ตอนที่ 51 สุนัขนำโชค
อาหมานที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างชั้นสองกระตุกชายเสื้อเจียงซื่อยิกๆ “คุณหนู ได้ยินหรือไม่เจ้าคะว่าเจ้าหน้าที่พวกนั้นกำลังจะฆ่าเอ้อร์หนิว คุณหนูว่าเจ้านายของมันจะช่วยมันได้หรือไม่”
นับตั้งแต่ที่อวี้ชีปรากฏตัว เจียงซื่อก็สูญเสียความสงบก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิง มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นจนเห็นกระดูกข้อต่อสีขาวจางๆ
“อะไรนะ”
อาหมานยกมือขึ้นกุมขมับ “คุณหนู ท่านช่วยมีสติหน่อยได้หรือไม่ เอ้อร์หนิวกำลังจะถูกเจ้าหน้าที่ทางการพวกนั้นตีตายแล้ว”
“ไม่มีทางหรอก” เจียงซื่อพึมพำ
ดวงตาของอาหมานเบิกกว้าง “ทำไมเล่าเจ้าคะ สองหมัดยากปะทะสี่มือ[1] เอ้อร์หนิวเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น และมันไม่มีทางหนีพ้นเจ้าหน้าที่ทางการจำนวนมากได้แน่”
อารมณ์ของเจียงซื่อค่อยๆ สงบลงมา “เจ้ารอดูไปเถิด เจ้าของมันต้องมีวิธีรับมือน่ะ”
อวี้ชีแตกต่างจากองค์ชายองค์อื่นๆ และด้วยเหตุผลพิเศษบางอย่าง เขาจึงอาศัยอยู่นอกวังตั้งแต่ยังเด็ก ต่อมาเขาได้เดินทางลงใต้ ซึ่งปีนี้ก็จับจังหวะเป็นปีแรกที่เขาเดินทางกลับเมืองหลวงพอดี แต่เขาจะอยู่ในเมืองหลวงเพียงระยะสั้นเท่านั้น อีกไม่นาน องค์ชายเจ็ดผู้ลึกลับและไม่เป็นที่รู้จักผู้นี้ก็จะหายไปจากเมืองหลวงอีกครั้งราวกับดอกถานฮวา[2]
ในชาติก่อน นางยังไม่รู้จักอวี้ชีในเวลานี้ เหตุผลที่นางรู้ข้อมูลนี้ ล้วนรับรู้หลังจากที่นางแต่งงานแล้วทั้งสิ้น
เสียนเฟยพระมารดาของอวี้ชี ถือกำเนิดจากจวนอันกั๋วกง มีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆ ของจี้ฉงอี้ ดังนั้นหากไล่เรียงลำดับญาติกันจริงๆ นางต้องเรียกอวี้ชีว่าญาติผู้พี่ตามจี้ฉงอี้
ในวันแต่งงาน แม้นางจะไม่รู้สถานการณ์ภายนอกผ้าคลุมศีรษะว่าเป็นอย่างไร แต่จากการที่ได้ยินจากการจับกลุ่มนินทาของสาวรับใช้และบ่าวรับใช้ในจวนภายหลัง นางถึงได้ทราบว่าอวี้ชีมาร่วมงานแต่งงานด้วย
เสียนเฟยมีพระโอรสอยู่ทั้งสิ้นสองพระองค์ คือองค์ชายสี่และองค์ชายเจ็ด
หลานสาวบ้านฝั่งมารดาแต่งงาน แม้ว่าเสียนเฟยจะไม่สะดวกเดินทางมาร่วมพิธีได้ แต่องค์ชายสี่ย่อมต้องเสด็จมาร่วมด้วยพระองค์เองแน่นอน ปัญหาอยู่ที่องค์ชายเจ็ด ผู้ไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงใดๆ ในเมืองหลวงเลย จู่ๆ ก็มาร่วมงานแต่งงานที่จวนอันกั๋วกง ก็ทำเอาผู้คนพากันจับจ้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลายคนถึงกับนินทาว่าเขามีนิสัยแปลกประหลาดและเย็นชา
ว่ากันว่าในวันนั้น เขามีความสุขมาก ดื่มหนักถึงขั้นเมามายไม่ได้สติ
เจียงซื่อหวนคิดถึงเรื่องในอดีตโดยซ่อนตัวอยู่หลังหน้าต่างบนชั้นสองของโรงน้ำชา พลางแอบมองชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ชั้นล่าง
อวี้ชีเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยของกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครย่อมไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่เขาเป็นคนประเภทที่ไม่เคยยอมเสียเปรียบผู้อื่นตั้งแต่ไหนแต่ไร เมื่อมีคนมาทำร้ายเอ้อร์หนิวต่อหน้าเขา เขาย่อมไม่มีทางปล่อยให้คนลงมือทำอะไรอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เจียงซื่อก็สงบลง แต่ก็ยังอยากรู้ว่าอวี้ชีจะออกหน้าแก้ไขเรื่องนี้ด้วยวิธีใด
