ตอนที่ 65 ประทับใจเพราะรูปลักษณ์ หลงรักเพราะความสามารถ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 65 ประทับใจเพราะรูปลักษณ์ หลงรักเพราะความสามารถ

ตอนที่ 65 ประทับใจเพราะรูปลักษณ์ หลงรักเพราะความสามารถ

“ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกคนร้ายสะกดรอยตาม ฉันเห็นก็เลยช่วยเขาให้รอดพ้นจากปัญหา นอกจากจะรักษาเอกสารลับไว้ได้แล้ว ยังช่วยปกป้องความปลอดภัยส่วนบุคคลให้เขาได้ด้วย” หลินเซี่ยพูดอย่างจริงจัง พยายามอธิบายให้ตัวเองเก่งกล้าที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ต่อหน้าโจวลี่หรง เพื่อที่โจวลี่หรงจะได้เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเธอบ้าง

ไม่ว่าประสบการณ์แรกพบของพวกเขาล้วนเป็นเรื่องบังเอิญเหมือนแมวตาบอดเจอหนูตายจึงรอดชีวิตมาได้ก็ตาม

โจวลี่หรงหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “งั้นก็หมายความว่า เขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อตอบแทนเท่านั้นเองเหรอ”

“เปล่านะคะ” หลินเซี่ยอธิบายอย่างเคร่งขรึม

“หลังจากที่ฉันช่วยชีวิตเขา เขาบอกว่าเขาตกหลุมรักฉันตั้งแต่แรกเห็น ต่อมาเรามีโอกาสได้เจอกันหลายครั้ง หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น ความประทับใจต่อกันก็ยิ่งลึกซึ้ง”

หลังจากพูดจบ เธอก็แสร้งทำเป็นเขินอายตามสมควร พอให้สอดคล้องกับคุณลักษณะของผู้หญิงในยุคนี้

“ประทับใจเพราะรูปลักษณ์ หลงรักเพราะความสามารถน่ะค่ะ”

โจวลี่หรง “!!!”

ความสามารถ?

จากคำบอกเล่าของเสิ่นเสี่ยวเหมย ผู้หญิงคนนี้เป็นแค่คนที่รู้แค่การกินและนอนเท่านั้นไม่ใช่เหรอ จะไปมีความสามารถอะไรกัน?

แต่แล้วโจวลี่หรงก็คิดถึงภาพวาดพิมพ์เขียวที่หลินเซี่ยมอบให้โจวเจี้ยนกั๋วเมื่อคืนนี้อีกครั้ง

อีกอย่าง หลังจากที่เธอกลับไปหาตระกูลหลิน เธอก็ตัดสินใจอย่างเฉียบขาดทันทีเพื่อแยกหลิวกุ้ยอิงและน้องสาวออกมาจากครอบครัวของหลินเอ้อร์ฝูและคนอื่น ๆ รวมถึงตัดขาดความสัมพันธ์กับคนเหล่านั้น สิ่งต่าง ๆ ที่เธอทำล้วนเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมไม่น้อย

คิดแล้วก็ยิ่งขัดแย้งในใจ

หวังอวี้เสียที่อยู่ด้านข้างได้ยินแบบนั้น หัวใจของสาววัยกลางคนก็พองโตด้วยความตื่นเต้น “ว้าว ความเป็นมาโรแมนติกดีจัง ทำไมหนุ่มสาวสมัยนี้ถึงได้โรแมนติกกันจังนะ? ดีจริง ๆ ที่สังคมเริ่มเปิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เหมือนสมัยพวกเรา ตอนนั้นเราได้แต่อดทน ไม่กล้าบอกว่าชอบใคร ทำได้แค่แอบมองอยู่ห่าง ๆ”

โจวลี่หรงเยาะเย้ย “ถ้าไม่กล้าแสดงออกแล้วเธอแต่งงานกับโจวเจี้ยนกั๋วได้ยังไงล่ะ?”

