อ? เข้าห้องน้ำปลดทุกข์ใช่หรือไม่? หรือว่าอ่านตำรากันล่ะ ชอบเรื่องจินผิงเหม่ย (นางยั่วปทุมทอง หรือ บุปผาในกุณฑีทอง) หรือว่าโร่วผูถวน (Sex and Zen) มากกว่า”

ลั่วเฉินรับการเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลันนี้ของฉินจิ่วเกอไม่ไหว ตอนประลองยุทธกันเมื่อวานตนก็ไม่ได้ทุบกะโหลกมันเสียหน่อย แล้วไฉนผ่านไปข้ามคืนคนถึงได้เสียสติไปแล้วเล่า?

ยังมีจินผิงเหม่ยอะไรนั่นอีก ทำไมพูดถึงแล้วต้องหัวเราะอย่างสัปดนแบบนั้นด้วย ช่างหาคำมาอธิบายไม่ได้จริงๆ

“ปลดทุกข์เสร็จแล้วเจ้าตั้งใจจะทำอะไรต่อ? อยากสักคำ “ภักดีตอบแทนคุณแผ่นดิน” บนแผ่นหลังหรือไม่ ฟังแล้วฮึกเหิมยิ่ง หรือให้ศิษย์พี่ช่วยเจ้าตั้งเสาล่อฟ้าบนยอดเขา ชักนำอสนีบาตเพื่อขัดเกลาร่างกาย?”

“น้องรองจ๋า อีกเดี๋ยวก็จะได้เวลาข้าวเที่ยงแล้ว เราใช้โอกาสนี้แลกเปลี่ยนความรู้การฝึกวิชากันดีหรือไม่?”

“ไอโหยว น้องรองของข้า อาภรณ์สีขาวของเจ้าตัวนี้คุณภาพเยี่ยมจริงๆ เจ้าซื้อมาจากไหนกันหรือ?”

ในพรรคหลิงเซียว ศิษย์ทุกคนต่างก็ตกตะลึงตาค้างไปตามๆ กัน มองดูภาพศิษย์พี่ใหญ่วอแวศิษย์พี่รองไม่ยอมห่าง ปากก็พูดจนน้ำไหลไฟดับไม่ยอมหยุด

ลั่วเฉินสีหน้าคล้ายจะฆ่าคนได้ ฝ่ามือในชายเสื้อกำแล้วคลายกำแล้วคลายคล้ายสะกดอารมณ์ตัวเอง หากก็จวนเจียนจะระเบิดอยู่รอมร่อ

เป็นวิธีการที่อำมหิตอะไรเช่นนี้…… ไอ้คนต่ำช้า!