นางเอนตัวพิงไปกับบานหน้าต่างแกะสลัก ใบหน้าแฉล้มโผล่ออกมาเล็กน้อย
ที่ชั้นล่างของโรงน้ำชา ชายหนุ่มคล้ายว่าจะสัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องมองมา จึงได้แหงนหน้าขึ้นมองไปยังทางนั้น
วินาทีที่ได้สบกับดวงตาคู่งาม หัวใจของเขาก็เต้นรัวเหมือนกับกลองศึก ใบหน้าสตรีผู้นั้นงดงามราวกับหยกแกะสลักของเขาที่ถูกย้อมด้วยสีแดง ชวนให้น่ามองเป็นอย่างยิ่ง
“เอาตัวไป!” ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกสงสารหรือสมเพชในตัวหัวหน้าหน่วยผู้นี้ดี มีดจ่อถึงคอแล้วก็ยังไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น เขาโบกมือสั่งการไปครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ใต้อาณัติของเขาจำนวนมากก็กรูกันเข้ามา พร้อมกับชักดาบและล้อมอวี้ชีกับสุนัขตัวใหญ่
“ปล่อยสุนัขดุร้ายก่ออาชญากรรมทำร้ายคน?” การแสดงออกของอวี้ชีกลับมาเป็นปกติ ดวงตาหงส์เลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้มสบายๆ ว่า “ท่านเจ้าหน้าที่เพิ่งมาถึง ท่านเห็นสุนัขข้าก่ออาชญากรรมทำร้ายผู้คนแล้วหรือ”
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยยิ้มเหี้ยม “พวกข้าไม่ได้ตาบอด เห็นอยู่กับตาว่าสุนัขของเจ้ากดคุณชายชุยลงกับพื้นเมื่อสักครู่นี้ นี่ไม่เรียกก่ออาชญากรรมทำร้ายผู้คนรึ เพื่อรักษาความปลอดภัยของพลเมือง สุนัขดุร้ายเช่นนี้ต้องถูกฆ่า!”
เหล่าคนมุงแอบพยักหน้ากันอย่างลับๆ เมื่อได้ยิน
สุนัขตัวใหญ่ตัวนี้น่ากลัวจริงๆ แม้ว่าตอนดูมันตีกับคนอื่นจะสนุก แต่หากมันบ้ากัดคนไม่เลือกหน้าขึ้นมา…
อวี้ชีลูบหัวสุนัขตัวใหญ่เบาๆ แล้วยิ้มน้อยๆ “ท่านเจ้าหน้าที่เข้าใจผิดแล้ว สุนัขของข้าไม่มีทางกัดใครโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายบังคับให้มันต้องป้องกันตัว”
พูดถึงตรงนี้การแสดงออกของอวี้ชีก็ชะงักไป น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันควัน “อยากถามท่านเจ้าหน้าที่สักคำ ไม่ทราบว่าบ่าวชั่วที่คิดตั้งใจทำร้ายขุนนางของราชสำนักมีโทษอันใด”
“ขุนนางของราชสำนักหรือ” หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดอดไม่ได้ตัวเกร็ง จู่ๆ น้ำเสียงที่ใช้พูดของเขาก็สุภาพขึ้นมาก “ขอบังอาจถาม มิทราบว่าท่านคือ…”
ในเมืองหลวงแห่งนี้จริงอยู่มีหลายสิ่งที่ขาด แต่ที่ไม่เคยขาดเลยก็คือขุนนางมากมาย แผ่นกระเบื้องอุตส่าห์หล่นลงมาจากฟ้าโขกเข้าที่หัวเขาแล้วถึงได้ตำแหน่งขุนนางขั้นห้านี้มา ดังนั้นหากคิดจะโลดแล่นอยู่ในวงการนี้นานขึ้นอีกสักหน่อย ก็ต้องรู้จักทำตัวให้ยืดหยุ่นเข้าไว้ หูตาต้องคล่องแคล่วว่องไว
อวี้ชีเพิกเฉยต่อหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย หมุนตัวกลับไปขยุ้มบริเวณหลังคอของเอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิวยืนขึ้น สะบัดขนไปมาเพื่อให้ฝุ่นที่ติดอยู่หลุดกระเด็นไป จากนั้นมันก็ยกขาหน้าทั้งสองข้างขึ้นวางบนไหล่ของหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยผู้นั้น