หวังอวี้เสียเม้มริมฝีปากทันที ก้มหน้าลงทำงานต่อด้วยความละอายใจบางอย่าง

หลังจากอาหารค่ำวันส่งท้ายปีเก่าครบครั้น ท้องฟ้าก็มืดลง เสียงประทัดยักษ์ดังขึ้นจากนอกบ้าน และแล้วทุกครอบครัวก็เริ่มกราบไหว้บรรพบุรุษ

ผู้เฒ่าโจวพาลูกชาย ลูกสาว ลูกสะใภ้ หลานชาย และสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ ไปที่สี่แยกนอกรั้วบ้านเพื่อเผากระดาษเงินกระดาษทอง จากนั้นจึงวางป้ายชื่อบรรพบุรุษไว้บนโต๊ะหลักในห้องโถง

ครอบครัวคำนับป้ายชื่อ ก่อนจะเริ่มรับประทานอาหาร

ผู้เฒ่าโจวมองสมาชิกในครอบครัว ก่อนจะถอนหายใจอย่างเป็นสุข “มื้อเย็นวันส่งท้ายปีเก่าในปีนี้ครึกครื้นมีชีวิตชีวาที่สุดในรอบหลายปี ทุกคนอยู่ที่นี่กันพร้อมหน้า ยกเว้นเสี่ยวเหล่ยที่ไม่กลับมา”

“เสี่ยวเหล่ยเขียนจดหมายมาหาลูกบ้างไหม? ถ้าเขาอยู่ที่โรงเรียน แล้วช่วงตรุษจีนมีอะไรกินหรือเปล่า?” แม่เฒ่าโจวถามโจวเจียนกั๋ว

“โรงเรียนมีอาหารขายอยู่ครับพ่อ ไม่ต้องห่วง เขาโตแล้วคงหากินเองได้”

ทั้งครอบครัวกินเกี๊ยว ระหว่างนั้นก็ดูรายการทีวีเคาท์ดาวน์ของจีนไปด้วย

จากนั้น หู่จือก็ถูกล้างสมองด้วยประโยค ‘ซือหม่ากวงทุบโอ่ง’ จนพูดคำว่า ‘ซือหม่ากวง’ ไม่หยุดปาก

โจวเจี้ยนกั๋วและเฉินเจียเหอยังคงดูรายการเคาท์ดาวน์ส่งท้ายปีเก่าต่อ หลังเที่ยงคืนหลินเซี่ยก็ทนถ่างตาต่อไปไม่ไหว ขอปลีกตัวเข้าห้องและผล็อยหลับไป

เช้าวันแรกของปีใหม่ เธอถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงประทัดอีกครั้ง เมื่อหลินเซี่ยลุกขึ้นและออกจากบ้าน เห็นแม่เฒ่าโจวเซ้าซี้ให้ผู้เฒ่าโจวจุดธูป แล้วไปที่วัดประจำหมู่บ้านเพื่อไหว้พระ

บอกว่าเพื่อตอบแทนที่พรสมปรารถนา

หลินเซี่ยถามอย่างสงสัย “คุณตา พรอะไรกันคะที่สมปรารถนา?”

แม่เฒ่าโจวมองไปที่หลินเซี่ย คลี่ยิ้มด้วยความเอ็นดู “เราสองคนอยากให้หลานชายตัดสินใจแต่งงานกับภรรยาโดยเร็วที่สุด เธอเห็นไหมว่านอกจากเขาจะได้ภรรยาที่สวยมากแล้ว หล่อนยังมีความสามารถมากอีกด้วย ดังนั้นต้องไปวัดเพื่อกราบไหว้ท่าน”

หลินเซี่ย “…”

เมื่อเห็นเฉินเจียเหอเดินออกมา แม่เฒ่าโจวก็พูดว่า “เจียเหอ หลานก็ควรไปด้วยเหมือนกัน ถึงยังไงพรที่สมปรารถนานี้ก็เกิดขึ้นกับหลาน”

เฉินเจียเหอพับแขนเสื้อสเวตเตอร์ขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนอีกครึ่งหนึ่งที่เปลือยเปล่าและแข็งแรง เขายืนอยู่ที่เชิงบันไดเพื่อล้างหน้า ปากก็พูดว่า “คุณยาย อย่าจริงจังกับความเชื่องมงายที่จับต้องไม่ได้เลย”

แม่เฒ่าโจวถึงกับสะดุ้ง สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที “อย่าพูดจาไร้สาระ ถ้าไปกราบไหว้ที่ท่านตอบรับคำอธิษฐาน ชีวิตคู่กับภรรยาก็จะราบรื่น ไม่เห็นทัศนคติของแม่หลานหรือไง จะเป็นยังไงถ้า…”

หญิงชราหยิบยกบางเรื่องที่น่ากลัวมาอ้าง เฉินเจียเหอจึงยอมตอบรับอย่างเชื่อฟัง “ครับ ผมจะไป”