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยตกใจมาก
“ท่านเจ้าหน้าที่อย่าเพิ่งตื่นตระหนกไป ดูเหรียญทองแดงที่คอของมันสิ” อวี้ชีเตือนเบาๆ
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยที่เกือบจะหมดสติไปเพราะถูกร่างอันใหญ่โตของสุนัขตัวใหญ่กระโจนเข้ามาก็ได้สติคืน เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย จึงได้เห็นว่าสุนัขตัวใหญ่นี้สวมปลอกคออยู่ แต่เนื่องจากขนของสุนัขตัวใหญ่หนาแน่นเกินไปและปลอกคอมีสีเดียวกับขนของมัน จึงถูกมองข้ามได้ง่าย
เมื่อเห็นว่าหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยไม่ตอบสนอง เอ้อร์หนิวก็ส่ายหัวไปมาอย่างหมดความอดทน ทันใดนั้นขนของสุนัขก็หลุดฟุ้งกระจายเต็มไปหมดและเหรียญทองแดงเล็กๆ ที่ผูกติดไว้กับปลอกคอก็หลุดออกมา
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเอื้อมมือไปพลิกเหรียญทองแดงขึ้นมา เห็นเพียงอักษรไม่กี่ตัวเขียนว่า ‘ฮ่องเต้พระราชทาน แม่ทัพเซี่ยวเทียนขั้นห้า’…
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยมือสั่นจนเหรียญทองแดงตกลงไปที่พื้น
โฮ่ง! เอ้อร์หนิวเห่าใส่เขาอย่างดูถูก
สายตาของหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยที่มองไปที่สุนัขตัวใหญ่ตรงหน้านั้นอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลย เขาพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่
มารดามันเถอะ สุนัขชั้นต่ำนี่ตำแหน่งสูงกว่าข้าอีก!
ชุยอี้รออยู่นานแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าหัวหน้าหน่วยไม่ขยับเขยื้อนสักที เขาก็โกรธเลือดขึ้นหน้าจนแทบกระอัก “มัวทำบ้าอะไรอยู่ ทำไมเจ้ายังไม่รีบจับมันไปอีก”
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยฟื้นจากอาการตกใจสุดขีด รีบโบกมือแล้วสั่งการไปว่า “จับ จับสองคนที่ซ่อนอาวุธมีคมออกไป!”
“อะไรนะ” ชุยอี้ตะลึงงัน
ผิดบทแล้วกระมัง!
เมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่หลายคนกรูเข้ามาทำท่าจะจับคนจริงๆ ชุยอี้ก็คว้าคอเสื้อของหัวหน้าหน่วยไว้แน่น กัดฟันตำหนิเขาไปด้วยเสียงต่ำว่า “ฟังที่ข้าพูดไม่รู้เรื่องรึ วันนี้เจ้ากินยาผิดมาหรืออย่างไร คนของข้าเจ้ายังกล้าจับ!”
สำหรับคนที่ดีแต่อวดเก่งอย่างชุยอี้และหยางเซิ่งไฉ ชื่อเสียงของพวกเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วในกลุ่มของเจ้าหน้าที่ทางการเหล่านี้ ถือว่าเป็นคนรู้จักเก่ากันก็ว่าได้ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่พวกเขาไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้มาก่อน
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยยิ้มอย่างขมขื่น “คุณชายชุย คนมากมายกำลังดูอยู่นะขอรับ อย่างไรก็ต้องเว้นให้ข้าได้ปฏิบัติพอเป็นพิธีบ้าง มิฉะนั้นตำแหน่งของข้ารักษาไว้ไม่ได้เรื่องเล็ก ดีไม่ดีพวกผู้ตรวจการอาจเอาเรื่องนี้สร้างเป็นปัญหาไปให้กับท่านแม่ทัพใหญ่ได้”
หากนี่เป็นลูกในไส้ของเขา มีลูกไม่ได้ความแล้วยังก่อปัญหาไปทั่วเช่นนี้ เขาคงกดหัวมันให้จมน้ำตายไปตั้งนานแล้ว!
“เช่นนั้นก็ได้ คนของข้าเจ้าพาไปได้ แต่สุนัขตัวนี้ต้องถูกฆ่าที่นี่!”
“คงไม่ได้…”
“ทำไมจะไม่ได้ ต่อให้ไอ้หน้าขาวนี่มันเป็นขุนนางในราชสำนักจริง เจ้าจะปล่อยให้สุนัขของเขาก็สูงส่งตามไปด้วย แล้วเจ้าก็เป็นได้แค่ขี้ข้าอย่างนี่น่ะหรือ”
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเริ่มมีโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว เขาพยายามสงบอารมณ์และพูดไปด้วยเสียงเบาว่า “คุณชายชุย โปรดอย่ากดดันข้าผู้น้อยอีกต่อไปเลย ขุนนางในราชสำนักที่ท่านกำลังพูดถึงก็คือท่านใต้เท้าสุนัขท่านนี้แหละขอรับ”
“ว่าอย่างไรนะ!” ชุยอี้ตาเหลือก
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยไม่อยากให้เรื่องลุกลามบานปลายใหญ่โต จึงขยับเข้าไปกระซิบที่ข้างหูชุยอี้สองสามคำ
ดวงตาของชุยอี้เบิกกว้างขึ้นทันที แต่แทนที่เขาจะมองไปที่สุนัขตัวใหญ่ เขากลับมองไปที่อวี้ชี
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นในโลกนี้ที่สามารถยกสุนัขของตัวเองขึ้นมาเป็นขุนนางขั้นห้าได้ และคนๆ นั้นก็ได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาแล้วในเวลานี้
แม้ว่าเขาจะกร่างไปทั่วและชอบใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงผู้อื่นเป็นประจำ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ตามข่าวเลย สิ่งใดที่สำคัญที่สุด? แน่นอนว่าต้องเป็นข่าวที่รวดเร็วและแม่นยำ!
ชุยอี้มุมปากกระตุก เขาหันไปยิ้มฝืดเฝื่อนให้กับสุนัขตัวใหญ่และพูดว่า “คือว่า…ที่ล่วงเกินไปวันนี้ ข้าต้องขออภัย”
“ชุยอี้ เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ” หยางเซิ่งไฉกรามค้าง อุทานออกไปด้วยความตกใจ
ชุยอี้เช็ดคราบเลือดที่แห้งติดหน้าผากของเขาออก ลากหยางเซิ่งไฉให้เดินออกไปด้วยกัน “พวกเจ้าไปทำงานกันต่อเถอะ แยกย้ายได้ ส่วนไอ้เจ้าปัญญาอ่อนนี่เดี๋ยวข้าพาออกไปเอง”
“เจ้า…วอนถูกต่อยแล้วใช่หรือไม่”
……
คล้อยหลังคนทั้งคู่จากไป กลุ่มอันธพาลก็ถูกลากออกไปทีละคนๆ เหลือทิ้งไว้เพียงทหารเกษียณวัยกลางคนสองคนที่อยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาให้ไหล
ติดตามเจ้านายปัญญาอ่อนเช่นนี้ เป็นคราวซวยของพวกเขาจริงๆ!
“ท่าน…” หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยอ้าปาก
อวี้ชีส่ายศีรษะเล็กน้อย และตบไปที่หัวของสุนัขตัวใหญ่ “เอ้อร์หนิว ไปกันเถอะ”
“คุณหนู เอ้อร์หนิวปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ มันไม่เป็นไรแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปจนหมดแล้ว” อาหมานลูบหน้าอกของตัวเองด้วยความโล่งใจ พลันเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาอีก “เจ้าของเอ้อร์หนิวยังหนุ่มแน่นอยู่แท้ๆ ได้เป็นถึงขุนนางของราชสำนักแล้วหรือ”
เนื่องจากคนที่อยู่ชั้นล่างตั้งใจลดเสียงตอนที่พวกเขาพูดคุยกัน คนอื่นๆ จึงได้ยินไม่ชัดนัก
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่าง เจียงซื่อก็ยกยิ้ม “คงเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ไปกันเถอะ”
หลังจากผู้คนที่เฝ้าดูเรื่องสนุกค่อยๆ แยกย้ายกันไป สองนายบ่าวก็ลงมาจากชั้นสองของโรงน้ำชา มุ่งไปทางทิศที่ตั้งของจวนตงผิงปั๋วอย่างไม่รีบร้อนนัก
จากโรงน้ำชาเทียนเซียงไปจนถึงจวนตงผิงปั๋วจำเป็นต้องเดินผ่านถนนหลายสาย ขณะที่สองนายบ่าวกำลังจะเลี้ยวเข้าตรอกเชวี่ยจื่อ เสียงเห่าดัง โฮ่ง! ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น
ฝีเท้าของเจียงซื่อชะงักกึกไป
อาหมานมองดูสุนัขตัวใหญ่คาบเหอเปาสีไพลินวิ่งเข้ามาทางนี้ก็ดีใจจนออกนอกหน้า “คุณหนู เอ้อร์หนิวเจ้าค่ะ มันมาส่งเงินให้คุณหนูอีกแล้ว”
[1] สองหมัดยากปะทะสี่มือ สำนวนเดียวกับอย่าเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง หมายถึงหารขัดขวางหรือคัดค้านการทำงานของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าย่อมไม่สําเร็จ และมีแต่จะทำให้เดือดร้อน
[2] ดอกถานฮวา มีอีกชื่อคือราชินีแห่งรัตติกาล จะบานเฉพาะตอนกลางคืนในช่วงสั้นๆ เพียงคืนเดียวเท่านั้นก่อนจะร่วงโรยไป