หลินเซี่ยซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ กระตุกมุมปากเล็กน้อย

การทำให้คนอย่างเฉินเจียเหอเชื่อได้ ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเห็นคุณค่าของเธอมากแค่ไหน

ทันทีที่หู่จือตื่นนอนขึ้นในตอนเช้า ล้างหน้าเสร็จสรรพ เขาก็เริ่มไปคำนับทุกคนเพื่อกล่าวคำอวยพรปีใหม่

จากนั้น ทุกคนก็มอบเงินอั่งเปาให้หู่จือทีละคน

ผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลโจวหยิบธนบัตรห้าหยวนใบใหม่สองใบออกมา แล้วมอบให้หูจือ

โจวเจี้ยนกั๋วและหวังอวี้เสียเองก็ควักเงินให้เขาคนละห้าหยวนเช่นกัน

หลินเซี่ยใจกว้างยิ่งกว่า ควักเงินออกมามอบให้เขาถึงสิบหยวน

ด้วยเหตุนี้จึงเหลือเพียงโจวลี่หรงเท่านั้น

“พี่สาว ปีนี้เตรียมเงินอั่งเปาไว้ให้หลานชายเท่าไหร่กันล่ะ?”

ภายใต้แรงกดดันจากสายตาของทุกคน โจวลี่หรงไม่มีทางเลือกนอกจากควักเงินห้าหยวนออกมาแล้วมอบให้หู่จื่อ

“ขอบคุณครับคุณย่า”

เฉพาะช่วงเช้าอย่างเดียว หู่จือก็กลายเป็นเศรษฐีตัวน้อยไปซะแล้ว เขาเก็บเงินไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง ตั้งใจว่าจะเอาเงินไปซื้อปืนของเล่นหลังจากกลับเข้าไปในเมืองแล้ว

เช้าวันที่สองของปีใหม่ โจวเจี้ยนกั๋วและหวังอวี้เสียออกไปบ้านพ่อตาของเขาแต่เช้าเพื่อกล่าวคำอวยพรปีใหม่

เฉินเจียเหอเป็นลูกเขยคนใหม่ของปีนี้ แน่นอนว่าเขาควรไปเยี่ยมตระกูลหลินตั้งแต่เนิ่น ๆ

ในที่สุดหลิวกุ้ยอิงก็แยกครอบครัวออกมาจากหลินเอ้อร์ฝูได้สำเร็จ บ้านของพวกหล่อนจึงไม่วุ่นวายอีกต่อไป หลินเซี่ยตั้งตารอเป็นพิเศษที่จะได้กลับเยี่ยมบ้านพ่อแม่ของเธอในวันนี้

พวกเขาทั้งสองพาหู่จือไปด้วย ทั้งสามเดินเท้าไปที่บ้านตระกูลหลินเพื่ออวยพรปีใหม่

ตอนแรกหู่จือไม่อยากไป เขาบอกว่ากลัวแม่เฒ่าที่อยู่ในบ้านวันนั้น เพราะหล่อนดุเกินไป ดุยิ่งกว่าคุณย่าแม่มดเสียอีก

หลินเซี่ยอธิบายให้เขาฟังว่าตอนนี้แม่เฒ่าคนนั้นไม่ได้อยู่ที่บ้านของพวกเธออีกต่อไป ดังนั้นหู่จือค่อยโล่งใจ และยอมติดตามพวกเขาไปด้วย

เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ประตูบ้าน ก็บังเอิญเจอกับหลินเอ้อร์ฝูและหวังจวี๋เซียง ดูเหมือนพวกเขากำลังจะหอบข้าวของไปที่บ้านพ่อแม่ของหวังจวี๋เซียงเพื่อกล่าวคำอวยพรปีใหม่ เมื่อพวกเขาเห็นเฉินเจียเหอและหลินเซี่ย หลินเอ้อร์ฝูทำท่าจะเข้าไปทักทายพวกเขา แล้วหาข้อแก้ตัวเรื่องหวังต้าจ้วง แต่หลินเซี่ยเดินนำทั้งสองผ่านหน้าพวกเขาไป

เมื่อพวกเขามาถึงบ้าน หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนก็รออยู่ที่ลานบ้านแล้ว

สำหรับวันแรกและวันที่สองของเทศกาลปีใหม่ หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อนวดแป้งทำบะหมี่ เมื่อวานนี้เฉินเจียเหอนำเนื้อและผักมาแบ่งให้รวมห้าชั่ง เธอจึงเข้าครัวทำน้ำเส้าจื่อ(1) รอให้หลินเซี่ยและคนอื่น ๆ มาเสียก่อนถึงค่อยปรุงบะหมี่

ครอบครัวทั้งสามเข้าไปในห้องหลัก จุดธูปไหว้ป้ายชื่อหลินต้าฝูก่อน จากนั้นก็ก้มกราบ

หลินเซี่ยมองดูภาพถ่ายบนโต๊ะด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เจอกับพ่อผู้ให้กำเนิด แต่กลับต้องไหว้เขาผ่านภาพถ่ายที่ไร้ชีวิต

ถึงอย่างนั้นเธอก็แอบสงสัยในใจอยู่เสมอว่า หลินต้าฝูเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอจริง ๆ หรือเปล่า

ถ้าเสิ่นอวี้อิ๋งไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ หล่อนคงไม่มีทางเสี่ยงฆ่าเธอแน่

แต่หลินต้าฝูก็ลาจากโลกนี้ไปแล้ว

ช่วงปีใหม่แบบนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้ารูปถ่ายของหลินต้าฝู เธอไม่มีความกล้าพอที่จะถามหลิวกุ้ยอิงเลยแม้แต่น้อย

หลิวกุ้ยอิงจูงมือหู่จือ หาขนมที่มีอยู่ในบ้านมาให้เขา

ครอบครัวของหลินเอ้อร์ฝูหอบสินค้าปีใหม่ทั้งหมดกลับบ้าน เมื่อวานนี้หลิวกุ้ยอิงจึงออกไปที่ร้านขายของชำในหมู่บ้าน ซื้อลูกกวาดกับเมล็ดแตงโมแค่สองอย่างกลับมา

หลังจากแยกครอบครัวแล้ว นอกจากลูกสาวกับลูกเขย ปีนี้ไม่น่าจะมีญาติคนอื่นมาเพิ่มอีก

ดังนั้นหล่อนจึงซื้อของมาตุนไว้น้อยมาก

“เจียเหอ เซี่ยเซี่ย รีบขึ้นไปนั่งบนเตียงเตาเร็ว แม่จะเข้าครัวไปทำบะหมี่มาให้”

“แม่คะ ฉันเข้าไปช่วยดีกว่า”

ไม่ต้องช่วยหรอก นั่งอยู่เฉย ๆ เถอะ แม่ทำแปบเดียวก็เสร็จ”

หลินเยี่ยนยกจานอาหารเรียกน้ำย่อยและผักดองมาวางบนโต๊ะ จากนั้นทั้งครอบครัวก็นั่งรับประทานอาหารกันหน้าโต๊ะ

แม้ว่าปีนี้หลิวกุ้ยอิงจะมีลูกสาว ลูกเขย และครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า แต่หล่อนกลับไม่มีใจจะกินบะหมี่ในชามเลย ขณะนั่งอยู่ตรงนั้นก็เอาแต่ถอนหายใจ “ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ชายของพวกลูกไปอยู่ที่ไหน? แม้แต่เทศกาลปีใหม่ยังไม่กลับมา อยู่ข้างนอกนั่นจะมีข้าวสวยร้อน ๆ ให้กินหรือเปล่าก็ไม่รู้”

………………………………………………………………………………………………………………………….

(1) น้ำเส้าจื่อ 臊子 น้ำขลุกขลิกที่เอาไว้คลุกเคล้ากับเส้นบะหมี่ กลายเป็นเมนูเส้าจื่อเมี่ยน เป็นบะหมี่เนื้อหมู มีส่วนประกอบของไข่ เต้าหู้ แครอท และถั่วฝักยาวที่หั่นเป็นลักษณะลูกเต๋าขนาดเล็ก เน้นรสชาติเปรี้ยวและเผ็ดจากน้ำส้มสายชูและน้ำพริกพื้นเมือง

สารจากผู้แปล

โดนเป่าหูตั้งนาน พอเห็นว่าความจริงไม่เป็นอย่างที่คิดก็เลยอึ้งไปใช่ไหมป้า

ชีวิตบ้านแม่ของเซี่ยเซี่ยดีขึ้นแล้ว ดีใจจริงๆ ค่ะ

ไหหม่า(海馬)

******************